เย่หวันเอ๋อขมวดคิ้ว สีหน้าออกจะรำคาญหน่อย ๆ
เจิ้งซินกับติงหมิงเลี่ยงเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ สมัยตอนที่เรียน ทั้งสองคนคบกันมาตลอด แต่หลังจากนั้นช่วงที่คบกันติงหมิงเลี่ยงแอบมาตามหยอดเย่หวังเอ๋อ
ตอนนั้นทุกคนต่างรู้เรื่องของติงหมิงเลี่ยงกับเจิ้งซิน ขนาดอาจารย์ยังรู้เรื่อง แน่นอนว่าเย่หวันเอ๋อก็รู้เรื่องนี้ด้วย
เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าติงหมิงเลี่ยงจะมาสารภาพรักกับเธอ ในเหตุการณ์ตอนนั้นเธอด่าเขายกใหญ่ สุดท้ายกลับมีคนเห็นมากมายทำให้คนทั้งมหาลัยต่างรู้เรื่องกันหมด
ต่อมาเจิ้งซินรู้เรื่องนี้เข้าก็เลิกกับติงหมิงเลี่ยงทันที
เพียงเพราะว่าเธอรู้สึกไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเย่หวันเอ๋อจะไม่ได้ตอบตกลง แต่ว่ามันก็มีความรู้สึกเหมือนโดนแย่งแฟนไป
เดิมทีเจิ้งซินก็รู้ตัวว่าตัวเองสวยไม่เท่าเย่หวันเอ๋อ แถมยังชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเย่หวันเอ๋อทุก ๆ อย่าง พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น คนก็ยิ่งนินทาลับหลัง
บอกว่าเจิ้งซินสวยไม่เท่าเย่หวันเอ๋อ แล้วก็อ่อนโยนไม่เท่าติงหมิงเลี่ยงถึงได้นอกใจไปหาคนอื่น
คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ทำให้เจิ้งซินรู้สึกไม่พอใจ เพราะฉะนั้นเธอจึงปล่อยข่าวลือไปทั่ว
บอกว่าเย่หวันเอ๋อไม่รักนวลสงวนตัว ชอบอ่อยผู้ชายไปทั่ว เป็นเพราะหล่อนไปอ่อยติงหมิงเลี่ยงก่อนถึงได้เกิดเรื่องวันนั้นขึ้น
สมัยตอนเป็นนักเรียน ก็ไม่มีใครมานั่งวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องปลอม เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงปล่อยข่าวลือไปทั่ว ทำให้คนจำนวนมากต่างก็คิดว่าเย่หวันเอ๋อและติงหมิงเลี่ยงมีอะไรเกินเลย
ต่อมา เย่หวันเอ๋อลาออกจากมหาวิทยาลัย เรื่องนี้จึงจบไป
เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่า ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ พวกเขาทั้งสองคนก็กลับมาคบกัน
เย่หวันเอ๋อกลอกตามองบนก่อนจะเอ่ย
“ไม่สบายตรงไหนก็บอกกับหมอข่งก็จบ”
เจิ้งซินนั่งอยู่บนรถเข็น ให้ข่งฝานหลินมาวัดชีพจร วัดชีพจรไปก็พูดไป
“ฉันได้ยินมาว่าตอนนั้นที่เธอลาออก เป็นเพราะที่บ้านเธอเกิดเรื่อง ตอนนี้ดู ๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องจริงนะ แต่ก่อนเธอเป็นลูกคุณหนูร่ำรวยไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมถึงกลายมาเป็นลูกนร้องคนอื่นเขาล่ะ?”
เย่หวังเอ๋อเพียงแค่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำงานแล้วทำไม ฉันมีมือมีเท้า เลี้ยงดูตัวเองได้”
เจิ้งซินหัวเราะออกมา เอ่ยวาจาแปลก ๆ “โอ้โห ฟังดูแล้วนี่คำพูดนี้ดูช่างแสนจะเจ็บปวดจังเลยนะ แต่ก่อนสมัยเรียน เธอมักจะเปรียบเทียบกับฉันตลอด ทำไมตอนนี้ไม่เทียบแล้วล่ะ?”
