ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 50 ปาศรลงไห

เพราะเหตุใดจึงหวาดกลัวความตายทางสังคม[1]อย่างนั้นหรือ ที่แห่งนี้เกี่ยวพันกับกฎของเมืองชั้นใน เมืองชั้นในต่างจากเมืองชั้นนอกโดยอย่างหลังไม่มีการห้ามออกนอกเคหสถานยามราตรี

เพราะอย่างแรกผู้ที่อยู่อาศัยล้วนเป็นผู้รากมากดี เพื่อความปลอดภัยของเหล่าขุนนางชั้นสูงที่เรืองอำนาจ หลังตีกลองยามพลบค่ำก็จะไม่มีผู้คนอยู่บนถนนอีก

เป็นที่ทราบกันดีว่าสำนักสังคีตเปิดทำการในยามราตรี

นี่หมายความว่าการไปสำนักสังคีตไม่เพียงเพื่อสืบข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องค้างแรมที่นั่นด้วย

นี่จึงเป็นเหตุผลที่สวี่ผิงจื้อคัดค้านสวี่ชีอันในการไปสำนักสังคีต เดิมก็เป็นชายหนุ่มอายุน้อยวัยกำหนัดค้างแรมที่สำนักสังคีต เมื่อโดนหญิงสาวยั่วเย้า ใครเล่าจะทนไหว

ดังนั้น ผู้ใดไปเยือนสำนักสังคีต ผู้นั้นย่อมต้องไปเที่ยวโสเภณี

ชายหนุ่มทั้งสามที่อยู่ระหว่างประชุมล้วนสร้างภาพลักษณ์

สวี่ฉือจิ้วสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม

สวี่ชีอันผู้ไม่ไปเยือนหอคณิกา

สวี่ผิงจื้อผู้รักภรรยาห่วงใยครอบครัว

ในใจทั้งสามล้วนประจักษ์แจ้งอยู่เรื่องหนึ่ง แม้ทุกเรื่องล้วนมีมูลเหตุ เที่ยวโสเภณีก็คือเที่ยวโสเภณีอยู่ดี มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้

แม้ภพก่อนข้าจะไม่เคยเที่ยวโสเภณี ทว่าข้าจินตนาการได้ถึงความลำบากใจที่ตนเที่ยวโสเภณีแล้วถูกลุงตำรวจโทรศัพท์แจ้งพ่อแม่…ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยจริงๆ…สวี่ชีอันนั่งหลังตรง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

ในหัวนึกเรื่องสนุกเกี่ยวกับหอนางโลมขึ้นได้ บางครั้งยามที่ฟังเพลงที่หอคณิกา หัวหน้ามือปราบหวังจะจุดประเด็นสนทนา ขุนนางในราชสำนักบางคนไปหลับนอนกับหญิงสาวที่สำนักสังคีต ผลสุดท้ายยามที่ประชุมชาก็พบลูกชายของตน

สถานการณ์เช่นนั้นน่าอึดอัดใจมาก

วันต่อมาก็ได้แพร่สะพัดไปยังแวดวงขุนนางในเมืองหลวง อ้างเป็นเรื่องตลกจนแม้แต่หัวหน้ามือปราบหวังยังได้ยินเรื่องนี้มาจากนายอำเภอจู

สำหรับยุคนี้ที่ให้ความสำคัญต่อสามแบบอย่าง ห้าคุณธรรม[2]และชื่อเสียงแล้ว การเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นย่อมมิอาจทนสู้หน้าได้

สวี่ชีอันจ้องมองอารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลาง ในหัวปรากฏภาพนั้นอย่างไม่รู้ตัว

สวี่ซินเหนียน ‘โอ๊ะ ท่านพ่อ ท่านก็มาด้วยหรือ วันนี้แม่นางผู้นี้จะอยู่กับข้า วันพรุ่งจะคืนให้ท่าน’

อารองสวี่ ‘ไสหัวไป ใครเป็นพ่อเจ้ากัน ข้าไปนอนก่อนล่ะ’

สวี่ชีอัน ‘พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป ข้าจะเผด็จศึกคนเดียว’

แค่คิดก็สั่นไปหมดแล้ว…สวี่ชีอันกระแอมกระไอ “ปล่อยเรื่องของสำนักสังคีตไปก่อน พวกเราสืบข้อมูลต่อไป อย่างไรเสียสำนักสังคีตใช่ว่าจะต้องไป พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าจะสืบข้อมูลที่มีประโยชน์จากคณิกาฝูเซียงได้จริงหรือไม่”

“วันมะรืนนั่งรวบรวมข้อมูลใหม่ หากไม่มีอะไรเพิ่มเติม พวกเราค่อยหารือเรื่องไปสำนักสังคีตอีกครั้ง”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ท่าทีของสวี่เอ้อร์หลางกับอารองสวี่ดีขึ้นในทันใด แล้วพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา

สวี่ชีอันคิดในใจ ยังคงเป็นข้าที่เสียสละ คืนพรุ่งนี้ไปสำนักสังคีตสักรอบดีกว่า

เที่ยงของวันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันขอลากลับไปยังจวนสกุลสวี่ จวนสกุลสวี่ที่เคยครึกครื้นในวันวานวังเวงลงไปมาก

พาสาวใช้และแม่บ้านไปครึ่งหนึ่ง แล้วเหลือนายจางยามเฝ้าประตูกับคนใช้ไม่กี่คนคอยจัดการ อารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลางอยู่ข้างนอกยังไม่ได้กลับมา

สวี่ชีอันเข้าไปลานชั้นในอย่างชำนาญทาง ผลักห้องของสวี่เอ้อร์หลางออก รื้อข้าวของก็พบชุดคลุมปัญญาชนสีฟ้าอ่อน เนื้อผ้าล้ำค่า ปักด้วยลายเมฆสีเดียวกัน

เขาถอดชุดมือปราบออกและเปลี่ยนเป็นชุดที่ภูมิฐานที่สุดของเจ้าน้องชาย หยกที่นับว่าเนื้อดีห้อยอยู่บนสายรัดเอว

สวี่ชีอันยืนอยู่หน้าคันฉ่อง มองรูปลักษณ์ของตนในตอนนี้

ก็พอใช้ได้…เปลือกนอกของข้ากำยำสมชายมากเกินไป มิอาจสวมออกมาให้งดงามในแบบหนุ่มน้อยได้…หากเป็นความงามสมัยรุ่งโรจน์ของข้าในอดีตชาติ ก็คงอยู่ในชุดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ…อย่างไรเสียเปลือกนอกนี้ก็ขาดความรู้สึกร่วมนั้น…สวี่ชีอันลูบรอยยับบนหน้าอกให้เรียบ แล้วจากไปอย่างพึงพอใจ

โครงสร้างของเมืองหลวงต้าฟ่งสามารถสรุปรวบรัดได้ด้วยคำว่า ‘ตุ๊กตาแม่ลูกดก’[3] แบ่งออกเป็นเขตพระราชวัง เมืองหลวง เมืองชั้นใน และเมืองชั้นนอก

เมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกที่ผู้คนปะปนไปด้วยคนดีและคนเลวมากมาย สวี่ชีอันเข้าใจว่าเมืองชั้นในเป็นย่านศูนย์กลางทางธุรกิจของภพก่อน ผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้ได้ล้วนเป็นคนรวย

ในยุคนี้ผู้ที่จะอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในได้ล้วนเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและฐานะ

สิ่งที่น่ากล่าวถึงก็คือ อาสะใภ้คิดจะขายบ้านในเมืองชั้นนอกและย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในมาโดยตลอด

น่าเสียดายที่มีหลานชายอสูรกลืนทอง[4] ทำให้อาสะใภ้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาในเมืองชั้นใน แต่ไร้วาสนาที่จะอาศัยอยู่ในนั้น

จากจวนสกุลสวี่ไปถึงทางเข้าประตูเมืองของเมืองชั้นใน หากเดินด้วยเท้า ด้วยระดับก้าวของสวี่ชีอันตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง

เขาจ้างรถม้าและไปถึงทางเข้าประตูเมืองของเมืองชั้นในที่ใกล้ที่สุดในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ควักหนังสือหลักฐานที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา แล้วผ่านด่านไปอย่างราบรื่น

ทหารรักษาเมืองตรวจสอบรถม้าอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่ได้ถือสัมภาระขนาดใหญ่ติดตัว ใบหน้าจึงยากจะปกปิดความผิดหวัง

เพราะนี่หมายถึงสวี่ชีอันไม่ได้เข้ามาในเมืองเพื่อทำการค้า จึงมิอาจเก็บภาษีประตูเมืองได้

