‘มือมืดที่อยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีคือรองเจ้ากรมโจว…’ สวี่ผิงจื้อตบโต๊ะน้ำชาดัง ‘ปัง’ ยืนขึ้นด้วยความโกรธ ถลึงตา อ้าปากอยากจะด่าไปถึงโคตรแม่ แต่กลับเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองบิดาที่ไร้ความสามารถแม้แต่จะโกรธ ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูเคร่งขรึมผิดปกติ “ข่าวน่าเชื่อถือหรือไม่”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์ หนึ่งในผู้รับผิดชอบคดีเงินภาษีเป็นคนบอกข้าด้วยตัวเอง”
เขาเล่าสิ่งที่ฉู่ไฉ่เวยพูดให้ฟัง
สวี่ซินเหนียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้ววางลง พึมพำว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะโจวลี่จงใจแก้แค้น”
เก่งมาก สมกับเป็นปัญญาชนที่สามารถสอบจวี่เหริน[1]ได้ สมองดีมาก สวี่ชีอันรู้สึกดีใจเมื่อรู้ว่าการสนทนาครั้งนี้คงไม่ไร้ประโยชน์ ถ้ามีเพียงอารองคนเดียวเขาจะไม่พูดถึงการเจรจาลับนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน แบบนั้นมันไม่มีความหมาย เพราะอารองถูกบีบคั้นจนร้อนใจจึงพูดได้เพียงว่า ถ้าเป็นพี่น้องกันก็ไปฆ่ามันด้วยกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นทหารที่หยาบกระด้าง เชี่ยวชาญในการฆ่าคน แต่ไม่ถนัดในการวางแผนลอบทำร้ายคน ความเชี่ยวชาญจึงมีไม่เหมือนกัน
สวี่ชีอันถามหยั่งเชิงว่า “เอ้อร์หลางคิดเห็นอย่างไร” สวี่ซินเหนียนเหลือบมองญาติผู้พี่ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนจะไม่พอใจกับน้ำเสียงหยั่งเชิงของเขา และพูดด้วยอารมณ์ไม่ดี
“ต้องทำอย่างไรหรือ แน่นอนว่าลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ ลงมือทีหลังย่อมประสบความหายนะ”
ไม่เลวนี่…สวี่ชีอันตกใจ เป็นการยากที่จะจินตนาการว่าสวี่ซินเหนียนจะพูดจาเด็ดขาดเช่นนี้ออกมา
เมื่อฟังถึงตรงนี้ อารองผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าครอบครัวและเป็นที่พึ่งของครอบครัวก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเงียบได้อีกต่อไป เขาตวาดสั่งสอนลูกชายว่า
“เก็บความคิดที่โง่เขลาและอวดดีของเจ้าไปเสีย ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งจวี่เหรินเล็กๆ เช่นเจ้า แม้เจ้าเป็นจอหงวน[2] ก็มิอาจจะผิดใจกับรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังได้”
เขาเพิ่งพูดจบก็ถูกหลานชายยับยั้งอย่างไร้ความปรานี “ข้าคิดว่าความคิดของเอ้อร์หลางถูกต้องแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “คนที่เราล่วงเกินไม่ใช่โจวลี่ แต่เป็นโจวเสี่ยนผิงรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลัง โจวลี่อาจไม่กล้ากลับมาแก้แค้นอีก แต่รองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังเล่า”
“พวกเราไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียการ แต่ยังทำให้บุตรชายของเขาบาดเจ็บด้วย แค้นนี้แม้เป็นคนธรรมดาก็ไม่มีเหตุผลที่จะอดกลั้นแม้แต่น้อย นอกจากนี้ในสายตาของรองเจ้ากรมโจว จวนสกุลสวี่จะแตกต่างอะไรกับมด เขายิ่งไม่มีเหตุผลเลยที่จะปล่อยเราไป”
สวี่ผิงจื้อไม่ยอมแพ้ “ไม่ พวกเราสู้รองเจ้ากรมโจวไม่ได้หรอก หนิงเยี่ยนเจ้ารู้จักคนของสำนักโหราจารย์ ซินเหนียนเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ อาศัยความสัมพันธ์ทั้งสองนี้ ตราบใดที่พวกเราไม่นอกลู่นอกทางก็ไม่มีใครกล้ามาสร้างความยุ่งยากให้”
จริงหรือ?
