‘กุญแจสำคัญคืออะไร’
สมองของซ่งชิงทำงานอย่างรวดเร็วโดยประกอบกับประสบการณ์การล้มเหลวที่ผ่านมาหลายครั้ง และเช่นเดียวกับความสำเร็จในการปฏิบัติการครั้งนี้
‘ขั้นตอนก่อนหน้านี้ยังเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปจริงๆ คงเป็นขั้นตอนสุดท้าย’
‘เปรี้ยง!’
‘เสียงสายฟ้าฟาดครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วอย่างไรหรือ’
ประกายไฟจางๆ ลุกวาบอยู่ภายในใจเขา จากนั้นซ่งชิงก็ตกใจและพูดอย่างตื่นเต้น
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว”
“สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าเป็นอัจฉริยะด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่น่าทึ่งจริงๆ”
“แม้ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นความล้มเหลวของพวกเรามาก่อน ทว่าใจของเจ้ารู้ดีอยู่แล้วใช่หรือไม่ เจ้ารู้สาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของพวกเรา”
ไม่เลย ข้ารู้เพียงแค่ความคิดของเจ้าค่อยๆ เปลี่ยนไปเท่านั้น…สวี่ชีอันไม่เอ่ยคำใด เขาได้แต่ยิ้ม
“เช่นนั้นกุญแจสำคัญคือสิ่งใด ศิษย์พี่ซ่ง เจ้าพอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่”
“โธ่เอ๊ย ศิษย์พี่ซ่ง อย่าสาธยายให้มากความเลย พูดตรงๆ คือการเล่นแร่แปรธาตุนี้กำลังเปลี่ยนหัวใจข้าให้กลายเป็นปีศาจ”
นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวถามด้วยความกังวล
ซ่งชิงกระแอมพร้อมกับมองไปยังรอบๆ เหล่าศิษย์น้องและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“มันเป็นระดับความรุนแรงของเสียงฟ้าผ่า”
เมื่อพูดจบ เขามองไปที่สวี่ชีอันด้วยสายตาอันแน่วแน่
สวี่ชีอันยิ้มและพยักหน้าก่อนกล่าวว่า
“ข้าตั้งชื่อมันว่าแรงดันไฟฟ้า”
แรงดันไฟฟ้าสำหรับการฟอกโซเดียมควรถูกควบคุมอยู่ที่ 6-15 โวลต์
‘แรงดันไฟฟ้าเช่นนั้นหรือ!’
ซ่งชิงตกตะลึง เนื่องจากเป็นอีกคำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เขารู้จักไฟฟ้าดี ทว่าแรงดันไฟฟ้าคืออะไร
ตามสัญชาตญาณ เขารู้สึกได้ว่านี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่งและลึกซึ้งพอๆ กับเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือสีน้ำเงินเล่มนั้น
นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวผู้หนึ่งก้าวไปข้างหน้าและยกมือคำนับให้กับสวี่ชีอัน
“ศิษย์พี่ได้โปรดชี้แจง แรงดันไฟฟ้าคือสิ่งใด”
“ได้โปรดชี้แนะพวกเราด้วย” นักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวคนอื่นๆ ยกมือคำนับและกล่าวพร้อมกัน
ฉู่ไฉ่เวยที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกอิจฉา เพราะนางชื่นชมในความเป็นอาจารย์และการชี้แนะต่อลูกศิษย์มากที่สุด ทว่าน่าเสียดายที่นางเป็นเพียงปรมาจารย์ฮวงจุ้ยเท่านั้น จึงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนลูกศิษย์
แรงดันไฟฟ้าหรือเรียกอีกอย่างว่าความต่างศักย์ ซึ่งเป็นปริมาณทางกายภาพที่ใช้วัดความแตกต่างพลังงาน จากประจุหนึ่งหน่วยในสนามไฟฟ้าสถิตเนื่องจากศักย์ต่างกัน…ซึ่งแน่นอน ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดไปทั้งหมด สวี่ชีอันกระแอมหนึ่งครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไฟฟ้าเปรียบเช่นการไหลของน้ำ ซึ่งจะไหลไปยังจุดต่ำสุด”