ถนนในเมืองชั้นในกว้างขวาง ทางขวางตัดสลับทางตรง บ้านเรือนอันงดงามที่โอบล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจีสร้างอยู่บนถนนสายหลัก ลานบ้านนานารูปแบบกระจายอยู่บนถนนที่ไม่ใช่สายหลัก

ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างเมืองหรือเสื้อผ้าการแต่งกายของคนเดินเท้า รวมถึงจำนวนรถม้าบนถนน ล้วนชนะเมืองชั้นนอกอย่างขาดลอย

“เมื่อมีเวลาว่างจะต้องพาน้องหลิงเยวี่ยมาเที่ยวในเมืองชั้นในให้ได้ ความเจริญแตกต่างกับเมืองชั้นนอกจนมิอาจเปรียบเทียบกันได้” สวี่ชีอันเลิกม่านรถขึ้น ทอดมองภาพความเจริญ ในหัวปรากฏใบหน้างามเลิศเพริศพริ้งของสวี่หลิงเยวี่ย

เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปสำนักสังคีตในทันที มันยังเร็วเกินไป เหล่าพ่อค้าอาหารทะเลไม่ทำงานตอนกลางวัน

หลังจากจ่ายเงินค่าเช่ารถม้า สวี่ชีอันก็เตร็ดเตร่ไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย

ไม่นานนักสวี่ชีอันก็มาถึงตลาดแห่งหนึ่ง เขาเงยหน้ามองซุ้มประตูที่ทางเข้าถนน ถนนหย่งคัง!

ความกว้างขวางของถนนสายนี้เป็นสิ่งที่สวี่ชีอันไม่เคยพบมาก่อน มันกว้างสองร้อยเมตร ก่อด้วยแผ่นหินสีดำแต่ละชิ้นเป็นพื้นราบทอดยาวไปจนสุดสายตา

ร้านค้าสองข้างทาง บ้านเรือนซ้อนกันแน่นขนัด รถม้าสิบคันเรียงต่อกันได้โดยไม่แออัด ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่

ที่ใดเป็นถนนก็จะแยกเป็นจัตุรัสกว้างอย่างชัดเจน

สวี่ชีอันที่ยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูทอดมองฉากนี้ด้วยความหวั่นไหวจากใจจริง

ถนนหย่งคังเป็นหนึ่งในถนนสายหลักของเมืองหลวง อารองเคยบอกว่ามันใหญ่มาก นึกไม่ถึงว่าจะใหญ่เพียงนี้ สวี่ชีอันพึมพำในใจ

ถนนสายหลักกว้างใหญ่เช่นนี้ช่างงามวิจิตร ยามองค์จักรพรรดิหรือรัชทายาทของราชวงศ์เสด็จประพาส จะมีทหารรักษาพระองค์ปัดกวาดสถานที่ล่วงหน้า

ความกว้างสองร้อยเมตรทำให้อาวุธ เช่น ธนูและปืนไฟส่วนมากใช้ไม่ได้ผล

แม้จะมีพวกนักฆ่าลอบสังหารคิดซ่อนตัวลอบทำร้ายอยู่ในอาคารทั้งสองด้าน เมื่อเห็นระยะนี้ก็ทำได้เพียงปล่อยสองมือจากแผงแป้นพิมพ์และพิมพ์ 666[5] ออกไปอย่างช่วยไม่ได้

สวี่ชีอันร่อนเร่ไปทั่วถนนหย่งคังราวกับหมาป่าที่บังเหียนหลุด ทว่าเพราะงบในกระเป๋ามีจำกัด จึงยับยั้งค่าใช้จ่ายในการซื้อของเอาไว้ได้

ทันใดนั้นรถม้าอันโอ่อ่าได้ดึงดูดความสนใจของสวี่ชีอัน สว่างเสียจนทำตาสุนัขโลหะผสมไทเทเนียมของเขาบอด

มันคือม้าฝีเท้าดีร่างกายแข็งแรงสี่ตัวกำลังลากรถม้าอยู่ หลังคากลมทรงโค้งปลายแหลมสีเงินเคลือบทอง ผ้าแพรต่วนสีเหลืองสดใสที่หน้าต่างรถลู่ลง ด้านล่างลงมาเป็นหูรถ[6]ที่ใช้บังฝุ่น ใช้หยกขาวที่วาวใสห่อหุ้มเอาไว้

