ผู้รักษาสุดแกร่ง – ตอนที่ 190 งานเลี้ยงอาหารค่ำ

เมื่อถึงตลาดกลางคืน ซูเหวินฉีก็ยังคงสวมแว่นกันแดด หมวก และเสื้อกันลมเหมือนเดิม ไม่มีใครจำได้ว่านี่คือราชินีผู้โด่งดัง

ทั้งสองหาร้านอาหารง่ายๆริมทางเพื่อกินอะไรนิดหน่อย

อารมณ์ของซูเหวินฉีก็ดูงั้นๆ คอนเสิร์ตของเธอก็โดนคนอื่นแย่งไป และนั่นก็ยังเป็นศัตรูตัวของเธออีกด้วย ทำให้ในใจของเธอตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

เพิ่งจะได้นั่งกินข้าวกับฉินจุนไปไม่กี่คำ ผู้จัดการก็โทรมาแล้ว

ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว ถ้าตามปกติแล้วเธอจะไม่มีทางรับแน่นอน แต่ทว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องอะไรก็ได้

เธอทำท่าทางส่งสัญญาณบอกให้ฉินจุนเงียบ ๆ แล้วเธอก็รับรับสายนั้น

“มีอะไรเหรอค่ะ พี่เถียน”

เมื่อเธอฟังมาสักพัก ซูเหวินฉีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันไปค่ะ”

เมื่อวางสายแล้ว ซูเหวินฉีก็พูดอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ขอโทษด้วยนะ พี่เถียนบอกว่ามีผู้บริหารหลายคนนัดดินเนอร์กับพวกเรา ต้องการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างฉันกับเถียนอิง”

ฉินจุนพยักหน้า เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เจอได้บ่อยๆ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นซูเหวินฉีหรือเถียนอิง ก็ล้วนแต่เป็นเหมือนกับต้นไม้ขุมทรัพย์ ขอเพียงมีพวกเธออยู่ ก็จะมีเงินและพวกแฟนคลับอยู่นั้นเอง

และถ้าจู่ๆพวกเธอสองคนทะเลาะกันขึ้นมา ก็จะเกิดผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกผู้บริหารจึงต้องจัดการเครียปัญหาพวกนี้ให้เรียบร้อย ให้โอกาสพวกเธอได้เจรจากัน และนี่มันก็เป็นเรื่องปกติ

ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว “ยัยเถียนอิงนั่นเป็นคนมณฑลฮั่นตง อยู่ที่นี่เครือข่ายของเธอก็มีไม่น้อย ฉันรู้สึกว่านี่คืองานเลี้ยงที่มีเจตนาฆ่าแอบแฝง”

ฉินจุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้น ให้ฉันไปเป็นเธอด้วยไหมล่ะ”

ซูเหวินฉีชะงักไปครู่หนึ่ง “จริงเหรอ? โอเคเลย งั้นนายก็ปลอมเป็นผู้ช่วยของฉัน”

หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จแล้ว ฉินจุนและซูเหวินฉีก็ออกเดินทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงโรงแรมจื่อจิงฮวา ภายในห้องส่วนตัวเบอร์2 เถียนอิงและผู้บริหารบางคนกำลังนั่งพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ที่โต๊ะ

เถียนอิงถามขึ้นว่า “ทำไมโรงแรมจื่อจิงฮวาแห่งนี้นับวันยังไม่ได้เรื่องเลย มีผู้บริหารมากมายขนาดนี้ แต่พวกเขากลับจัดห้องส่วนตัวเบอร์2ให้เพียงแค่ห้องเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

แม้ว่าห้องเบอร์1และห้องเบอร์ 2 จะเป็นห้องส่วนตัวที่หรูหราเอามากๆ และสามารถพูดได้ว่าเป็นห้องที่มีข้อกำหนดสูงสุดในเมืองนี้ แต่ก็มีช่องว่างเล็กน้อยเช่นนี้อยู่เสมอถ้าจะให้พูดมันก็ไม่ค่อยจะดีนัก

ชายวัยกลางคนที่เอวใหญ่และเอวกลมๆดูอ้วนท้วมได้กล่าวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ห้องเบอร์1 และห้องเบอร์ 2 ก็เหมือนๆกันนั่นแหละ เพราะจุดประสงค์ของพวกเราในวันนี้ก็ไม่ได้มานั่งกินข้าวกันอยู่แล้ว”

เถียนอิงพยักหน้า “สักพักถ้ายัยผู้หญิงสกุลซูมาถึงแล้ว ไม่ต้องไว้หน้านางนะ นางเป็นแค่ดาวรุ่ง แต่ดันไม่รู้ว่าท้องฟ้านี้มันสูงแค่ไหน ถ้าทำให้ฉันรำคาญละก็ อะไรฉันก็ทำได้ทั้งนั้น!”