สวี่ชีอันเตือนว่า “ท่านอารองอาจไม่รู้ว่า คนของสำนักโหราจารย์ไม่แทรกแซงงานของราชสำนัก”
สวี่ฉือจิ้วกล่าวต่อไปว่า “ตอนที่เกิดคดีเงินภาษี ข้าก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่อยู่มิใช่หรือ วันนี้พี่ใหญ่กลับมาได้ก็เพราะโจวลี่ไม่มีเหตุผล ใช้เล่ห์กลชั้นต่ำเกินไป แต่หากเป็นรองเจ้ากรมโจวแสดงฝีมือ ก่อคดีเงินภาษีอีกครั้ง ทำให้สกุลสวี่ถูกตัดหัวทั้งตระกูลอย่างสมเหตุสมผล สำนักโหราจารย์และสำนักอวิ๋นลู่จะสามารถปล้นคุกช่วยพวกเราได้อีกเช่นนั้นหรือ จะต่อต้านกฎหมายต้าฟ่งเพื่อพวกเราหรือ”
สวี่ผิงจื้อผู้ซึ่งรู้สึกว่าความน่าเกรงขามของผู้นำครอบครัวกำลังถูกโจมตี เขาขมวดคิ้ว “แต่ว่าพวกเราจะจัดการกับรองเจ้ากรมอย่างไร ขุนนางระดับสามชั้นเอก…”
ข้าก็ไม่รู้ ข้าเป็นแค่คนข้ามภพธรรมดาๆ คนหนึ่ง…สวี่ชีอันหันไปมองน้องชายที่หล่อเหลา
“เอ้อร์หลางเจ้าคิดอย่างไร”
สวี่ซินเหนียนเงียบ เวลาผ่านไปนานมากจนสวี่ผิงจื้อเกือบจะทนไม่ไหว เขาจึงพูดช้าๆ ว่า “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดเรื่องหนึ่งอยู่ เงินภาษีถูกปล้น องค์จักรพรรดิทรงพิโรธอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าทรงเห็นคุณค่าของเงินเป็นอย่างมาก ตามเหตุผลแล้วควรจะลงโทษนักโทษอย่างรุนแรง เจ้าหัวขโมยโง่สองคนนั้นฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิดไม่ใช่หรือ” สวี่ผิงจื้อกล่าว
สวี่ซินเหนียนเหลือบมองไปทางบิดา เขาไม่ได้สนใจจึงพูดต่อว่า “ข้าสามารถคิดถึงความเป็นไปได้สองประการ หนึ่ง มีคนสนับสนุนรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังอยู่เบื้องหลัง สอง องค์จักรพรรดิทรงมีความกังวล เช่น ทรงต้องการรักษาสมดุลทางการเมืองที่ซับซ้อน”
“พี่ใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า กรมการคลังกล่าวโทษรองเจ้ากรมโจวว่ายักยอกเงินตราและเสบียงของท้องพระคลัง เหตุใดเขาจึงไม่กล่าวโทษรองเจ้ากรมอีกคน เหตุใดไม่ได้กล่าวโทษท่านเจ้ากรมแห่งกรมการคลัง”
สวี่ชีอันคิดอะไรขึ้นมาได้ “ศัตรูทางการเมืองของรองเจ้ากรมโจวกำลังจัดการเขาอยู่?”
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “อาจารย์เคยบอกว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งสำคัญของอุบายของจักรพรรดิคือความสมดุล จักรพรรดิไม่ได้ทรงแตะต้องรองเจ้ากรมโจว แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างฝ่าย”
“แล้วต้องทำอย่างไร” ท่านอารองถามโดยไม่รู้ตัว
สวี่ชีอันลูบคาง พูดอย่างไตร่ตรองว่า “อุบายของจักรพรรดิในยามปกติบางทีอาจจะใช้ได้ผล แต่ในขณะนี้กำลังจะมีการตรวจสอบข้าราชสำนัก แค่เพียงสามารถจับจุดอ่อนของรองเจ้ากรมโจวได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถจัดการเขาได้ การตรวจสอบข้าราชสำนักเป็นระบอบที่บรรพชนของจักรพรรดิทรงบัญญัติขึ้น แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้ สิ่งสำคัญของกลยุทธ์ปราบมังกร[3]ของลัทธิขงจื๊อก็คือคำว่า ‘ระบบพิธีการ’ ดังนั้นศัตรูทางการเมืองของรองเจ้ากรมโจวจึงจะไม่หยุดเพียงเท่านี้”
สวี่ซินเหนียนตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าคำว่า ‘กลยุทธ์ปราบมังกร’ จะโผล่ออกมาจากปากญาติผู้พี่ผู้หยาบกระด้างของเขา นี่ยังเป็นญาติผู้พี่ที่เป็นมือปราบคนนั้นอยู่หรือไม่
…ข้าแค่ดูละครย้อนยุคมากเกินไป สวี่ชีอันพูดในใจ
แน่นอนว่ายังมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเรียนประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก
หนังสือประวัติศาสตร์คือสาระทางด้านวัฒนธรรมของมนุษยชาติ หากตั้งใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ ก็จะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากหนังสือเหล่านี้
และหนังสือประวัติศาสตร์ก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุดเช่นกัน เพราะบทเรียนเดียวที่มนุษย์เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ก็คือ มนุษย์ไม่มีวันได้รับบทเรียนอะไรจากประวัติศาสตร์
เดิมทีสวี่ชีอันที่ชอบเรียนประวัติศาสตร์เคยดูแคลนคำพูดประโยคนี้ แต่ภายหลังก็พบว่ามีเหตุผลอยู่ระดับหนึ่ง
สาเหตุก็คือ ตอนที่เขาเรียนหนังสือ พ่อแม่และครูของเขามักจะเตือนด้วยความหวังดีว่า เราต้องขยันเรียน พยายามตั้งใจเรียน ไม่เช่นนั้นจะเสียใจในอนาคต แต่กลับไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งประสบกับความล้มเหลว ถูกสังคมทำร้าย จึงตื่นตัวขึ้นมาทันที
ญาติผู้น้องของสวี่ชีอันเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ เขาล้มเหลวในการทำธุรกิจ มีครั้งหนึ่งเขาหลุดปากออกมาว่า ‘นายต้องขยันเรียน มิฉะนั้นนายจะต้องเสียใจในอนาคต’
พูดจบเขาก็เงียบไป
สวี่ซินเหนียนเชิดคาง ถามด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง “เช่นนั้นพี่ใหญ่คิดเห็นว่าควรทำอย่างไร”
เจ้าไม่ยอมแพ้จริงๆ สินะ…หากเป็นนางเอก นิสัยหยิ่งยโสเช่นนี้ไม่ค่อยเป็นที่น่าชื่นชมนัก…ข้าชอบผู้หญิงไซซ์ 36D ที่แสนงอนทำตัวน่ารักมากกว่า…สวี่ชีอันเย้ยหยันในใจ แล้วพูดด้วยสีหน้าปกติ
“เหตุใดจึงต้องก่อคดีเงินภาษี คงไม่ใช่การยักยอกเงินอย่างแน่นอน เพราะการยักยอกเงินทำได้ตลอดเวลา จะไปเสี่ยงกับการตรวจสอบข้าราชสำนักทำไม”
“เว้นเสียแต่เขาจะต้องการเงินจำนวนหนึ่งอย่างเร่งด่วน ต้องการเงินจำนวนนี้มาเติมส่วนที่ขาดทุนของเขา และสาเหตุในการเติมส่วนที่ขาดทุนของเขาก็เพื่อรับมือกับการตรวจสอบข้าราชสำนัก” สวี่ชีอันแสดงทักษะด้านตรรกะและเหตุผลของเขาอย่างเต็มที่
“เช่นนั้นแล้ว?” สวี่ซินเหนียนกระตุกมุมปาก
ดังนั้นพวกเราต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการยักยอกเงินภาษีของรองเจ้ากรมโจว พวกเราต้องคลี่คลายคดีเพื่อให้รองเจ้ากรมโจวเปิดเผยตัวตน ให้เขายอมรับโทษและถูกประหารชีวิตให้ได้…สวี่ชีอันกำลังจะพูดอย่างนั้น เมื่อเขาเห็นดวงตาอมยิ้มของสวี่เอ้อร์หลาง เขาจึงไม่ได้พูดออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว!” อารองตบขาฉาดหนึ่ง น้ำลายกระเซ็นด้วยความตื่นเต้น “ดังนั้นพวกเราต้องเปิดโปงเรื่องนี้เพื่อให้คนแซ่โจวเปิดเผยตัวตน”
เขาตื่นเต้นมาก รู้สึกว่าในที่สุดสมองของเขาก็ปราดเปรื่องเสียที
‘ข้าก็ไม่โง่เช่นกัน…’ อารองคิดอย่างภูมิใจ
สวี่ซินเหนียนส่งเสียง ‘คิก’ “ท่านพ่อคิดว่า ด้วยฐานะหัวหน้ากองร้อยกองดาบของท่านจะสามารถตรวจสอบรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลังได้ สามารถแตะต้องเอกสารของกรมการคลังได้เช่นนั้นหรือ”
สวี่ผิงจื้อหน้าตึงขึ้นมาทันที
สวี่ต้าหลางส่งเสียง ‘คิก’ แล้วกล่าวว่า “ไม่ได้แน่นอน”
ขอบคุณอารองที่บุ่มบ่าม
สวี่ซินเหนียนผู้ที่ไม่สามารถเอาชนะญาติผู้พี่ทางด้านสติปัญญาได้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ซักถามว่า “ถ้าเช่นนั้นพี่ใหญ่คิดว่าควรทำอย่างไร”
สวี่ชีอันเคาะนิ้วบนโต๊ะเบาๆ “ให้พวกนั้นเข่นฆ่ากันเอง กำลังหลักที่จะรับมือกับรองเจ้ากรมโจวได้ไม่ใช่พวกเรา สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐหลังหัก[4]”
ส่วนจะทำอย่างไรนั้น เขายังคิดไม่ออก
‘ไม่เลวทีเดียว’ …สวี่ซินเหนียนพยักหน้าชื่นชมแล้วพูดว่า “ถอยก่อนก้าวหนึ่ง เราไม่ต้องรับมือกับรองเจ้ากรมโจวที่เป็นถึงขุนนางระดับสาม ย่อมต้องมีเล่ห์เหลี่ยม พวกเราไม่สามารถรับมือได้ในเวลานี้ แต่คนย่อมต้องมีจุดอ่อน”
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย ตบมือด้วยความตื่นเต้น “โจวลี่!”