สวี่ชีอันยกถ้วยน้ำชาขึ้นและเทน้ำในถ้วยออกมา
“ไม่สำคัญว่าถ้วยใบนี้จะตกใส่ผู้ใด ทว่าสำคัญตรงที่น้ำจะหกลงตรงไหน และคนคนนั้นจะได้รับผลกระทบต่อกล้ามเนื้อจากโครงกระดูกภายในที่อยู่ในร่างกายจากน้ำที่หกใส่ หรืออาจสิ้นชีพ เช่นเดียวกับไฟฟ้า ซึ่งข้าเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า แรงดันไฟฟ้า”
เขาใช้ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายนี้เพื่ออธิบายถึงแรงดันไฟฟ้า
เหล่าคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ขมวดคิ้ว พวกเขาหมดหนทางที่จะเข้าใจคำพูดของสวี่ชีอัน
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีความสามารถในการจัดการกับสายฟ้า ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจแก่นแท้ของสายฟ้า
ทันใดนั้นซ่งชิงที่กำลังเข้าใจอะไรบางอย่างจึงกล่าวอย่างตื่นเต้น
“เช่นนั้นสายฟ้าจะฟาดเข้ากับต้นไม้ในวันที่ฝนตก เพราะต้นไม้อยู่ในจุดที่ต่ำสุดงั้นหรือ เช่นเดียวกับฟ้าฟาดลงตรงมนุษย์ อนึ่ง หากเป็นเพียงกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ อย่างมากก็แค่ทำให้พวกเราเป็นอัมพาต และหากถูกกระหน่ำด้วยสายฟ้าฟาด ชีวิตเจ้าอาจดับสูญได้”
“ความจริงก็คือแรงดันไฟฟ้าจากสายฟ้านั้นรุนแรงเกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ที่จะต้านทานได้ เสียงฟ้าร้องเปรียบเสมือนเสียงดังอันกึกก้องจากน้ำตกที่ไหลจากที่สูงลงสู่พื้นดิน กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เปรียบเสมือนน้ำเพียงหนึ่งถ้วยที่เราสามารถต้านทานได้”
เมื่อได้ยินซ่งชิงพูดเช่นนั้น เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุชุดขาวดูร่าเริงขึ้นมาทันใด EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq พวกเขามองไปยังสวี่ชีอันที่กำลังพยายามพิสูจน์ความจริงอยู่
เอิ่ม ใช้หลักการนี้หรือ
สาเหตุที่ต้นไม้ถูกสายฟ้าฟาดไม่ใช่เพราะน้ำฝนเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้างั้นหรือ อาจารย์มัธยมต้นของข้าไม่ได้อธิบายไว้…ใบหน้าของสวี่ชีอันเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ทว่าเขายังไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องนี้
“ชายหนุ่มผู้ควรค่าแก่การสั่งสอน”
“สิ่งนี่เขียนอยู่ในคัมภีร์โบราณการเล่นแร่แปรธาตุเล่มนั้นด้วยหรือ”
ชายหนุ่มในชุดขาวถามขึ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ใช่แล้ว มีเพียงข้าเท่านั้นที่ได้อ่านคัมภีร์โบราณการเล่นแร่แปรธาตุเล่มนั้น และข้าศึกษามันมาแล้ว เนื้อหาสั้นๆ ของจดหมายที่ข้าส่งไปยังสำนักโหราจารย์เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งเท่านั้น”
สวี่ชีอันชะงักไปครู่หนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คัมภีร์โบราณการเล่นแร่แปรธาตุเล่มนั้นไม่เพียงแต่บันทึกความรู้ไว้เท่านั้น ทว่ายังรวมถึงการเล่นแร่แปรธาตุที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกด้วย”
‘การเล่นแร่แปรธาตุที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน…’ และทันใดนั้นทุกคนก็หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย
สวี่ชีอันหัวเราะออกมา การเปิดเผยนี้ทำให้เหล่าคนชุดขาวเดือดดาล
“ข้าตัดสินใจแบ่งปันเคล็ดวิชาการเล่นแร่แปรธาตุให้กับสำนักโหราจารย์”
“โว้ย!”
นักเล่นแร่แปรธาตุราวยี่สิบคนเดือนพล่านขึ้นมาทันใด
“หนังสือเล่มสีน้ำเงินที่ข้ามอบให้กับสำนักโหราจารย์ เป็นการแทนคำขอบคุณที่เจ้าช่วยชี้แนะให้ข้าหลอมเงินปลอมได้สำเร็จ และยังให้ความรู้เกี่ยวกับแรงดันไฟฟ้า มันไม่ใช่ของที่ได้มาฟรีๆ”
สวี่ชีอันพูดอย่างตรงไปตรงมา
“แน่นอนว่ามันยังรวมถึงคัมภีร์โบราณการเล่นแร่แปรธาตุด้วย”
“อย่าลืมว่าหลักการพื้นฐานของการเล่นแร่แปรธาตุคือการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม”
ซ่งชิงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสวี่หนิงเยี่ยน และถามในนามของศิษย์น้องทั้งหลาย
“เจ้าต้องการเงินกี่ตำลึง”
“หยาบคายสิ้นดี!” สวี่ชีอันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“การเล่นแร่แปรธาตุประมาณค่าได้อย่างไรกัน”
สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไม่จำเป็นต้องใช้เงินแลกมา…ในใจของเขาเสริมขึ้นอย่างเงียบๆ
…
ด้านข้างของห้องโถงที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ
สวี่หลิงเยวี่ยกำลังอุ้มเด็กสาวที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขน นางจับผ้าเช็ดหน้าขึ้นสะอื้นและร้องไห้
เมื่อมองไปยังสาวน้อยที่กำลังร่ำไห้ นั่นทำให้หัวใจของเหล่ามือปราบของหน่วยจับกุมต้องสลาย ไม่เคยคาดคิดว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะมีน้องสาวที่หน้าตางดงามขนาดนี้
หัวหน้ามือปราบหวังเคยไปยังสำนักสังคีตและรู้สึกทึ่งในความงามของสาวน้อยผู้นี้
บรรยากาศในห้องโถงด้านข้างดูหดหู่เล็กน้อยและหน้าตาของเหล่ามือปราบก็พากันดูเหี่ยวเฉา
หัวหน้ามือปราบหวังรินน้ำชาหนึ่งจอกและวางไว้ตรงหน้าสวี่หลิงเยวี่ย ‘สาวน้อยผู้นี้ร้องไห้อยู่เป็นพักๆ แล้ว ยังหลั่งน้ำตาเป็นสาย อุปนิสัยของผู้หญิงช่างอ่อนโยนเหมือนน้ำยิ่งนัก’
“แม่นางสวี่อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป ท่านนายกองจะหาทางช่วยเหลือหนิงเยี่ยนเอง”
มือปราบคนอื่นๆ ได้แต่ปลอบและต่างตำหนิคุณชายโจว
‘พี่ใหญ่และเหล่าสหายมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน…’ สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความโกรธของเหล่ามือปราบ เพราะมันดูไม่เสแสร้งแต่อย่างใด
เหมือนว่านางยังคงประหลาดใจอยู่ หัวหน้ามือปราบหวังจึงหัวเราะออกมา
“หนิงเยี่ยนเป็นผู้ที่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ”
‘เคารพงั้นหรือ’ สวี่หลิงเยวี่ยกับอึ้งและสะอื้นออกมา พร้อมกับกระซิบเบาๆ
“หัวหน้ามือปราบหวัง ท่านเล่าเรื่องของพี่ใหญ่ให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หัวหน้ามือปราบหวังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและลดเสียงต่ำลงโดยไม่รู้ตัว
“ที่จริงแล้วคนอย่างพวกเรานั้น หากมือสะอาดจะอยู่ภายใต้อำนาจได้อย่างไร”
“หากไม่ลงมือกับคนธรรมดาก็ถือว่ายังมีมโนธรรม ส่วนพวกเศรษฐีมักใช้วิธีสกปรกในการแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งเป็นสัจธรรมที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“ทว่าพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือเศรษฐี เขาก็ไม่เคยใช้อำนาจขู่เข็ญหรือรีดไถเงิน เมื่อไม่นานมานี้ พิจารณาได้ว่าสกุลสวี่เผชิญกับความทุกข์ยาก ข้าจึงตัดสินใจใช้วิธีสกปรก…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ทำให้หัวหน้ามือปราบหวังมีสีหน้าแปลกไป รู้สึกอับอายอดสูปนกับความปีติยินดี
เขาแสยะยิ้มยอมรับ “หลังจากนั้นข้าจึงเอาเงินให้เขาเป็นจำนวนห้าตำลึง ทว่าเขากลับคืนให้ผู้อื่นอย่างเงียบๆ”
“เขาเป็นคนฉลาด น้ำที่ใสเกินไปก็ไร้ปลา คนที่ซื่อตรงเกินไปก็ไร้มิตร เป็นเรื่องจริงที่ต้องเข้าใจ ทว่าจะกล่าวว่าเขาโง่เขลาก็ไม่ใช่ เขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคน เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขา ทุกคนจึงรู้สึกไม่สบายใจ”
ในขณะที่สวี่หลิงเยวี่ยกำลังตั้งใจฟังอยู่นั้น ภาพในความคิดของพี่ใหญ่ก็เกิดขึ้นภายในใจของนาง ‘เขาทั้งดูสง่า เที่ยงตรงและกล้าหาญ’
นางชื่นชมสวี่หนิงเยี่ยนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะนางด้อยกว่าในทุกด้านรวมทั้งการอ่านหนังสือ ทว่าแม่ของนางปลูกฝังไว้เสมอว่าพี่ชายรองของสกุลสวี่เป็นนักปราชญ์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวและเป็นเสาหลักในอนาคต
ทว่าการเคารพและยกย่องได้สิ้นสุดลงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ หลังจากที่สวี่หนิงเยี่ยนได้ผ่านเข้าสู่อาชีพการเป็นข้าราชการ
แต่กระนั้นด้วยคดีเงินภาษีที่ตามมา ทำให้ทั้งตระกูลถูกจำคุก สิ้นหวังหมดหนทาง พี่ใหญ่ทำทั้งตระกูลหมดศรัทธาไร้ซึ่งทางออก
สวี่หลิงเยวี่ยเบี่ยงเบนความสนใจจากพี่ใหญ่ นางยังรู้สึกสงสัยในตัวเขาอยู่เล็กน้อย
จนถึงตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าพี่ใหญ่ผู้นี้เชื่อถือได้มากเพียงใด เช่นเดียวกับที่เขาช่วยพวกนางออกจากคุกเมื่อเดือนที่แล้ว
ความรู้สึกในตอนนั้นไม่ลึกซึ้งเท่ากับตอนนี้แน่นอน
ในตอนที่เห็นพี่ใหญ่ผู้นี้ช่วยชีวิตน้องสาวของนางไว้ ทำให้สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกถึงภาพลักษณ์ของพี่ใหญ่เทียบเท่ากับพี่ชายรอง
ในขณะที่ได้ฟังความรู้สึกของหัวหน้ามือปราบหวัง ภาพลักษณ์ของผู้ที่มีจิตใจสูงส่ง มีหลักการและศักดิ์ศรีค่อยๆ เกิดขึ้นจนเหนือกว่าพี่ชายรองที่เคยได้รับการเคารพยกย่องมาโดยตลอด
ในเวลานี้แสงแดดและเงาที่ตกกระทบยังทางเข้าของห้องโถงได้เปลี่ยนทิศทางไป ในที่สุดสวี่ผิงจื้อและลูกชายที่รีบกลับไปยังที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ ครั้นเมื่อเห็นน้องสาวปลอดภัยดี พ่อลูกทั้งสองจึงโล่งใจ
สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้นและร้องไห้ออกมาพร้อมกล่าวอย่างโศกเศร้า
“ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยพี่ใหญ่ หากพี่ใหญ่ไม่กลับมา ลูกสาวของท่านจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป”
……………………………………….