ขณะนี้เป็นเวลาก่อนรุ่งสาง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท
ลมหนาวยามรุ่งอรุณกระทบใบหน้าราวกับใบมีดกรีด สวี่ชีอันสูดอากาศเย็นเข้าปอด กระตุ้นจิตใจให้กระปรี้กระเปร่า
ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ซ่งถิงเฟิงกล่าว “หลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเสร็จสิ้น พวกเราไปสำนักสังคีตกันดีไหม”
จูกว่างเสี้ยวที่อยู่อีกฝั่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีปฏิกิริยาออกมา
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมถึงกับทนไม่ได้ ต้องประณามความคิดบัดสีผิดครรลองคลองธรรมเช่นนี้อย่างเกรี้ยวกราด
เสร็จเรื่องก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน
“ค่อยว่ากัน” สวี่ชีอันกล่าว
“เจ้ามันน่าเบื่อจริง” ซ่งถิงเฟิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ข้าเป็นเจ้ามือได้นะ” สวี่ชีอันกล่าว
“ไม่ได้ เจ้าก็ต้องมาเล่นสนุกด้วยกัน ถึงจะพิสูจน์ความแน่นแฟ้นของเราได้” ซ่งถิงเฟิงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
“เขาอยากให้เจ้าพร่ำเรียกชื่อแม่นางฝูเซียง” จูกว่างเสี้ยวเปิดเผยความคิดอันแสนสกปรกของสหายที่คบกันมาหลายปีดีดัก
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น ซ่งถิงเฟิงก็ขมวดคิ้ว “เจ้าเอาแต่มองทะเลสาบข้างหน้าอยู่นั่น มองอะไรหรือ”
สวี่ชีอันตอบตามความจริง “รู้สึกว่าทะเลสาบซังผอดูมืดมน มันทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดยังไงชอบกล”
“หุบปากเสีย!” ซ่งถิงเฟิงกระซิบ “เจ้าถูกลมพัดใส่จนหนาวสั่นแล้วน่ะสิ ซังผอเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของต้าฟ่ง และยังเป็นสถานที่ที่องค์จักรพรรดิผู้สถาปนาตรัสรู้ อย่าพูดจาไร้สาระ”
จูกว่างเสี้ยวกล่าวเตือนอีกเสียง “พวกทหารยอดฝีมือหูไวตาไว หากได้ยินคำพูดของเจ้าเข้า เจ้าต้องถูกลงโทษ”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบทันที
ในตอนนั้นเองเสียงระฆังและกลองหนักๆ ก็ดังขึ้น กึกก้องในโสตประสาทของทุกคน บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามา
พวกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เคยพูดคุยกันอย่างสบายใจก่อนหน้านี้ เงียบเสียงลงทันใด และชักสีหน้าขึงขัง
ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงสำหรับงานบวงสรวง ขบวนอันยิ่งใหญ่เคลื่อนตัวจากเขตพระราชฐานมุ่งหน้าสู่ซังผอ
ไม่มีการเดินทางด้วยม้าหรือรถม้า ทุกคนล้วนเดินเท้า
ในขบวนผู้เข้าร่วมการบวงสรวงบรรพบุรุษ คับคั่งด้วยสมาชิกราชวงศ์ รวมทั้งขุนนางและทหารทุกระดับ เป็นจำนวนหลายร้อยคน
ดูเหมือนว่ามหาอำนาจแห่งราชวงศ์ต้าฟ่งแทบจะรวมตัวกันในขบวนนี้ที่เดียว
นำโดยจักรพรรดิหยวนจิ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋าเรียบง่าย พระเกศาดำสนิทถูกเกล้าขึ้นและปักด้วยปิ่นไม้ พระองค์มีพระชนมายุห้าสิบกว่าพรรษา ไว้เครายาวไหวๆ พระพักตร์หล่อเหลา วางตนสูงส่งและสมณะ ตามแบบฉบับผู้บำเพ็ญเพียรในลัทธิเต๋า
ตามหลังมาด้วยฮองเฮาผู้สง่างามและพระสนมรูปร่างอวบอัดเดินเคียงกันมา
ตามด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา
จักรพรรดิหยวนจิ่งมีทายาทหลายพระองค์ มีพระราชโอรสสิบสองพระองค์ ทว่ามีพระราชธิดาเพียงสี่พระองค์เท่านั้น ปีนี้องค์หญิงใหญ่ทรงเจริญพระชันษาได้ยี่สิบห้าพรรษา ซึ่งห่างจากองค์รัชทายาทประมาณสิบปี
องค์หญิงใหญ่ผู้เป็นที่รู้จักในเมืองหลวงทั้งในด้านพรสวรรค์และรูปลักษณ์อันงดงาม ดวงตาส่องประกายราวกับสระน้ำ ใบหน้าขาวใส บุคลิกเยือกเย็น ทรงดำเนินไปตามขบวนอย่างเงียบงัน
ขบวนพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเคลื่อนมาถึงยังหน้ากระโจมสีเหลืองสว่างสดใส ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลง จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้มีจิตอันสูงส่งและสมณะนำสองขันทีผู้ยิ่งใหญ่เข้าไปยังกระโจมของพระองค์