ด้านข้างของล้อรถตอกด้วยตะปูเนื้อทองที่เรียงรายเป็นระเบียบ ล้อรถก็หุ้มด้วยหยกเช่นกัน

ทว่าด้านในแท้จริงเป็นรถม้าวัสดุไม้ ต้นหนานมู่เนื้อทองที่ราชวงศ์ใช้กันโดยเฉพาะ

ข้าคิดว่าดิ้นรนต่อสู้ทั้งชีวิต ก็มิอาจซื้อล้อรถเช่นคนผู้นั้นได้…สวี่ชีอันคิดอย่างเศร้าใจ ราวกับได้พบความรู้สึกยามที่เป็นทาสบริษัทในภพก่อน

รถม้าอันโอ่อ่าคันนี้หยุดอยู่ที่ข้างทาง ทหารที่สวมเกราะดำถือหอกยาวแถวหนึ่งเฝ้าอยู่ข้างรถม้า ที่น่าสนใจก็คือทหารอีกแถวหนึ่งกำลังเล่นปาศรลงไหกันอยู่

เจ้าของแผงลอยเป็นนักบวชเฒ่าที่สวมชุดนักบวชขาดลุ่ย ผมสีขาวติดด้วยปิ่นไม้ เส้นผมที่ยุ่งเหยิงลู่ตกลงมา

บนแผงลอยจัดวางด้วยเหรียญทองแดง ก้อนเงิน ก้อนทอง คัมภีร์เต๋า กำไลลูกประคำ และกระจกหยก…ของเล่นหลากหลายคละกันยุ่งเหยิง

ไม่ต้องเอ่ยถึงสิ่งอื่น ลำพังเพียงก้อนทองและก้อนเงินที่จัดวางอยู่บนแผงยังไม่ถูกคนฉกชิงไป นักบวชเฒ่าผู้นี้คงไม่ธรรมดาทีเดียว…สวี่ชีอันหยุดเดินและคอยสังเกต

เขาเฝ้ามองอยู่สักพักก็เข้าใจวิธีการเล่น ผู้ปาศรต้องอยู่ห่างจากไหลายครามสามสิบก้าว ปิดตาและกลับหันหลัง พร้อมลูกศรทั้งหมดสามดอก

หากมีลูกศรหนึ่งดอกปาเข้า ก็จะได้รับของรางวัลแถวที่สามเป็นทอง เงิน และหยกจำนวนหนึ่ง หากปาเข้าทั้งสามดอก สามารถเลือกของรางวัลแถวแรกหนึ่งชิ้นได้ตามใจชอบ

ทว่าของรางวัลแถวแรกมีเพียงสองชิ้น ได้แก่ กำไลลูกประคำและกระจกหยก

“พลาดอีกแล้ว น่าเสียดาย!”

“หลีกไป เป็นทีของข้าแล้ว”

เหล่าทหารชุดเกราะผลัดกันปาศรลงไห ทว่าทั้งหมดก็กลับมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เศษเงินตรงหน้านักบวชเฒ่าจึงยิ่งกองสูงขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากทหารชุดเกราะสิบห้านายประสบความล้มเหลวอีกครั้ง สวี่ชีอันก็สังเกตเห็นม่านของรถม้าขยับเล็กน้อย ทหารชุดเกราะนายหนึ่งที่คอยอยู่ข้างหน้าต่างก้มหัวฟังจบก็เดินไปทางเจ้าของแผงลอย

“ท่านนักบวช นายของข้ากล่าวว่า 60 ตำลึงทองซื้อของบนแผงลอยของท่านทั้งหมด” ทหารชุดเกราะเดินมาตรงหน้านักบวชเฒ่า แล้วเอ่ยเสียงดัง

เพราะปาศรลงไหไม่เข้า จึงเติมเกมโดยตรงเลยหรือ…สวี่ชีอันยืนมองฉากนี้อยู่ไม่ไกลนัก

เมื่อเผชิญกับความยั่วยวนของ 60 ตำลึงทอง นักบวชเฒ่าส่ายหน้า “กฎก็คือกฎ”

ทหารชุดเกราะเกร็งร่างในบัดดล จ้องนักบวชเฒ่าเขม็งอย่างเดือดดาลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพลันหันหลังและกลับไปรายงานที่รถม้า