เถียนอิงเพิ่งจะพูดจบไปหยกๆ ทันใดนั้นประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออก และซูเหวินฉี ผู้จัดการเทียน และฉินจุนก็ได้เดินเข้ามา

ปกติน่าจะมีบอดี้การ์ดมาด้วย แต่การมาในวันนี้มาเป็นการมาแบบสมานฉันท์ อีกทั้งยังพาฉินจุนมาด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วย

พอเข้ามา บรรยากาศในห้องส่วนตัวก็แปลกไปทันที สองพี่น้องราชินีแห่งวงการดนตรีมาเจอกัน ฉากนั้นค่อนข้างน่าอึดอัดแบบนี้อยู่เสมอ

ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ผู้จัการเทียนก็ได้พาพวกเขาไปนั่งและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ดูสิ พวกเราทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ยังจะหาเรื่องให้ท่านผู้บริหารออกมาจัดการอีก รบกวนเกินไปแล้วค่ะ”

เถียนอิงถอนหายใจอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “แค่นามสกุลเถียนเหมือนกันก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วงั้นเหรอ?

ผู้จัดการเถียนสีหน้าดูจะอึดอัดเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าเธอเองจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาในวงการนี้เหมือนกัน แต่ทว่าเถียนอิงก็ถือเป็นนักร้องรุ่นพี่ที่โด่งดัง ไม่สามารถไปยั่วโมโหเธอได้ ทำได้แค่เพียงยิ้มรับเท่านั้น

“เหอะๆ สายอาชีพเดียวกันก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วค่ะ”

บรรยากาศกลับมาอึดอัดอีกครั้ง

หลังจากที่ซูเหวินฉีเข้ามา เธอยังไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย แม้แต่แว่นกันแดดเธอก็ยังไม่ได้ถอดออก เธอนั่งบนเก้าอี้และมองดูด้วยใบหน้าที่ดูเย็นชา

ในเวลานี้ ในที่สุดชายรูปร่างอ้วนท้วมคนเมื่อกี้ก็พูดได้พูดขึ้นอีกครั้ง

“ทั้งคู่ต่างก็เป็นพี่น้องในวงการเพลงเหมือนกัน ควรที่จะเป็นมิตรกันไว้ถึงจะทำเงินได้มากๆ เอาแบบนี้ ยังไงวันนี้ทั้งสองคนก็เห็นแก่หน้าฉันเสี่ยวเหอคนนี้ละกัน พวกเรามามาดื่มพูดคุยกันอย่างมีความสุข จับมือสมานฉันกันแบบนี้ดีไหม?”

เมื่อเสียงเงียบลง ทุกคนก็ต่างไม่ได้พูดอะไร ส่วนซูเหวินฉีปกติเธอก็ดูเย็นชาและมีเสน่ห์อยู่แล้ว ทุกคนก็ต่างชินไปแล้ว

ส่วนเถียนอิงในฐานะนักร้องรุ่นใหญ่แน่นอนว่าเธอต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียวแน่นอน

เสี่ยวเหอเลือบดูทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้นว่า “งั้นเอางี้ ซูเหวินฉีอายุน้อยกว่า คุณพูดอะไรสักเล็กน้อยแล้วดื่มเคารพก่อนดีไหม?”

หลังจากที่เสียงนั้นเบาลง ก็เงียบไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ซูเหวินฉีอายุจะถอดแว่นกันแดดออก และก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม

จากนนั้นเธอก็ยกแก้ว และลุกขึ้น

และเดินตรงไปที่เถียนอิง แล้วยกแขนขึ้น ถือเป็นการยกแก้วทำความเคารพตามมารยาท

ซูเหวินฉีจริงๆแล้วเธอก็ต้องการคืนดีเช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่กลัวเถียนอิงก็ตาม แต่ทว่าสู้ต่อไปแบบนี้ ก็คงจะไม่มีผลลัพธ์อะไรที่ดีขึ้นแล้ว

อย่างไรก็ตามตอนนี้เถียงอิงก็ยิ้มเยาะเย้ยเธอแล้ว

“แบบนี้ก็เรียกว่า ดื่มเคารพเหรอได้เหรอ?”

เมื่อพูดจบ เถียนอิงก็ยกแก้วขึ้น และสาดไปทั่ว

และแล้วไวน์แดงในแก้วนั้นก็ถูกสาดโดนบนร่างกายของซูเหวินฉีอย่างจัง!

ในเวลานี้สีหน้าของผู้จักการเถียนก็เปลี่ยนไปทันที เธอรีบลุกขึ้นทันที “นี้มันอะไรกัน เรียกพวกเรามาสมานฉันท์ แต่ก็มาทำแบบนี้เนี้ยนะ?”

ซูเหวินฉีถอยหลังออกมาสองสามก้าว แล้วเธอก็หยิบทิชชู่ออกมาและเริ่มเช็ดเสื้อผ้าของเธอที่เปื้อนไวน์ แต่เธอก็ยังคงแสดงสีหน้าไม่แยแสอะไร

เถียนอิงยิ้มเยาะอีกครั้ง

“สมานฉันท์งั้นเหรอ? อย่างพวกเธอจะมีปัญญาอะไรมาแข่งกับฉัน? แต่ถ้าเธอลองคุกเข่าขอร้องฉัน ฉันอาจจะยอมคืนดีกับเธอก็ได้นะ! ”

สีหน้าของผู้จัดการเถียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเถียนอิงจะเป็นคนบ้าอำนาจได้ขนาดนี้ การเรียกซู่เหวินฉีและคนอื่นๆ มาในวันนี้ไม่ใช่การปรองดองอย่างจริงใจแต่อย่างใด แต่นี่มันคือการแสดงอำนาจให้พวกเธอเห็น!

หลังจากที่เสียงของเถียนอิงเงียบลง ฉินจุนก็ลุกขึ้น

เพราะก่อนหน้านี้เป็นเรื่องภายในของคนในวงการ ฉินจุนเลยไม่อยากพูดแทรกแซงอะไรขึ้นมา และก็ขี้เกียจที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ แต่ในเมื่อผู้หญิงคนนี้กล้าที่จะลงมือ ดังนั้นฉินจุนเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจอะไรแล้ว

หลังจากที่เขาลุกขึ้น เขาก็เดินตรงไปที่เถียนอิง และพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“เธอรู้ไหม ว่าอะไรที่เรียกว่าเหล้าที่ใช้ดื่มลงโทษ(พูดดีๆไม่ยอมก็ต้องใช้กำลังบังคับ )”

ตอนนี้สีหน้าของเถียนอิงก็เปลี่ยนไป “นายหมายความว่าอะไร!”

เธอยังไม่ทันได้พูดจบ ฉินจุนก็คว้าผมของเถียนอิง แล้วก็กดหัวเธอลงบนโต๊ะ

ใบหน้าของเธอกระแทกกับโต๊ะอย่างดัง และแน่นอนว่าเกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่โหนกแก้มของเธอ

หลังจากนั้นฉินจุนก็หยิบขวดเหล้าจากด้านข้างและยัดใส่เข้าไปในปากของเถียนอิงโดยตรง เขาเทมันลงไปในปากของเธอ เถียนอิงถูกกดไว้และไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของฉินจุนที่วางอยู่บนหัวของเธอได้ มันเป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่วางทับอยู่

ปากก็ถูกยัดเข้าไปด้วยขวดเหล้าและไม่สามารถทำอะไรได้ ส่วนเหล้าก็ทะลักเข้าไปในคอ รสและกลิ่นฉุนของเหล้าทำให้เธอระคายเคืองคอ ทั้งไอและสำลัก แต่ก็กลับถูกบังคับให้กลืนมันเข้าไป และเหล้าเกือบครึ่งขวดก็ถูกเธอกลืนลงไป

ผู้บริหารหลายคนที่อยู่ถัดจากเขาก็ต่างตกตะลึงไปตามๆกัน และผู้ช่วยของซูเหวินฉีกล้ามากเกินไปแล้ว ยังกล้าที่จะลงมือแบบนี้! นี่เขาบ้าไปแล้วหรือ

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เมื่อเหล้าหนึ่งขวดถูกเทลงไปในปากของเถียนอิงจนหมด ฉินจุนก็ปล่อยมือออกทันที ส่วนเถียนอิงก็ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ และเธอก็ไอแบบนั้นเรื่อยๆ

“พวกเราไปกันเถอะ”

ฉินจุนดึงซูเหวินฉีออกมา และผู้จัดการเถียนก็รีบเดินตามออกมา และทั้งสามก็เดินออกจากห้องส่วนตัวนั้น

หลังจากออกมาข้างนอก ผู้จัดการเถียนก็คิวขมวดเป็นปมเลยทีเดียว

“คุณบู่มบ่ามเกินไปแล้ว! ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณเป็นอะไรกับซูเหวินฉี แต่คุณก็ไม่ควรใช้วิธีนี้แก้ไขปัญหาแบบนี้นะ!”

“นี่ไม่ใช่ว่ากำลังคุณทำลายอนาคตของซูเหวินฉีหรอกใช่ไหม!”

“คุณรู้ไหมว่าพวกคนที่อยู่บนตะนั่นเป็นใคร และถ้าคุณยั่วโมโหพวกเขา เหวินฉีจะมีชีวิตที่ดีในอนาคตได้ยังไง!”

และนี่ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างซูเหวินฉีและฉินจุน ที่ทำให้ผู้จัดการเถียนพูดอย่างนุ่มนวล ถ้าเป็นคนอื่น เธอคงจะด่าไปนานแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset