สวี่ชีอันเพิ่งก้าวเข้าไปในที่ว่าการอำเภอก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่…”
นั่นคือสวี่หลิงเยวี่ยในชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อน สะโอดสะองเลอโฉม ใบหน้างดงามขาวผ่องเปื้อนคราบน้ำตา ขอบตาบวมแดงราวกับดอกไม้ดอกน้อยน่ารักน่าเอ็นดู
ข้างกายไม่มีสวี่หลิงอิน น่าจะอยู่ห้องด้านข้าง ไม่ได้ให้นางเข้ามา
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ ส่งสายตาสงบนิ่งให้นาง
นายอำเภอจูที่ได้ข่าวมาก่อนแล้วกำลังนั่งตำแหน่งสูงที่โต๊ะพิพากษา เมื่อเจ้าหน้าที่จับคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเขาก็เห็นคุณชายชุดผ้าทอที่มีไฟโทสะอยู่เต็มใบหน้าคนนั้นชัดเจน
เหล่าจูตกใจจนสะดุ้ง เขาผุดลุกขึ้นเข้าไปรับอย่างรีบร้อน
“ไอหยา นี่ไม่ใช่คุณชายโจวหรอกหรือ รองเจ้ากรมโจวสบายดีหรือไม่”
คุณชายชุดผ้าทอโบกแขนเสื้ออย่างแรง ผลักนายอำเภอจูออกแล้วชี้ไปที่สวี่ชีอันก่อนเอ่ยอย่างดุดัน “คนผู้นี้ก่อเหตุบนถนน คิดร้ายจะสังหารข้า รีบจัดการเขาเสีย”
“กล่าวเกินไปแล้ว กล่าวเกินไปแล้ว…” นายอำเภอจูหันหน้ามาพร้อมรอยยิ้มแล้วตะโกนด้วยความโกรธเต็มใบหน้า “มือปราบสวี่ชีอัน ยังไม่รีบมานี่อีก”
สวี่ชีอันกัดฟันเดินเข้าไป
“เจ้าคนสารเลว แม้แต่คุณชายของใต้เท้าโจวรองเจ้ากรมการคลังยังกล้าทำร้ายได้ เจ้านี่มันสมองน้อยนัก” นายอำเภอจูยกขาเตะไปที่สวี่ชีอัน หันกลับมาอีกทีก็มีรอยยิ้มประจบประแจงอยู่เต็มใบหน้า
“คุณชายโจว นี่มันน้ำเชี่ยวปะทะวังพญามังกร[1]นะขอรับ ล้วนเป็นคนกันเอง ผู้สูงส่งไม่เอาความผู้ต่ำต้อย โปรดอย่าคิดหยุมหยิมกับตัวต้อยต่ำอย่างเขาเลยขอรับ”
ด้านนอกฝูงชน สวี่หลิงเยวี่ยมองลูกพี่ลูกน้องที่ถูกตำหนิเพราะตนเองพร้อมน้ำตาไหลพราก จมูกนวลเนียนโด่งรั้นประณีตยิ่งกว่าหญิงสาวทั่วไปแดงก่ำจากการร้องไห้
คุณชายของรองเจ้ากรมการคลัง…จิตใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง
ในแวดวงขุนนางราชวงศ์ต้าฟ่ง ความสามารถของขุนนางคนหนึ่งมีมากแค่ไหนไม่ได้ดูกันที่ระดับขั้น แต่ดูกันที่ภูมิหลังและอำนาจ
ขุนนางระดับหนึ่งระดับสองมีมากมาย แต่ความจริงแล้วผู้ที่มีอำนาจระดับสูงอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่ไม่กี่คน
เจ้ากรมและรองเจ้ากรมของทั้งหกกรมก็อยู่ในจำนวนนั้น
ทำร้ายลูกชายของรองเจ้ากรมการคลัง นี่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
“ประจบข้าให้น้อยหน่อย เจ้าจะไม่จับคนใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าทำเอง” คุณชายโจวโบกมือยกใหญ่แล้วออกคำสั่งกับคนรับใช้ของเขา “จับเจ้าคนต่ำช้านี่มาให้ข้า”
เขาไม่เชื่อว่าเจ้าคนต่ำช้าผู้นี้จะกล้าก่อเหตุตอบโต้ในที่ว่าการอำเภอได้
นายอำเภอจูตะโกน “ผู้ใดกล้ากระทำรุนแรงในที่ว่าการอำเภอจะประหารไม่มียกเว้น”
เจ้าหน้าที่ระดับสามพุ่งไปชักอาวุธออกมาทาบเข้าที่คอของคนรับใช้ที่กำลังจะลงมือ
เจ้าหน้าที่พลเรือนคอยถือไม้เท้าเฝ้าระวัง
“คนแซ่จู เจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าหรือ” คุณชายโจวชี้ไปที่จมูกของนายอำเภอจู อ้าปากตะโกนด่า
“คุณชายโจวอย่าได้เข้าใจผิด ข้าเป็นขุนนางของราชสำนัก แค่ทำตามกฎระเบียบเท่านั้นขอรับ” นายอำเภอจูยังคงมีรอยยิ้มประจบ ยกมือลูบน้ำลายออกจากใบหน้า
“ข้ามีคำร้องฉบับหนึ่งที่กล่าวว่าคุณชายขี่ม้าก่อความวุ่นวาย รังแกหญิงสาวตระกูลผู้ดี ผู้กล่าวหาคือสวี่หลิงเยวี่ย”
นี่เป็นวิธีการที่นายอำเภอจูตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นเพียงขุนนางธรรมดาๆ นายอำเภอจูจะหาวิธีทำให้เรื่องใหญ่เป็นเรื่องเล็ก แล้วทำเรื่องเล็กให้หายไป
เพียงแต่อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าของเรื่องจะเป็นคุณชายของรองเจ้ากรมการคลัง
คุณชายโจวส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา “ขี่ม้าก่อความวุ่นวายแล้วผู้ใดบาดเจ็บหรือ รังแกหญิงสาวตระกูลผู้ดีหรือ คนแซ่จูเจ้าไปถามที่ถนนเลยว่าข้าได้แตะต้องผู้หญิงคนนี้สักปลายนิ้วหรือไม่”
“บางทีหญิงผู้นี้อาจจะจำผิดคน” นายอำเภอจูเก็บคำร้องกลับไปในแขนเสื้อพลางหัวเราะเฮอะๆ
ซวยล่ะ นายอำเภอจูเอาไม่อยู่ ข้าต้องหาวิธีช่วยตัวเอง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องเผ่นแล้ว…แต่ต้องทำให้บ้านอารองติดร่างแหไปด้วยแน่ สวี่ชีอันร้อนรนเล็กน้อย ในยุคสมัยแบบนี้มีเพียงทายาทขุนนางเท่านั้นที่จะต่อกรกับทายาทขุนนางกันเองได้ ฐานะทางสังคมของเขากับคนอื่นต่างกันมากเกินไป
อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นอารองผู้เป็นนายกองแห่งกองดาบคนหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับรองเจ้ากรมการคลังยังจะนับเป็นอะไรได้
ไม่ใช่อะไรทั้งนั้นนั่นแหละ
ส่วนที่ว่าเสียใจภายหลังหรือไม่ ไม่เลย ดาบพาดอยู่บนคอ แล้วจะรอให้ผู้อื่นมาเข่นฆ่าหรือ
ขณะที่ความคิดหมุนเร็วรี่ เขาก็มองเห็นเด็กรับใช้คนหนึ่งของคุณชายโจวหนีออกจากที่ว่าการอำเภอ ส่วนนายอำเภอจูก็ไม่ได้ขัดขวาง
สวี่ชีอันใจเย็นวาบขึ้นมาหลายเท่า เขาเดินไปอยู่ข้างกายหัวหน้ามือปราบหวังแล้วเอ่ยเสียงเบา “หัวหน้า วันนี้น้องชายตกอยู่ในหายนะยากจะหลบหนีแล้ว จึงมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องท่าน”
หัวหน้ามือปราบหวังเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าว่ามา”
ช่วงหนึ่งเดือนนี้ ความสัมพันธ์ของเขากับสวี่ชีอันรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พวกเขาไปเที่ยวหอคณิกาดื่มสุราเคล้าบุปผาด้วยกันทุกวัน ผูกพันเป็นมิตรภาพล้ำลึกไปแล้ว
“ให้ข้ายืมเงินหนึ่งตำลึง”
หัวหน้ามือปราบหวังควานหาในอกเสื้อ หยิบเศษเงินก้อนหนึ่งออกมาได้ มีไม่ถึงหนึ่งตำลึง
สวี่ชีอันรับเศษเงินเข้ากระเป๋าจากนั้นจึงเอ่ย “หัวหน้า ท่านรีบขี่ม้าไปที่บ้านข้าแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งในตู้ข้างเตียงมาให้ข้าหน่อย หนังสือปกสีฟ้า จำไว้ว่าห้ามหยิบผิดล่ะ”
บันทึกประจำวันของเขาเป็นปกสีเหลืองอ่อน
“หลังจากท่านหยิบหนังสือแล้วให้รีบไปที่สำนักโหราจารย์หาแม่นางที่ชื่อไฉ่เวย ฝากบอกนางว่าสวี่ชีอันกำลังลำบากให้รีบมาช่วย”