“ใช่แล้ว เมื่อเทียบกับรองเจ้ากรมโจว ลูกผู้ดีอย่างโจวลี่นั้นน่าจะรับมือได้ง่ายกว่า หากการกล่าวโทษไม่เพียงพอ เช่นนั้นพวกเราก็สร้างโทษขึ้นมาเอง ยื่นมีดให้กับศัตรูทางการเมืองของโจวเสี่ยนผิง และให้พวกเขาช่วยเราฆ่าโจวเสี่ยนผิง” ดวงตาที่เปล่งประกายดุจดวงดาวของสวี่ซินเหนียนฉายแววร้ายกาจ
“ใกล้จะถึงช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนักแล้ว ถ้าบุตรชายของรองเจ้ากรมโจวก่อกรรมทำชั่วสร้างความเคียดแค้นให้ประชาชน ในฐานะบิดา โจวเสี่ยนผิงก็ยากที่จะปฏิเสธความผิดได้ จักรพรรดิทรงยินยอมปกป้องคราหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะทรงยินยอมปกป้องเป็นคราที่สอง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วและพูดว่า “แม้ว่าการวิเคราะห์นี้จะดี แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ วิธีโยนความผิดให้คนอื่นไม่แน่ว่าจะใช้ได้ผล”
อารองฟังลูกชายและหลานชายพูดจาปราศรัยกันไปมา ทันใดนั้นก็พบว่าคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเช่นเขาถูกเบียดไปที่ชายขอบของการเจรจาลับครั้งนี้ ไม่สามารถพูดแทรกได้เลย
แต่จากการวิเคราะห์เป็นขั้นเป็นตอน ความคิดของอารองก็ชัดเจนขึ้นทุกที ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ จึงอดที่จะตบโต๊ะอย่างตื่นเต้นไม่ได้
“ฉือจิ้วบุตรชายของข้ามีคุณสมบัติของอัครเสนาบดี”
แล้วข้าซึ่งเป็นหลานชายของท่านไม่มีคุณสมบัติของอัครเสนาบดีเช่นนั้นหรือ สวี่ชีอันเหลือบมองอารองและถือโอกาสดูถูกสวี่เอ้อร์หลาง
“เอ้อร์หลางเอ๋ย ว่ากันว่าบัณฑิตนั้นได้แต่พูดตามหลักการ ตัวเจ้าเองก็หนีไม่พ้นรูปแบบเดิมๆ ที่ตายตัว”
สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปากแล้วพูดเหน็บแนมกลับไปว่า “พี่ใหญ่โปรดสั่งสอนด้วย”
สวี่ชีอันไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย “ข้าไม่สามารถบอกวิธีได้ แต่ข้าสามารถให้แนวคิดได้”
อารองพูดด้วยความร้อนใจ “รีบพูดมาเลย”
………………………………………………….
[1] จวี่เหริน ผู้สอบเข้ารับราชการในเขตมณฑล
[2] จอหงวน เป็นตำแหน่งราชบัณฑิตซึ่งได้คะแนนอันดับหนึ่งในการสอบขุนนางของประเทศจีนสมัย
[3] กลยุทธ์ปราบมังกร เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการเล่นหมากล้อม หมายถึง การรุกฆาตหมากรุกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ของฝ่ายตรงข้าม
[4] ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้อูฐหลังหัก เป็นสุภาษิตฝั่งตะวันตกเปรียบเปรยว่า ‘เจ้าของอูฐนำของบรรทุกหลังอูฐมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดที่อูฐทนต่อไปไม่ไหว แม้จะใส่แค่ฟางเส้นเดียวซึ่งมีน้ำหนักเบามากๆ ก็ทำให้อูฐหลังหักได้’ อีกนัยหนึ่งคือ เมื่อคนเราประสบกับปัญหาที่นำมาซึ่งความกดดันมหาศาลจนเกิดขีดจำกัดความอดทนของคนคนนั้น แม้มีเรื่องเพียงเล็กน้อยเข้ามากระทบ จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่เกินจะรับไหว คล้ายกับสำนวนไทยที่ว่า ‘ฟางเส้นสุดท้าย’