เย่หวันเอ๋อเหนื่อยจะสนใจหล่อน สมัยตอนเรียนนั้นมีแค่เจิ้งซินที่ชอบเปรียบเทียบ ก็แค่ความปรารถนาฝ่ายเดียวของผู้หญิงเท่านั้นเอง
ข่งฝานหลินวัดชีพจรเสร็จก็เอ่ย “ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ ภายในท้องเย็นน่าจะกินของเย็นเยอะใช่ไหมครับ”
เจิ้งซินหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ เมื่อวานสามีของฉันพาฉันไปกินอาหารทะเล มันอร่อยมากเลยฉันก็เลยกินเยอะไปหน่อย”
พูดจบ สีหน้าของเจิ้งซินก็เต็มไปด้วยความเหนือกว่าเอ่ยต่อว่า
“สามีของฉันพาไปร้านอาหารทะเล ไม่ใช่ร้านกับข้าวทะเลแบบที่พวกคุณชอบไปกินกันบ่อย ๆ หรอกนะคะ แต่เป็นพวกอาหารทะเลลึก พวกปลายแซลมอนจากขั้วโลกเหนือ ซาชิมิทูน่าครีบน้ำเงิน เย่หวันเอ๋อ ชีวิตของพวกเราตอนนี้ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมล่ะ?”
เย่หวันเอ๋อยิ้มตอบกลับไปอย่างไม่เต็มใจ “เหอะ ๆ ก็ไม่เลวนะ”
เจิ้งซินแสร้งทำเหมือนว่าปลงตก
“เห้อ นึกถึงแต่ก่อนที่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ ส่วนเธอก็เป็นถึงคุณหนูร่ำรวย ส่วนตอนนี้ ฉันกลายเป็นคุณนายร่ำรวย ส่วนเธอก็กลายเป็นแค่ลูกน้องผู้ช่วยพยาบาล โลกมันเปลี่ยนไปหมดเลยเนอะ อะไรก็คาดเดาไม่ได้เลย”
ตอนนั้นเจิ้งซินมักจะรู้สึกว่าถูกเย่หวันเอ๋อกดหัว ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเอาคืน เพราะฉะนั้นเธอจึงต้องทำให้คนอื่นรู้สึกแย่
ระหว่างที่ข่งฝานหลินกำลังออกใบสั่งยาให้ เจิ้งซินก็คล้องแขนติงหมิงเลี่ยงแล้วเอ่ย
“เย่หวันเอ๋อ เธอคงจะคิดไม่ถึงล่ะสิ ว่าตอนนี้ชีวิตของติงหมิงเลี่ยงจะดีขึ้นมาก ๆ ตอนนี้เขาเป็นถึงรองผู้จัดการแผนกการกุศลของเขตฮว๋าหนานของเรา มีรายได้ต่อปีตั้งหลายแสน ตอนนั้นเธอปฏิเสธเขานี่เสียดายไหมล่ะ?”
ติงหมิงเลี่ยงก็ยืดอกขึ้นทันทีทำสีหน้าขี้เล่น
ตอนนั้นที่เย่หวันเอ๋อปฏิเสธเขา ช่างไร้เยื่อใยอย่างสุด ๆ
แต่ก่อนเขาเป็นแค่คนธรรมดา ตอนนั้นเย่หวันเอ๋อเป็นถึงคุณหนูลูกเศรษฐี เหมือนกับหมาวัดมองเครื่องบิน
แต่ว่าตอนนี้ฐานะของทั้งคู่กลับกันแล้ว ใครเป็นหมาวัดใครเป็นเครื่องบินคงต้องสลับกันแล้วล่ะมั้ง?
เย่หวันเอ๋อยังคงแสดงสีหน้าเย็นชาเหมือนเดิม “ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายนิ ฉันก็ไม่ได้เขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
เจิ้งซินส่งเสียงในลำคอ “เธอก็แค่ปากแข็งนั่นแหละ เธอเองก็รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นสามีของฉันแล้ว เธอคงจะเอื้อมไม่ถึงแล้ว ถึงได้ปากแข็งขนาดนี้ใช่ไหมล่ะ?”
“ช่างมันเถอะ มันเป็นเรื่องสมัยก่อนทั้งนั้น ตอนนี้พูดไปก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะถึงยังไงตอนนี้ฉันก็มีชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว”
“เอ้อ ใช่แล้วที่รักคะ ร้านอาหารทะเลที่เราไปกินเมื่อวานอร่อยมาก ฉันจำได้ว่าก่อนเราจะออกมาเขาให้กิ๊ฟวอชเชอร์ไม่ใช่เหรอ เอาให้เย่หวันเอ๋อสิ ให้เธอไปลองชิมดู”
ติหมิงเลี่ยงหัวเราะออกมา “ที่รักกิ๊ฟวอชเชอร์อันนั้นต้องสั่งอาหารครบ 2000 หยวนถึงจะลง 500 หยวน พวกคนธรรมดาอย่างพวกเขากินมื้อนึงจะถึงพันเหรอ?จะไม่หมดตัวเลยเหรอ”
เจิ้งซินทำเป็นเพิ่งเข้าใจ “อ๋อ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ฉันนี่คิดไม่รอบคอบเองค่ะ มื้อละเป็นพันสำหรับคนพวกนี้มันไฮคลาสเกินไปสำหรับพวกเขาจริง ๆ เพราะเงินเท่านี้ก็เป็นค่ากินค่าอยู่ตลอดทั้งเดือนของพวกเขาแล้ว จะมาใช้เงินทั้งเดือนกินอาหารแค่มื้อเดียวไม่ได้ ฮ่าฮ่า……”
ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อย่าถามว่ารังเกียจแค่ไหน ขนาดแค่กินอาหารทะเลมื้อเดียวฉันโม้ได้ขนาดนี้
พอข่งฝานหลินออกใบสั่งยาเสร็จ ก็ยื่นให้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างรำคาญ
“กินยาตามนี้ วันเดียวก็เห็นผลครับ”
ติงหมิงเลี่ยงก็รีบเอ่ย “คุณหมอ ต้องออกยาดี ๆ ให้ภรรยาผมนะครับ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เพราะกระเพาะของภรรยาผมมีค่ามาก”
พูดจบติงหมิงเลี่ยงก็ควักเงินออกมาเป็นฟ่อน น่าจะมีประมาณพันกว่าหยวนวางลงบนโต๊ะ
“ค่ารักษา หยิบออกมาเกินถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นทิปแล้วกันนะครับ”
พูดจบติงหมิงเลี่ยงก็พยุงเจิ้งซินเดินออกไปด้วยใบหน้าสะใจ
ข่งฝานหลินพูดไม่ออก ได้แต่กลอกตาแรง ๆ “คนอะไรกัน แต่กินอาหารทะเลก็มาอวดได้ถึงขนาดนี้”
แพทย์ระดับประเทศก็ถูกความอวดรวยของคนคู่นี้ทำให้หงุดหงิดได้
เย่หวันเอ๋อเองก็ได้แต่กลอกตาอย่างทนคนพวกนี้ไม่ไหว
ฉินจุนหัวเราะออกมา “ไม่เป็นไรหรอก คนแบบนี้ก็คดซะว่าดูตลกแล้วกัน”
“แต่ว่าพวกเขาพูดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกว่าอาหารทะเลไม่เลวแฮะ หวันเอ๋อตอนเที่ยงเราไปกินอาหารทะเลกันไหม?”
เย่หวันเอ๋อพยักหน้า “เอาสิ พี่เสี่ยวจุนว่าไงก็ว่างั้นเลย”
ฉินจุนมองหน้าข่งฝานหลินกับเจิ้งผิงหลง “พวกนายไปด้วยกันไหม?”
ข่งฝานหลินส่ายหน้า “ฉันไม่ไปหรอก ไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอ”
เจิ้งผิงหลงเองก็ส่ายหน้าไม่ไป
ฉินจุนจึงไปกินอาหารกับเย่หวันเอ๋อสองต่อสอง
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาหา ๆ ดู จากนั้นก็จองร้านอาหารมิชลินระดับ 3 ดาว
……
พอเจิ้งซินเดินออกมาจากคลินิกซวนหยวน ก็รู้สึกสดชื่นมาก กระเพาะก็ไม่ปวดแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้กินยา แต่ว่าได้ตอกหน้าเย่หวันเอ๋อก็ทำให้เธอมีความสุขมาก
นังตัวดี แต่ก่อนมันดีกว่าเธอทุกด้าน ตอนนี้เป็นไงล่ะ ฉันกลายเป็นคุณนาย ส่วนหล่อนก็กลายเป็นแค่คนธรรมดา?
เจิ้งซินยิ่งคิดยิ่งสะใจเอ่ย “ที่รัก เราไปกินมื้อใหญ่เลี้ยงฉลองกันสักหน่อยดีไหมคะ?”
ติงหมิงเลี่ยงยิ้มเอ่ย “เอาสิ คุณอยากกินอะไร?”
เจิ้งซินหยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ชหา “ที่รัก ร้านอาหารมิชลินร้านนี้ฉันยังไม่เคยกินเลย เราไปกินร้านนี้กันดีไหมคะ?”