“สำนักโหราจารย์หรือ!” หัวหน้ามือปราบหวังมีสีหน้าลังเล “สถานที่เช่นนั้นใช่ที่ที่คนอย่างข้าจะเข้าไปได้หรือ”
ให้เขาเข้าไปที่สำนักโหราจารย์ก็เท่ากับให้สามัญชนเข้าพระราชวัง แม้แต่ความกล้าจะเข้าไปใกล้ก็ยังไม่มีเลย
สวี่ชีอันรู้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ เขาเอ่ยเสียงเบา “ถ้าเกิดเรื่องกับข้า เงินพวกนี้ก็ไม่มีใครคืนให้ท่านแล้วนะ”
หัวหน้ามือปราบหวังเบิกตาโต
“หากช่วยข้าทำเรื่องนี้ เงินเดือนเดือนหน้าจะคืนให้ท่านทั้งหมดเลย”
“ปู่เจ้าน่ะสิสวี่ชีอัน” หัวหน้ามือปราบหวังพุ่งออกจากที่ว่าการอำเภอพลางบ่นไปด่าไป
…
เมื่อสวี่ผิงจื้อทราบข่าว เขาก็ยืมม้าจากสหายร่วมงานแล้วฟาดแส้เร่งม้าไปยังที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ
เมื่อก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปในศาล เขาก็มองเห็นบุตรสาวร้องไห้ตัวสั่นเทาไม่หยุดเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เป็นบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนรับใช้
สวี่ผิงจื้อเก็บสายตากลับ เขาก้าวมาอยู่ด้านหน้าบุตรสาวแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอันใดขึ้น”
สวี่หลิงเยวี่ยคล้ายมองเห็นผู้ช่วยชีวิต นางก็ยิ่งร้องไห้หนักเข้าไปอีก แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังพร้อมสะอึกสะอื้น
เมื่อได้ยินว่าคุณชายของรองเจ้ากรมโจวยกเกือกม้าเกือบจะเหยียบลูกสาว หางตาเขาก็กระตุก สีหน้าเริ่มมืดมน
“หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ หลิงอินคงสิ้นแล้ว ฮือๆ…”
‘หนิงเยี่ยน’ …สวี่ผิงจื้อหันไปมองเงาร่างของหลานชายแล้วหลับตาลงสงบจิตใจอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เจ้าไปดูแลหลิงอินที่ห้องข้างๆ อย่าออกมา”
เขามองส่งเงาหลังบุตรสาววิ่งเหยาะๆ หายไป จากนั้นสวี่ผิงจื้อก็เดินเข้าไปจดจ้องคุณชายชุดผ้าทอเงียบๆ “คุณชายโจว เรื่องนี้ให้แล้วกันไปได้หรือไม่”
คุณชายชุดผ้าทอมองสบตาของเขาราวกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่จับต้องได้ ไพล่นึกไปถึงคำพูดที่สวี่ชีอันเคยพูดตอนอยู่บนถนน
คำพูดร้ายกาจจึงติดอยู่ในลำคอไม่อาจเค้นออกไปได้
“นายกองสวี่เป็นขุนนางมากอำนาจ ทำไมรึ ถ้าคุณชายบ้านข้าไม่ยอมเลิกรา เจ้าคิดจะทำให้เกิดการนองเลือดหรืออย่างไร”
ชายชราสวมชุดยาวสีน้ำเงิน ชายแขนเสื้อและปกเสื้อขลิบทอง ที่เอวแขวนป้ายหยก เดินเข้ามาจากประตูใหญ่ของที่ว่าการอำเภอ
ผมของเขาขาวมากกว่าดำ ใบหน้าผอมเรียว แววตาคมกริบราวกับซ่อนเข็มเอาไว้
ตอนที่เพิ่งจะเอ่ยปากเขายังอยู่ที่หน้าประตู พอพูดจบคนก็เข้ามาในศาลแล้ว
“ท่านอาเฉิน” คุณชายชุดผ้าทอดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“เหตุใดนายน้อยถึงบาดเจ็บเช่นนี้ เป็นฝีมือของไอ้สารเลวสมควรตายตนไหน กระผมเลี้ยงดูนายน้อยจนเติบใหญ่ แค่บาดแผลนิดหน่อยก็เจ็บปวดทุกข์ใจแล้ว”
ชายชรามองเห็นเลือดที่จับตัวอยู่ที่ติ่งหูของคุณชายชุดผ้าทอก็ทั้งปวดใจทั้งโมโห