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือรออยู่ข้างนอก
บรรดาอัครมหาเสนาบดีที่รับผิดชอบการบวงสรวงต่างยุ่งวุ่นวายอยู่กับการอัญเชิญทวยเทพ และจัดแถว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิในลำดับถัดไป
สวี่ชีอันยังคงนิ่งไม่ไหวติง พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะหันหัวไป และลอบมองพิธีบวงสรวงจากหางตา
เขาเห็นขบวนแถวกำลังถือป้ายบูชาผู้ล่วงลับที่คลุมไปด้วยผ้าไหมสีเหลืองเดินไปตามทางเหนือผิวน้ำอันคดเคี้ยวขึ้นไปยังแท่นศิลาสูง เพื่อวางป้ายบูชาผู้ล่วงลับไว้บนโต๊ะบูชาตัวใหญ่หน้าพระอาราม
เมื่อขบวนนี้กลับมา อีกขบวนหนึ่งนำโดยข้าราชบริพารแห่งวัดไท่ชางก็นำเครื่องเซ่นไหว้และสังเวยต่างๆ ไปบวงสรวง มีเครื่องเซ่นไหว้มากมายหลายประเภท จำนวนอย่างต่ำสองถึงสามร้อยอย่าง
เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ ข้าราชบริพารระดับสูงของวัดไท่ชางที่อยู่นอกกระโจมขององค์จักรพรรดิจึงตะโกนเสียงดังขึ้น “เสร็จสิ้นการสงบจิต ขอเดชะฝ่าพระบาท”
พระราชโอรส พระราชธิดา ขุนนางเหล่าทัพ รวมทั้งอัครมหาเสนาบดีคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
ขันทีผู้ยิ่งใหญ่เปิดม่านออก จากนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งในชุดสีเหลืองอร่ามก็ปรากฏกายต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม
ณ เวลานี้ พระองค์สลัดคราบสมถะของผู้บำเพ็ญเต๋า เหลือเพียงภาพจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์
“ท่าทางแบบนี้ ดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าประชุมสุดยอดผู้นำในชาติที่แล้วเสียอีก…การเดินทางครั้งนี้ถือว่าไม่สูญเปล่า…” ขณะที่สวี่ชีอันกำลังเพลิดเพลินกับการรับชม หัวใจเขาก็สั่นไหว เนื่องจากมีคนในกลุ่มหนังสือปฐพีกำลังส่งข้อความมา
เขารออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้กลุ่มลาดตระเวนผ่านไป จากนั้นสอดมือเข้าไปในอกเสื้อและหยิบกระจกหยกออกมาแค่ครึ่งอัน แอบอ่านผ่านๆ ไม่ให้ใครจับได้
‘สอง: ข้าจำได้ว่าวันนี้เป็นวันบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าฟ่ง ใช่หรือไม่ หมายเลขหนึ่ง หมายเลขสาม’
‘สี่: ลองมานับเวลาดูแล้ว วันนี้น่าจะเป็นวันบวงสรวงบรรพบุรุษอย่างเจ้าว่าจริงๆ เมื่อก่อนข้าก็เคยเข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษด้วยนะ’
‘สอง: เมื่อก่อนงั้นหรือ หมายเลขสี่ เมื่อก่อนเจ้าเคยเป็นขุนนาง และมียศพอตัวเลยใช่ไหม’
‘สี่: อืม’
หมายเลขสี่เคยเป็นขุนนางมาก่อน…สวี่ชีอันตกตะลึง หมายเลขสี่มีสัมพันธ์ฉันมิตรกับราชครูหญิงแห่งนิกายมนุษย์หรือไม่
อืม เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ เพราะเขาเคยเป็นขุนนางมาก่อน อาจจะรู้จักมักจี่กับราชครูหญิงก็เป็นได้
ดูท่าหมายเลขสี่คงจะเป็นคนมีอดีตเหมือนกัน
สวี่ชีอันรู้สึกว่าน่าสนใจมากทีเดียว ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป ตัวตนของพวกเขานั้นลึกลับ และมีพื้นฐานวรยุทธ์แข็งแกร่ง
การคบค้าสมาคมกับพวกเขาเปรียบเหมือนการเล่นเกม ที่ค่อยๆ เผยความลับของพวกเขาออกมาทีละน้อย
‘สอง: น่าสนใจ แต่หมายเลขหนึ่งและหมายเลขสามยังไม่ตอบกลับเลย’
ไอ้ผีเจาะปากมาพูดนี่… มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกเมื่อถูกจับได้
เห็นๆ กันอยู่ว่าที่หมายเลขสองส่งสารมาในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะสนใจงานบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์จริงๆ ทว่าต้องการหยั่งเชิงเพื่อทดสอบตัวตนของหมายเลขสามและหมายเลขหนึ่งเท่านั้น
เนื่องจากมีการเชื่อมต่อระหว่างหนังสือปฐพีกับตัวผู้ถือครอง ดังนั้นต่อให้หลับอยู่ก็ถูกปลุกให้ตื่นได้ จึงไม่มีเหตุการณ์ลืมตอบข้อความเพราะมัวแต่หลับอย่างแน่นอน
เว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ตอบกลับไม่ได้
อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเกิดเรื่องฉุกเฉินกับหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสามพร้อมกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็แสดงว่าทั้งคู่มีส่วนร่วมในงานบวงสรวง และไม่สามารถหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาตอบข้อความท่ามกลางสายตาของสาธารณชนได้
พฤติกรรมของสวี่ชีอันในตอนนี้ดึงความสนใจของซ่งถิงเฟิง
เขาค่อยๆ ปล่อยมือและดันกระจกหยกที่โผล่ออกครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
“ตั้งใจหน่อย อย่าทำตัวหยุกหยิก” ซ่งถิงเฟิงขมวดคิ้วและกล่าวเตือน
“รู้แล้ว รู้แล้ว” สวี่ชีอันตอบพอเป็นพิธี
แย่แล้ว ข้าเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ ไม่มีทั้งเหตุผลและคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์… คราวนี้ตัวตนถูกเปิดเผยแน่…ให้ตายสิ คนของพรรคฟ้าดินเจ้าเล่ห์กันจริงๆ
แต่ว่า หมายเลขหนึ่งก็ยังไม่ตอบเหมือนกัน…อืม เขา (หรือนาง) ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ เป็นใครกันแน่นะ
ขณะที่ความคิดของสวี่ชีอันกำลังแปรปรวน สมาชิกทั้งหมดของพรรคฟ้าดินและผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็กำลังไตร่ตรองถึงประเด็นเดียวกัน
หมายเลขสามเป็นลูกศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่ใช่หรือ ทุกคนรู้ดีว่าสำนักอวิ๋นลู่แทบจะตัดขาดจากเส้นทางข้าราชการ หรือแม้ว่าจะมีตำแหน่งในราชสำนัก แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของราชวงศ์
และหากพิจารณาตั้งแต่ภาพลักษณ์ของหมายเลขสามที่เป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ
หรือว่าหมายเลขสามอาจจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่?
ไม่สิ หากเป็นเช่นนั้น จะอธิบายเรื่องที่ผ่านมาได้อย่างไร
นอกเสียจากว่าเขาจะเข้าร่วมพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษในฐานะอื่น ใช่แล้ว สำนักอวิ๋นลู่สั่งให้คนแฝงตัวเข้าไปอยู่ในหน่วยงานต่างๆ ของราชสำนักนี่?
เช่นนั้นจะอยู่ในกรมกองใด ตำแหน่งใดกันแน่?
ในทางกลับกัน พวกเขาไม่แปลกใจกับตัวตนของหมายเลขหนึ่งอยู่แล้ว เพราะรู้มานานแล้วว่าหมายเลขหนึ่งเป็นคนของราชสำนักและยังมีตำแหน่งสูงเสียด้วย
‘สอง: หมายเลขสี่ เจ้าเคยเป็นขุนนางมาก่อน เช่นนั้นเจ้าลองพิจารณาสถานการณ์ของหมายเลขสามดูซิ’
‘สี่: ข้ามีข้อสันนิษฐานในใจแล้ว แต่ทำไมข้าต้องบอกเจ้าล่ะ’
‘หก: หมายเลขสอง เจ้าไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง รู้ตัวตนของหมายเลขสามและหมายเลขหนึ่งไปแล้วจะทำอะไรได้’
ทั้งหมายเลขสี่และหมายเลขหกลุกขึ้นมาตอบโต้แทนหมายเลขสามอย่างมีเลศนัย
สวี่ชีอันยังคงนิ่งเฉย ไม่ได้อ่านข้อความ
หลังจากเฝ้าดูพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกแปลกๆ ผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอัน
เขารู้สึกอยู่เสมอว่าซังผอดูอึมครึม อบอวลด้วยลางร้ายบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
ทันใดนั้นสวี่ชีอันได้ยินเสียงแปลกๆ ลอยมาตามเสียงดนตรีในพิธีบวงสรวง
เสียงนั้นพูดว่า ‘ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย…’
สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพยายามตั้งใจฟัง ทว่าเสียงนั้นกลับหายไปเสียแล้ว
“ถิงเฟิง กว่างเสี้ยว พวกเจ้าได้ยินเสียงแปลกๆ บ้างหรือไม่” สวี่ชีอันถามสหายร่วมหน่วยทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล
“เจ้าหมายถึงเสียงดนตรีพิธีบวงสรวงหรือ อันที่จริงก็แอบ…เสียงดังแสบแก้วหูไปหน่อย” ซ่งถิงเฟิงกลับคำพูดด้วยความรักตัวกลัวตายอย่างแรงกล้า เขาอยากจะบอกว่าเสียงมันห่วยแตกเสียด้วยซ้ำ
จูกว่างเสี้ยวส่ายหัว
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะพูด ก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจนและเสียงนั้นมาจากทะเลสาบซังผอ
‘ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย…’
น้ำเสียงอันเยือกเย็นและโศกเศร้า น่าขนลุกจนไม่มีอะไรเทียบได้ เสมือนวิญญาณร้ายกำลังกระซิบอยู่ข้างหู
……………………………………