ในอนาคตข้าก็จะกลายเป็นลูกพี่ที่มีมาดแบบนี้เช่นกัน…สวี่ชีอันนึกอิจฉาอยู่ในใจ เขากอบหมัดคำนับ
“เมื่อคืนนักบวชจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีมาหาข้าที่บ้าน เขาไม่ได้ทำร้ายข้า และไม่ได้นำหนังสือปฐพีไป แต่กลับเชิญให้ข้าเข้าร่วมพรรคฟ้าดินขอรับ”
“พรรคฟ้าดิน…” เว่ยเยวียนหันกลับมาแล้วเดินเข้ามายังห้องชา
“ผู้ก่อตั้งพรรคฟ้าดินก็คือนักบวชจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีผู้นั้นและคนในนิกายปฐพีเบื้องหลังของเขา” สวี่ชีอันเห็นว่าเว่ยเยวียนมีท่าทางจริงจังตั้งใจฟัง เขาก็รู้แล้วว่ารายงานที่ตนมอบให้นั้นมีค่าอย่างยิ่ง
“สมาชิกหลักของพรรคฟ้าดินมีทั้งหมดเก้าคน ขณะเดียวกันก็คือผู้ถือชิ้นส่วน ‘หนังสือปฐพี’ ด้วย พวกเขาใช้หมายเลขของชิ้นส่วนเป็นรหัสแทนตัว ไม่ใช้นามจริงขอรับ” สวี่ชีอันเล่าบทสนทนาของเมื่อวานไปคร่าวๆ
“ตอนนี้รู้แค่ว่าหมายเลขหนึ่งอยู่ที่เมืองหลวง มีอิทธิพลเบื้องหลังไม่น้อย หมายเลขสองอยู่ที่อวิ๋นโจว กำลังง่วนอยู่กับการปราบโจร ยังคลุมเครือว่าเป็นคนในราชสำนักหรือไม่ขอรับ”
ขันทีใหญ่ผู้มีจอนผมสีขาวยวงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแล้วเอ่ยถาม “ต่างก็ไม่รู้ตัวตนของกันและกัน…จินเหลียนยังกล่าวอะไรกับเจ้าอีก”
สวี่ชีอันตอบตามตรง “เขาบอกว่านิกายปฐพีกำลังมีปัญหา เขาจะทำการชะล้างสำนัก ดังนั้นถึงได้ก่อตั้งพรรคฟ้าดินขึ้นมา”
เมื่อถึงตรงนี้ เขาก็มองเห็นว่าดวงตาแฝงความโชกโชนของขันทีใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเจิดจ้ากำลังจดจ้องมองเขา เสียงอันนุ่มนวลเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“พูดให้ละเอียด”
“ผู้นำเต๋าของนิกายปฐพีตกสู่ทางมาร ส่งผลกระทบต่อคนในนิกายปฐพีแทบทั้งหมด มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รักษาสติไว้ได้แล้วหนีออกจากสำนักเพราะว่ามีหนังสือปฐพีเป็นเครื่องป้องกันขอรับ” สวี่ชีอันขายนักบวชเต๋าจินเหลียนเสียจนหมดสิ้น
“ดังนั้นเขาจึงก่อตั้งพรรคฟ้าดินแล้วมอบชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีให้กับผู้เยี่ยมยอดที่กระจายอยู่ทั่วหล้าและสนับสนุนพวกเขา เพื่อที่ว่ายามล้างสำนักในอนาคตจะได้รับแรงช่วยเหลือ”
ผู้นำเต๋าตกสู่ทางมาร มิน่าจื่อเหลียนถึงได้กลายเป็นดำมืดชั่วช้า…ใบหน้าสง่าหล่อเหลาของเว่ยเยวียนมองไม่เห็นอารมณ์ เขาเอ่ยถามพร้อมน้ำเสียงทดสอบ “เจ้าคิดว่าจินเหลียนบอกเรื่องเหล่านี้กับเจ้าไปเพื่ออะไร”
สวี่ชีอันกำลังจะพูดว่าไม่รู้ เขาก็ต้องเจอกับสายตาล้ำลึกของเว่ยเยวียน เขาได้ยินการทดสอบอยู่ในน้ำเสียงของเว่ยเยวียน จึงกลืนคำที่จะพูดลงไป
ด้วยความฉลาดมากสามารถของเว่ยเยวียน เขาย่อมไม่ต้องการคำตอบจากข้าแน่…แต่เขากำลังทดสอบระดับความสามารถของข้าอยู่
เอ่อ…ถ้าเมื่อกี้หลุดคำพูดว่า ‘ไม่รู้’ ออกมาล่ะก็ ข้าจะกลายเป็นลูกน้องที่มีไอคิวและความฉลาดไม่เพียงพอในใจของขันทีใหญ่ผู้นี้ใช่หรือไม่
สวี่ชีอันสมองแล่นทันที สีหน้าของเขาแย้มยิ้มผ่อนคลายเป็นพิเศษ
“ความผิดปกติของนิกายปฐพีนั้น สมาชิกทุกคนในพรรคฟ้าดินล้วนกระจ่างแจ้งดี นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกกล่าวตามความจริงเช่นนี้ หมายความว่ากำลังแสดงความจริงใจให้ข้าอยู่”
เว่ยเยวียนพยักหน้าน้อยๆ “ร่องรอยของนิกายปฐพีนั้นซ่อนเร้น จนถึงวันนี้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังไม่รู้เรื่องภายในของพวกเขาที่ตกจากบุญกุศลสู่ทางมารเลย”
…สวี่ชีอันเบิกตาโต “เว่ยกงหมายความว่านักบวชเต๋าจินเหลียนใช้ข้าเป็นตัวกลาง คิดจะสร้างพันธมิตรกับท่านอย่างลับๆ หรือขอรับ”
เว่ยเยวียนถึงได้พยักหน้าพึงพอใจ เขาไม่ได้ตอบแต่เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ต่อไปเจ้าก็คือสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในพรรคฟ้าดิน ทำหน้าที่สอบสวนหาตัวตนที่แท้จริงของสมาชิกคนอื่นๆ เมื่อถึงยามจำเป็น หน่วยงานจะให้ความช่วยเหลือเจ้าแน่นอน”
สวี่ชีอันกอบหมัด ตอบรับหนึ่งคำ “ขอรับ”
ถ้าเมื่อกี้ข้าทำตัวหัวทึบสักนิดล่ะก็ เว่ยกงจะนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไปแล้วเปลี่ยนลูกน้องที่ฉลาดล้ำเลิศมาแทนที่ข้าเพื่อให้แทรกซึมเข้าไปเป็นนกสองหัวในพรรคฟ้าดินใช่หรือไม่
การทดสอบของคนใหญ่คนโตก็เหมือนลมโชยพัดผ่านหน้า ถ้าไม่ใส่ใจอาจจะละเลยไปได้…
เว่ยเยวียนกล่าว “เจ้าอยู่ระดับหลอมปราณ สมควรจะลองฝึกเคล็ดวิชาแล้ว ไปเลือกดูที่หอธรรมเถอะ เจ้าคุ้นกับดาบหรือว่ากระบี่ล่ะ”
“ดาบขอรับ!” สวี่ชีอันตอบ
เขายังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างจึงพกดาบผู่เต่า ถึงแม้จะใช้แสดงความสามารถได้น้อยนัก แต่ก็พกติดตัวมาได้หลายปีแล้ว จึงรู้สึกใกล้ชิดกับดาบมากกว่ากระบี่
เว่ยเยวียนชี้แนะ “เวลาที่เลือกเคล็ดวิชา จงจำไว้ว่าให้เลือกเคล็ดวิชาดาบที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ วิชาซับซ้อนหรือประดิดประดอยเกินไป ไม่เอาทั้งนั้น ทหารกับสายฝึกตนอื่นๆ ไม่เหมือนกัน ไม่ได้มีอภินิหารมากมายอะไร มีแต่พลังเหนือมนุษย์เท่านั้น ดังนั้น ยิ่งผู้ฝึกยุทธ์ฝึกบริสุทธิ์ก็ยิ่งดี ต่อไปเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น ก็จะเข้าใจเหตุผลข้อนี้”
คำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำ หนักยิ่งกว่าทองพันชั่ง สวี่ชีอันดีใจมาก “ขอบคุณเว่ยกงที่ชี้แนะ”
การพึ่งพิงองค์กรใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น ถ้าหากได้รับคำชื่นชมและการยอมรับจากเว่ยเยวียนได้ ตำแหน่งหน้าที่การงานและการฝึกยุทธ์ของเขาก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล
สำนักโหราจารย์รับเพียงเด็กเล็ก ไม่รับเด็กโต ลัทธิขงจื๊อก็ยิ่งไม่เหมาะกับข้า อีกอย่างสองอย่างนี้ก็ไม่ใช่สายฝึกยุทธ์ หากอยากเดินทางสายยุทธ์ มีแต่ต้องอาศัยหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลซึ่งเป็นที่รวมกลุ่มกันของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น
…
สวี่ชีอันถือหนังสือลายมือของเว่ยเยวียนมาที่หอธรรม ผู้ที่ตามมาด้วยยังมีหลี่อวี้ชุน
หลี่อวี้ชุนมองไปยังเจ้าหน้าที่ผู้นำทาง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีนัยลึกซึ้ง “ไปกอดขาใหญ่ของเว่ยกงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เว่ยกงเป็นคนเรียกข้าไปพบก่อนขอรับ” สวี่ชีอันทำท่าทางบริสุทธิ์
หลี่อวี้ชุนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ
คุณสมบัติเหนือเจี่ยเป็นสิ่งที่เว่ยกงประเมินด้วยตัวเอง การที่เขาตั้งใจจะบ่มเพาะสวี่ชีอันก็เป็นเรื่องปกติ
เรื่องนี้หลี่อวี้ชุนรู้ดีอยู่แก่ใจมานานแล้ว ทั้งไม่ได้ไม่พอใจหรือเกลียดชังเพราะลูกน้องข้ามหัวตัวเองไปเกาะคนระดับสูง
ประการแรก คุณสมบัติระดับเหนือเจี่ยได้รับการบ่มเพาะและได้รับความสนใจจากเว่ยกงก็เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว และประการที่สอง สวี่ชีอันเป็นฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาของเขา
มีสถานะผูกพันเช่นนี้อยู่ เขาก็แทบอยากจะให้สวี่ชีอันเดินไปได้ยิ่งสูงยิ่งดี
เจ้าหน้าที่พาพวกเขามาอยู่หน้าชั้นหนังสือหลังหนึ่งแล้วเอ่ย “ตำราดาบทั้งหมด 407 เล่มล้วนอยู่ที่นี่”
หลังจากพวกสวี่ชีอันทั้งสองคนพยักหน้าแล้ว เขาก็ถอยออกไป
หลี่อวี้ชุนชำเลืองมองสวี่ชีอัน ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร เขาก็แย่งพูดพร้อมรอยยิ้ม “อยากถามข้าใช่หรือไม่ว่าเคล็ดวิชาดาบเล่มไหนทรงพลังที่สุด”
สวี่ชีอันหัวเราะ “แหะๆ”
หลี่อวี้ชุนใคร่ครวญว่า “เคล็ดวิชาแบ่งออกเป็นสองอย่าง หนึ่งคือทักษะ อีกหนึ่งคือเต๋า อย่างหลังเจ้าไม่ต้องคิดถึงแล้ว ส่วนอย่างแรกไม่มีการแบ่งแยกแข็งแกร่งอ่อนแอ มีเพียงคนเท่านั้น”
ทั้งสองเริ่มเลือกตำราดาบอย่างช้าๆ สวี่ชีอันจำคำตักเตือนของเว่ยเยวียนได้ขึ้นใจ ไม่เลือกเคล็ดวิชาดาบที่ซับซ้อนไม่สมจริงเหล่านั้น
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลี่อวี้ชุนก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่มีที่พอใจเลยหรือ”
…หัวหน้า ข้าลืมบอกท่านไป ข้าเป็นโรคกลัวการเลือก สวี่ชีอันพยักหน้าพลางยิ้มขมขื่น
หลี่อวี้ชุนครุ่นคิด “เจ้ารอข้าสักเดี๋ยว”
เขาเรียกเจ้าพนักงานมาเอ่ยถาม “ช่วงนี้มีเคล็ดวิชาใหม่ๆ เข้ามาในคลังหรือไม่ ข้าหมายถึงพวกตำราดาบน่ะ”
เจ้าพนักงานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ย “มีขอรับ เมื่อสองสามวันก่อนทางสำนักโหราจารย์ส่งเคล็ดวิชามาสองสามเล่มแลกกับเงินหลายพันตำลึงขอรับ”
หลายพันตำลึง…หลี่อวี้ชุนผงะ จากนั้นก็เผยรอยยิ้ม “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้ามีโชคไม่เลวเลย”
เขากล่าวอธิบาย “เคล็ดวิชาราคาหลายพันตำลึง คุณภาพย่อมดียิ่งกว่าข้างในนี้ ข้าว่าน่าจะมีเศษเสี้ยวของเต๋าแห่งเคล็ดวิชาดาบสักอย่างแน่”
“เต๋าหรือขอรับ” ดวงตาของสวี่ชีอันสว่างไสว
“เคล็ดวิชาที่มีสัมผัสแห่งเต๋าอยู่มักจะสร้างขึ้นโดยทหารระดับสูง และแฝงไว้ซึ่งความตระหนักรู้ด้านศิลปะการต่อสู้ตลอดชีวิตของเขา เจ้าอยากจะเป็นทหารระดับสูงก็ไม่อาจแตะต้องเคล็ดวิชาจำพวกนี้ได้ เพราะนั่นเป็นทางเต๋าของผู้อื่น แต่สามารถร่ำเรียนเศษเสี้ยวได้”
หลี่อวี้ชุนเอ่ยกำชับเจ้าพนักงาน “เจ้าไปหามา”
ไม่นาน เจ้าพนักงานก็ถือเคล็ดวิชาหลายเล่มเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นคือเศษเสี้ยวเต๋าของเคล็ดวิชาดาบจริงๆ
“ดาบเดียวตัดฟ้าดิน”
ผู้ที่ตั้งชื่อนี้หากไม่ใช่จูนิเบียว[1]ก็เป็นโรคจิตหวาดระแวง…สวี่ชีอันคาดเดาอยู่ในใจ พลิกเปิดตำราเล่มบาง คำนำเปิดเรื่องคือ
‘บนโลกนี้ไม่มีของสิ่งใดที่ดาบหนึ่งเล่มจะตัดไม่ขาด ถ้าหากมี คำแนะนำของข้าคือหนี’
…สวี่ชีอันสะกดกลั้นความอยากจะโยนเคล็ดวิชากลโกงนี่ทิ้ง เขาอดทนพลิกไปหน้าที่สอง
หลังจากอ่านเนื้อหาหลักจบแล้ว เขาจึงเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเคล็ดวิชาเล่มนี้ไป
คิดไม่ผิดเลย ยอดฝีมือผู้เขียนหนังสือนี้เป็นโรคจิตหวาดระแวงคนหนึ่ง เขาคิดว่าของใดๆ ในโลกนี้ล้วนสามารถใช้ดาบหนึ่งเล่มตัดฟันได้ รวมไปถึงฟ้าดิน
ศัตรูก็เช่นกัน
การเคลื่อนไหวและต่อสู้เกินความจำเป็นใดๆ ล้วนเป็นความอัปยศของสายยุทธ์
ข้าแค่ดึงดาบออกมา เจ้าไม่ตายก็ข้าตาย แน่นอนว่าโรคจิตหวาดระแวงไม่ได้หมายถึงการสูญเสียหลักเหตุผล เนื้อหากล่าวว่าเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน จะแนะนำให้หนี
หลังจากสวี่ชีอันอ่านเนื้อหาจบเงียบๆ ในใจก็เขียนคำนำให้เคล็ดวิชาเล่มนี้ใหม่ ‘ตั้งใจสักนิดก็จะบรรลุถึงจุดสูงสุด!’
เขาปิดตำรา ดวงตาเป็นประกาย “ข้าเอาเล่มนี้”
………………………………..
[1] จูนิเบียว ในต้นฉบับใช้คำว่า 中二 หมายถึงโรคป่วยเด็กม.2 ใช้บรรยายถึงวัยรุ่นที่มีภาวะหลงผิดคิดว่าตนเก่งกาจ ต้องการจะโดดเด่น จึงเชื่อว่าตนมีพลังลึกลับซ่อนอยู่