“กระผมเรียนนายท่านหลายครั้งแล้วว่าให้ยอดฝีมือระดับหลอมปราณสักคนคอยติดตามคุณชาย นายท่านก็มักจะยกเรื่องที่ท่านชอบสร้างปัญหามาปฏิเสธเสมอ สร้างปัญหาแล้วอย่างไร คนอื่นเสียเปรียบดีกว่าให้นายน้อยเสียเปรียบ”
สวี่ผิงจื้อรู้สึกว่าตนถูกพลังปราณสายหนึ่งติดตรึงไว้เหมือนตกอยู่ในห้องน้ำแข็ง คล้ายกับว่าที่หลังของเขามีงูตัวหนึ่งคืบคลานอยู่ เขามีความรู้สึกเหมือนเดินวนอยู่ที่เส้นขอบแห่งความเป็นความตาย
ความรู้สึกแบบนี้มักจะเกิดขึ้นยามที่เขาเข่นฆ่าอยู่ในสนามรบ มันทำให้เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว
ชายชราผู้นี้เป็นยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณ
นายอำเภอจูกระแอมไอ “ท่านคือ…”
“มิกล้า!” ชายชราขัดจังหวะดื้อๆ “ชายแก่ผู้นี้เป็นเพียงบ่าวชราคนหนึ่งในจวนสกุลโจวเท่านั้น ไม่อาจรับคำเรียกว่า ‘ท่าน’ จากใต้เท้าจูได้”
“ผู้อาวุโสเกรงใจเกินไปแล้ว” คนรับใช้บ้านอัครเสนาบดีก็มีฐานะสำคัญ ตรรกะนี้ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงขุนนางต่างรู้กันดีเป็นที่สุด นายอำเภอจูจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ดูท่าเรื่องจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ล้วนเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น ล้วนเข้าใจผิด การตรวจสอบข้าราชสำนักกำลังจะมาถึง ทุกคนล้วนถือความสงบสุขเป็นสำคัญ ผู้อาวุโส ท่านว่าอย่างไร”
ชายชราหัวเราะเสียงเย็น “คนต่ำช้าไม่มีความสำคัญเพียงไม่กี่คนไม่ส่งผลกระทบถึงการตรวจสอบข้าราชสำนักของนายท่านหรอก จวนสกุลโจวเป็นคนดีมีคุณธรรมมาเสมอมา จัดการทุกเรื่องตามกฎหมายและข้อบังคับของราชสำนักมาโดยตลอด”
แรกเริ่มทุกคนไม่เข้าใจคำพูดของเขา จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าวุ่นวายก็ดังมาจากด้านนอกที่ว่าการอำเภอ
จากนั้นทหารชุดเกราะถืออาวุธคมกริบกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามา ผู้เดินนำหน้าคือขุนนางสวมชุดคลุมเขียวครามปักลายไก่ฟ้าขาว สายตากวาดมองไปรอบๆ พร้อมกล่าวเสียงดัง
“กรมอาญามาจับกุมนักโทษ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ถอยไป หากเข้ามายุ่งจะถูกดำเนินคดีในความผิดสถานเดียวกัน”
ทุกคนนิ่งชะงัด จากนั้นขุนนางชุดเขียวขั้นห้าท่านนี้ก็ยิ้มให้คุณชายโจว “คุณชายท่านนี้ ข้าขอถามท่าน คนร้ายอยู่ที่ใดหรือ”
คุณชายโจวชี้ไปที่สวี่ชีอัน “จับเจ้าสุนัขนี่ให้ข้า”
ขุนนางชุดเขียวขั้นห้าโบกมือ “ไปจับมา”
เหล่าทหารชุดเกราะพุ่งไปหยิบเครื่องจองจำเข้าจับกุมตัวสวี่ชีอัน
“ใต้เท้า หลานชายข้ามีความผิดใด!” สวี่ผิงจื้อร้อนใจมาก
“มีความผิดหรือไม่ ข้าจะตัดสินเอง” ขุนนางชุดเขียวขั้นห้าเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมอาญา ต้องใช้กฎหมายอย่างเป็นกลางและละเอียดรอบคอบ”
สวี่ผิงจื้อยังอยากจะพูด แต่กลับถูกนายอำเภอจูรั้งเอาไว้
“เอาตัวไป!”
………………………………………….
[1] น้ำเชี่ยวปะทะวังพญามังกร อุปมาถึง คนกันเองไม่ยอมรอมชอม ปะทะกันจนเกิดความเสียหาย