ไม่กี่วินาทีต่อมาเจ้าของรถม้าก็เรียกทหารชุดเกราะกลับมา แล้วเตรียมจะจากไป

สวี่ชีอันถือโอกาสก้าวไปข้างหน้ามายังตรงหน้านักบวชเฒ่า แล้วเอ่ยถาม “ท่านนักบวช เล่นครั้งหนึ่งราคาเท่าไร”

นักบวชเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นลูกศรสามดอกมาให้ “หนึ่งอีแปะ”

สวี่ชีอันรับลูกศรมาพร้อมกับหัวเราะ คิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือตนเป็นแน่

ปาศรลงไหที่อยู่ห่างสามสิบก้าวมิใช่เรื่องยากสำหรับทหารระดับหลอมจิต ทว่าการหันหลังปิดตาแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปาเข้า

ดวงตาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในบรรดาสัมผัสทั้งห้า สูญเสียความสามารถในการมองไป ย่อมทำให้สัมผัสที่มือของนักรบลดลง ทวีความยากที่จะยิงถูกเป้า

จะปาเข้าหรือไม่ ล้วนดูที่ใบหน้า

แม้ใบหน้าของสวี่ชีอันจะไม่รูปงาม ทว่าเขามีความมั่นใจอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้รับเงินมาหลายวันติดต่อกันแล้ว

เพราะข้ามาเมืองชั้นในจึงได้เจอกับเกมปาศรลงไหนี้ ดังนั้นความโชคดีจึงสะสมเองโดยอัตโนมัติมิใช่หรือ หากข้าปาเข้าได้ ก้อนทองและก้อนเงินทั้งหมดจะเป็นของข้า…เฮ้ ชีวิตของคนโชคดีช่างเรียบง่ายไร้สีสันและน่าเบื่ออะไรเช่นนี้…สวี่ชีอันเดินออกไปสามสิบก้าว หันหลังและใช้ผ้าสีดำปิดตาเอาไว้ แล้วเหวี่ยงมือไปด้านหลัง

‘ตึงๆๆ…’

ลูกศรทั้งสามดอกเข้าไหแทบจะพร้อมกันโดยไม่เรียงลำดับแต่อย่างใด

ผู้คนที่สัญจรอยู่รอบๆ ส่งเสียงอุทานออกมา เสียงฮือฮาดึงดูดรถม้าที่กำลังจะจากไป เสียงกังวานอันไพเราะนุ่มนวลลอยออกมาจากหน้าต่างรถ

“หยุดรถ!”

………………………………………

[1] ความตายทางสังคม เป็นคำยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ต หมายถึง ความอับอายต่อหน้าสาธารณชน และภายหลังความอัปยศอดสูครั้งใหญ่ เรื่องน่าละอายนั้นก็เป็นที่รู้กันทั่วจนถึงขนาดว่าการมีชีวิตอยู่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย

[2] สามแบบอย่าง ห้าคุณธรรม คือ ทฤษฎีทางสังคมการเมือง เป็นทฤษฎีที่นำลัทธิเต๋ามาปฏิบัติจริงในสังคม โดย ‘สามแบบอย่าง’ ประกอบด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก เจ้านายกับลูกน้อง และสามีกับภรรยา ส่วน ‘ห้าคุณธรรม’ ได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญา และความน่าเชื่อถือ โดยความน่าเชื่อถือหรือความจริงใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในบรรดาคุณธรรมห้าประการและเป็นรากฐานสำหรับคุณธรรมอื่นๆ

[3] ตุ๊กตาแม่ลูกดก เป็นตุ๊กตาที่ภายในมีลักษณะเรียงซ้อนกันหลายๆ ตัว

[4] อสูรกลืนทอง หมายถึงเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่ยังเดินไม่ได้ ซึ่งการเลี้ยงดูเด็กวัยนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมาย คนจีนจึงเรียกว่า อสูรกลืนทอง

[5] 666 เลขหกภาษาจีน คือ 六 อ่านว่า ลิ่ว คนจีนมักจะใช้ ‘ลิ่วๆๆ’ หรือก็คือ 666 มีความหมายว่า เจ๋ง สุดยอด (เป็นภาษาพูด)

[6] หูรถ หรือ ฟาน (ในภาษาจีน) หมายถึงส่วนที่เหมือนหูของรถในสมัยก่อน โดยจะปรากฏอยู่ทั้งสองข้างของเกวียนรถ ใช้สำหรับกันฝุ่นหรือโคลน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
Status: Ongoing
อ่านนิยาย ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset