เจอเร็วขนาดนี้เลยหรือ
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลซึ่งรวมไปถึงฆ้องทองคำเจียงลวี่จงตื่นตัวขึ้นมาแล้วพากันมองตามทิศที่คนชุดขาวผู้นั้นชี้ไป ขณะเดียวกันก็ร่อนลงไปยังหลังคาทางฝั่งนั้นด้วย
พวกเขาเห็นฆ้องทองแดงผู้หนึ่งยืนถือดาบด้วยมือเดียวอยู่บนหลังคา และกำลังจ้องมองมาที่คณะของพวกเขา
คนร้ายอาจซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ และลงมือลอบโจมตีได้ทุกเมื่อ แต่ฆ้องทองแดงผู้นี้แม้แต่ดาบก็ยังไม่ได้ชักออกมา ความเป็นมืออาชีพต่ำเกินไป…ฆ้องเงินหลายคนขมวดคิ้ว
‘ตึงๆ!’
เสียงฝีเท้าร่อนลงมา ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงกวักมือเตรียมจะเรียกฆ้องทองแดงหนุ่มผู้นั้นมาสอบถามสถานการณ์
แต่คนชุดขาวหลายคนกลับชิงกระโดดลงจากหลังของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียก่อน แล้วพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วไปอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอันแบบแทบจะรอไม่ไหวก่อนประสานมือคำนับ
“คุณชายสวี่”
…
เมื่อเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเห็นคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์เคารพนบน้อมต่อหน้าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ผู้นี้ สีหน้าก็งุนงงเล็กน้อย
‘หมายความว่า ไม่ใช่ว่าเจออะไร แต่ตั้งใจจะมาทักทายฆ้องทองแดงผู้นี้หรอกหรือ’
ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงหรี่ตามองพิจารณาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันจ้องมองดูคนชุดขาวสองสามคนนั้นอยู่พักหนึ่ง มั่นใจว่าจะไม่ใช่คนรู้จัก ถึงอย่างไรผู้ที่เขาทำความรู้จักด้วยก็เป็นเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหก พวกที่อยู่เหนือกว่าขั้นหกหรือต่ำกว่าขั้นหกเขาล้วนไม่ค่อยคุ้นเคยนัก
เขาไม่รู้จักคนอื่น แต่คนอื่นรู้จักเขา
พวกโหรจากสำนักโหราจารย์ล้วนรู้ว่ามีบุคคลแบบสวี่ชีอันอยู่ ทั้งยังเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในด้านการเล่นแร่แปรธาตุ
หนังสือปกฟ้าที่เขาเขียนถูกศิษย์พี่ซ่งชิงจัดให้เป็นความลับชั้นสุดยอด ศิษย์ทั่วไปอยากอ่านก็อ่านไม่ได้
ถึงแม้คนเหล่านี้จะเป็นนักพยากรณ์ขั้นแปด แต่ต่อไปต้องมีสักวันที่พวกเขาจะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ การสร้างสัมพันธ์อันดีกับอัจฉริยะในด้านการเล่นแร่แปรธาตุคนหนึ่งไว้ล่วงหน้าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเลื่อนขั้นในอนาคต
ในสายตาของพวกเขา สิ่งนี้สำคัญยิ่งกว่าการสืบคดีเสียอีก
“คุณชายสวี่ ท่านไม่ได้มาที่สำนักโหราจารย์นานมากแล้ว ศิษย์พี่ซ่งชิงบ่นถึงท่านตลอดเลยขอรับ”
บ่นถึงข้าหรือ อยากมาเก็บหนี้จากข้ากระมัง…สวี่ชีอันยิ้มอย่างสงวนท่าที
“คุณชายสวี่ วันหน้าจะต้องไปดื่มชาที่สำนักโหราจารย์ให้ได้เลยนะขอรับ พวกเราอยากจะขอคำแนะนำเรื่องเล่นแร่แปรธาตุจากท่าน”
‘ขอคำแนะนำเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ?’
ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงเลิกคิ้ว
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้สึกไม่อยากเชื่อ โหรของสำนักโหราจารย์หยิ่งยโสอยู่ตลอดและมักไม่เห็นทหารอยู่ในสายตา ทว่ากลับเคารพนบน้อมต่อฆ้องทองแดงคนหนึ่งเช่นนี้
ดูจากความหมายในคำพูดของพวกเขาแล้ว ฆ้องทองแดงผู้นี้ยังเชี่ยวชาญด้านการเล่นแร่แปรธาตุอีกด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของฆ้องทองแดงหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองที่ป้ายห้อยเอวของสวี่ชีอัน
บนนั้นสลักชื่อของเขาไว้
“วันอื่นเถิด” สวี่ชีอันโบกมือ “สืบคดีเร่งด่วน รบกวนทุกท่านแล้ว”
“ไม่เลยๆ เป็นเรื่องสมควรขอรับ” คนชุดขาวสองสามคนหันกลับมาหาเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล น้ำเสียงเกรงใจขึ้นมาก “เรื่องไม่อาจล่าช้าได้ พวกเราไปกันต่อเถิด”
ท่าทีของเหล่าโหรชุดขาวพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เจียงลวี่จงพยักหน้าเล็กน้อย “ทิ้งสองสามคนไว้ตรวจสอบถนนเส้นนี้”
จากนั้นเขาก็พาคนที่เหลือและคนชุดขาวจากไป กระโจนขึ้นลงอยู่สองสามครั้งก็ไปไกลแล้ว
ฆ้องเงินคนหนึ่งหันกลับไปมองข้างหลัง เมื่อเห็นเงาร่างของสวี่ชีอันก็อดกล่าวขึ้นไม่ได้ “พวกท่าน ฆ้องทองแดงผู้นั้นของพวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรู้จักกับพวกท่านด้วยหรือ”
ชุดขาวผู้หนึ่งถอนหายใจ “พวกเรารู้จักเขา แต่เขาไม่แน่ว่าจะรู้จักพวกเราหรอก”
ชุดขาวคนอื่นๆ อีกสองสามคนก็ถอนหายใจเช่นกัน
โหรของสำนักโหราจารย์ถ่อมตนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฆ้องเงินสงสัยใคร่รู้ยิ่ง จึงถามต่อ “เพราะเหตุใดรึ”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่อยู่รอบๆ เงี่ยหูฟัง ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงเอียงศีรษะเล็กน้อย
เหล่าคนชุดขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ “พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อศิษย์พี่ซ่งชิงใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์โหราจารย์เคยกล่าวว่าเขาเป็นอัจฉริยะแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่ร้อยปีจะมีสักคน แต่ว่า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ศิษย์พี่ซ่งมักจะพูดคำว่าอะไร”
ชุดขาวอีกคนกล่าวเสริม “สวี่หนิงเยี่ยนเป็นครูของข้าจริงๆ”
‘หลอกกันกระมัง!’ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งคณะมีท่าทางแบบเดียวกัน…พวกเขาต่างพากันเงยหน้าแล้วหันไปมองเงาร่างของสวี่ชีอัน
เขายืนอยู่บนหลังคาอย่างเย่อหยิ่ง เงาหลังตั้งตรงตระหง่าน
ฆ้องทองคำเจียงลวี่จงไม่ได้หันไปมอง เอ่ยสั่งการว่า “พรุ่งนี้ไปถามให้แน่ชัดว่าเขาติดตามใคร ต้องพามาให้ได้”
…
สวี่ชีอันและสหายร่วมงานคนใหม่สองสามคนค้นหาตามถนน เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงก็กลับมา
“กองดาบปิดไว้ทุกด้านแล้ว พวกเราต้องตรวจสอบตามถนน” ซ่งถิงเฟิงทักทายฆ้องทองแดงสองสามคนนั้นจนเรียบร้อย แล้วเอ่ยเสียงขรึม
ตอนนี้พวกเขาเดินมาจนถึงข้างๆ โรงเตี๊ยมชิงซูพอดี แววตาของสวี่ชีอันสว่างวาบเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ข้ากับถิงเฟิงและกว่างเสี้ยวจะเริ่มค้นหาจากโรงเตี๊ยมหลังนี้ พวกเจ้าไปทางอื่น แยกย้ายกันทำงาน”
สหายร่วมงานเหล่านั้นไม่มีข้อโต้แย้ง คิดว่าเดิมก็ควรจะเป็นเช่นนี้
เมื่อมองส่งพวกเขาจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็ก้าวเข้าไปเคาะประตูกระดานดังปังๆๆ จนปลุกเสี่ยวเอ้อร์ด้านในตกใจตื่นมาเปิดประตูด้วยท่าทางง่วงงุน
“ท่าน ท่านเจ้าหน้าที่…” เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมเอ่ยตะกุกตะกัก หวาดกลัวเล็กน้อย
“ค้นห้อง!” สวี่ชีอันตะโกนออกมาอย่างคล่องปาก
เสี่ยวเอ้อร์ประจำโรงเตี๊ยมงุนงงอยู่ตรงนั้น ซ่งถิงเฟิงเหลือบมองสวี่ชีอัน แล้วรับคำต่อ “ตามจับคนร้าย”
เรื่องบุกค้นห้องในโรงแรมแบบนี้ ชาติก่อนสวี่ชีอันทำมาไม่น้อย ปกติจะได้รับโทรศัพท์แจ้งความแล้วจึงไปค้นห้อง
ส่วนเหตุผลที่แจ้งความก็มักจะเป็นเพราะผู้หญิงแสดงละครได้อลังการเกินไป เห็นอยู่ชัดๆ ว่าแทบไม่มีความรู้สึกเหมือนโดนไม้จิ้มฟันทิ่มเลย แต่ดันกรีดร้องเหมือนโดนกระบองฟันหมาป่า
ทำเอาผู้เช่าที่อยู่ข้างห้องนอนไม่หลับ โมโหจนต้องแจ้งความ
ทั้งสามค้นหาไปทีละห้อง เมื่อมาถึงชั้นสองห้องที่หก เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมก็เอ่ยขึ้น “ห้องนี้ไม่มีคนพักขอรับ”
ซ่งถิงเฟิงกล่าวเสียงขรึม “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนพักก็ต้องตรวจสอบ”
เสี่ยวเอ้อร์หยิบกุญแจออกมาเปิดประตู
สวี่ชีอันเข้าไปในห้องแล้วกวาดมองคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าผ้าห่มบนเตียงพับทบไว้อย่างเรียบร้อย ในห้องไม่มีคนอยู่สักคน ในใจก็โล่งอก
ยังนับว่าไม่โง่…ถึงแม้จะมีใบไม้บังตาอยู่ที่ร่าง แต่ถ้าหากนอนบนเตียงล่ะก็ เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมก็จะคิดว่าแปลก นั่นย่อมปกปิดซ่งถิงเฟิงผู้มีความคิดละเอียดรอบคอบไม่ได้แน่ รวมถึงจูกว่างเสี้ยวที่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ไม่ชอบพูดจาด้วย
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยม สวี่ชีอันก็อ้างว่าจะไปที่พงหญ้า จึงรั้งอยู่ที่โรงเตี๊ยมไม่จากไป ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวจึงไปตรวจสอบไล่เลียงทีละบ้าน
สวี่ชีอันนั่งยองๆ อยู่ในพงหญ้ายามค่ำคืนที่เหม็นโฉ่ เขาวางเชิงเทียนไว้ข้างเท้า แล้วหยิบกระจกหยกบานเล็กออกมา
‘สาม: หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว ไม่ถูกพบใช่หรือไม่’
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมายเลขหกก็ตอบกลับ ‘หก: ข้าแอบอยู่บนคานห้อง ไม่ได้แตะต้องของใดๆ ในห้องเลย’
เป็นนักโทษหนีคดีเสียแล้ว…สวี่ชีอันเย้าหยอกในใจ
‘สอง: ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร หมายเลขหกปลอดภัยหรือยัง เมื่อกี้ไม่ได้ข่าวคราวอยู่ตั้งนาน ข้าก็ไม่กล้าถาม’
หมายเลขสองยังไม่หลับอีกหรือ
เขา (นาง) มีน้ำใจจริงหรือว่าแค่อยากรู้กันแน่
‘หก: ปลอดภัยชั่วคราวแล้ว’
‘สอง: เจ้าได้รับความช่วยเหลืออย่างไรหรือ’
‘หก: หมายเลขสาม ข้าพูดได้หรือไม่’
‘สาม: วิญญูชนจิตใจกว้างขวาง เหตุใดจะไม่ได้เล่า แต่ว่าถ้าหากหมายเลขสองอยากรู้ ก็ต้องแลกด้วยข้อมูลแบบเดียวกัน อืม ข้ามีความสนใจอย่างยิ่งต่อประวัติของอาณาจักรหมื่นปีศาจและเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจ’
คดีเหมืองดินประสิวสงสัยว่าเศษเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจจะแอบวางแผนลับ เขาต้องพยายามช่วยพี่ชุนสืบคดีนี้
‘สอง: ข้าไม่ค่อยกระจ่างเรื่องประวัติของอาณาจักรหมื่นปีศาจนักหรอก’
ตอนนี้เอง ตัวละครใหม่ก็โผล่หน้าออกมาแล้ว ‘ห้า: ข้ารู้เรื่องประวัติอาณาจักรหมื่นปีศาจ ข้ารู้ดีมากเชียวล่ะ’
ได้ๆ กลุ่มแชทต้องครึกครื้นสิ แบบนี้ถึงจะสามารถแบ่งปันข้อมูลกันได้…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก
ปัจจุบันคนที่ปรากฏออกมาแล้วก็คือ หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสอง หมายเลขสี่ หมายเลขห้า หมายเลขหก หมายเลขเก้าของนักบวชเฒ่าเหรียญปากผี และตัวเขาหมายเลขสาม
ยังมีหมายเลขเจ็ดและหมายเลขแปดที่ยังไม่ได้ปรากฏ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดแล้ว หมายเลขหกก็ใส่ข้อความ ‘หก: หมายเลขสามให้กระดาษใบหนึ่งกับข้า บันทึกวิชาเวทปกปิดกลิ่นอายของลัทธิขงจื๊อ ข้าจึงสามารถออกมาจากคลองส่งน้ำได้’
‘เจ้าออกจากเมืองชั้นในสำเร็จแล้วหรือ’
หมายเลขสอง หมายเลขห้า หมายเลขสี่ และหมายเลขหนึ่งที่เฝ้าจออยู่แสดงความแปลกใจของตนออกมาพร้อมกัน
‘หก: ยังหรอก หมายเลขสามเตรียมห้องห้องหนึ่งไว้ให้ข้า วิชาเวทได้ปกปิดกลิ่นอายของข้าไว้แล้ว ข้าจึงสามารถปิดบังสายตาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามทางแล้วมาซ่อนตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมได้’
‘สาม: เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกเรื่องโรงเตี๊ยมออกมาไม่กลัวหมายเลขหนึ่งรายงานเจ้าหรือ’
‘หก: หมายเลขหนึ่งไม่ทำหรอก ถ้าหากเขาจะรายงานข้าก็จะพูดออกมาตรงๆ แล้ว หมายเลขสาม ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า วันหน้าย่อมตอบแทน’
ชายหัวโล้นกำลังแอบเผยรูปแบบพฤติกรรมของหมายเลขหนึ่งให้ข้าอยู่สินะ…สวี่ชีอันคาดเดา
หมายเลขหนึ่งไม่สนใจ เขากำลังทบทวนข้อมูลที่หมายเลขหกบอกมารอบหนึ่งในสมอง เหมือนกับผู้ถือครองหนังสือปฐพีคนอื่นๆ
ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าหมายเลขสามคือศิษย์ลัทธิขงจื๊อจริงๆ อีกทั้งยังเป็นศิษย์ที่ได้รับความสำคัญจากอาจารย์อย่างล้ำลึก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอบเขตก็จะลดลงมาก ถึงอย่างไรศิษย์ผู้โดดเด่นของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่ก็มีไม่น้อย แต่ก็ไม่มาก
หมายเลขหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงมองเห็นความผิดปกติอย่างเฉียบคม ภายใต้สถานการณ์ที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตอบโต้และระดมพลปิดล้อมรอบด้านเช่นนี้ หมายเลขสามจะช่วยหมายเลขหกได้อย่างไร
‘เว้นเสียแต่เขาจะอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในและอยู่ในพื้นที่เดียวกันพอดี…ช่วงนี้มีศิษย์ผู้โดดเด่นของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นในหรือไม่ เดี๋ยวส่งคนไปตรวจสอบดูสักหน่อย’
‘พวกเราพรรคฟ้าดิน ในที่สุดก็มีศิษย์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว…’ ผู้ถือครอง ‘หนังสือปฐพี’ คนอื่นๆ คิดอยู่ในใจโดยไม่ได้นัดหมาย
ถึงแม้ลัทธิขงจื๊อจะตกต่ำ แต่ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดก็มีพลังสยบสายการฝึกตนอื่นๆ และมีสถานะที่ไม่ธรรมดาในสายตาของผู้ฝึกตนในใต้หล้า
‘สาม: เพียงออกแรงแค่ยกมือเท่านั้น หมายเลขห้า ควรแลกเปลี่ยนข้อมูลได้แล้ว’
………………………………….