งานเลี้ยงรวมรุ่นจัดตอนกลางคืน แต่ว่าฉินจุนนัดหวังตงเสวี่ยแต่หัววัน เขาไม่ได้เดินช้อปปิ้งนานแล้ว เขาวางแผนว่าจะพาหวังตงเสวี่ยไปเดินซื้อเสื้อผ้าแล้วก็จะพาไปกินข้าวสักหน่อย
เนื่องจากรถสปอร์ตของฉินจุนไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ขับมา พวกเขาเรียกรถแท็กซี่มาช้อปปิ้งแทนสบายกว่าเยอะ ทานอาหารแล้วยังสามารถจิบไวน์ได้อีก
วันนี้หวังตงเสวี่ยสวมใส่เสื้อผ้าสวยมาก ด้านบนเป็นแจ็กเกตหนังสั้นตัวเล็กๆ ส่วนท่อนล่างสวมใส่กางเกงยีน ใส่คู่กับรองเท้าหนัง ทำให้ขาวเธอดูยาวมาก
ส่วนผมเธอก็รวบเป็นหางม้าดูเรียบร้อยมาก บนใบหน้าก็แต่งหน้าเพียงบาง ๆ ทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหน่อย ยิ่งทำให้เธอดูสวยขึ้นไปอีก
ฉินจุนหัวเราะ “ทำไม วันนี้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษล่ะ?”
หวังตงเสวี่ยหน้าแดง “ที่ไหนกันล่ะ แต่งง่าย ๆ เองไม่ได้อะไรเลย”
จริงแล้ว ๆ ที่เธอตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษก็เพื่อฉินจุน เพียงแต่ปากแข็งก็เท่านั้นเอง
ทั้งสองคนกำลังจะเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า แต่ทว่าจู่ ๆ ก็มีรถคันหนึ่งถอยหลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง จากที่ตามองรถคันนั้นตั้งใจจะชนหวังตงเสวี่ย
หวังตงเสวี่ยตกใจมาก เธอกรีดร้องออกมาเสียงดัง ฉินจุนมือค่อนข้างไว ๆ เขารีบดึงตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
รถออดี้เบรกกะทันหัน จอดอยู่ตรงนั้น ต่อมาก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ ถลึงตาใส่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
“พวกเธอตาบอดหรือยังไงกัน แหกตาดูบ้างไหม?ไม่เห็นหรือไงว่าฉันถอยรถ!”
ฉินจุนขมวดคิ้ว “เธอถอยรถไม่ดูคนยังกล้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ?”
หญิงสาวถอดแว่นกันแดดออก ก่อนจะหัวเราะอย่างสมเพชออกมา
“เอ้ นี่ใครกันนะ หวังตงเสวี่ยไม่ใช่เหรอ!”
พอหญิงสาวคนนั้นถอดแว่นกันแดดออกมา หวังตงเสวี่ยเองก็ชะงัก
“ถังโหรว?”
ถังโหรวคนนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของหวังตงเสวี่ย แต่ว่าเห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงรุ่นคืนนี้ไม่ได้มีใครเชิญเธอไปด้วย
สมัยเรียนมัธยมถังโหรวคนนี้เป็นพวกชอบเลือกปฏิบัติ ฐานะที่บ้านของเธอลำบากมาก ไม่ได้ต่างอะไรกับหวังตงเสวี่ยสักเท่าไหร่
แม้ว่าทั้งสองคนจะมีฐานะทางสังคมเหมือนกัน แต่ว่านิสัยพวกเธอแตกต่างกันมาก
หวังตงเสวี่ย เป็นคนซื่อสัตย์ ขยันจริงจัง ไม่ขี้อิจฉา แม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกด้อยหรือดูถูกตัวเอง ตรงกันข้ามเธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทะเยอทะยาน
แต่กับถังโหรวนั้นแตกต่างกัน เนื่องจากที่บ้านยากจน เวลาที่อยู่ที่โรงเรียนเธอมักจะคิดว่าตัวเองต่ำต้อย แม้ว่าเพื่อน ๆ จะเป็นห่วงเธอด้วยความจริงใจไม่ได้คิดอะไร เธอก็จะคิดว่าคนอื่นดูถูกเธอ
นานวันเข้า นิสัยของถังโหรวก็ยิ่งเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ตลอดช่วงชีวิตสมัยมัธยมเธอจึงมีเพื่อนแค่ไม่กี่คน
ต่อมาได้ยินว่าถังโหรวได้แฟนเป็นคนรวยมีเงิน เหมือนหนูตกถังข้าวสาร จากหญิงสาวที่บ้านยากจนกลายเป็นคุณนาย
ผู้หญิงพอชีวิตพลิกผันแล้ว ก็ยิ่งน่ากลัว
เธอทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้น เวลาติดต่อกับเพื่อนสมัยมัธยมก็มักจะเปรียบเทียบทุกครั้ง เขามีอะไรก็ต้องมี
เพราะฉะนั้นงานเลี้ยงรุ่นรวมตัวเพื่อน ๆ จึงไม่เรียกเธอ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเธอที่นี่
ถังโหรวหัวเราะอย่างเย็นชา, “หวังตงเสวี่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ชีวิตเธอก็ไม่เท่าไหร่นิ แฟนเธอคนนี้ก็ดูธรรมดา ๆ ”
เห็นว่าทั้งสองคนเดินมา ไม่มีแม้แต่รถขับ มองดูผู้ชายคนนี้ก็รู้ว่าเป็นพวกยาจก
“ในมือนายถืออะไรน่ะ?พวกเธอคงจะไม่ใช่เดินซื้อของไปเดินเก็บขวดไปหรอกมั้ง?ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีชายคนนึงเดินลงมาจากรถ หน้าตาก็เรียกว่าอธิบายลำบาก อายุไม่น้อยแล้ว ดู ๆ แล้วน่าจะแก่กว่าถังโหรวอย่างน้อยสิบปี
“เสี่ยวโหรว มีอะไรเหรอ?”
ถังโหรวรีบเดินไปข้างหน้า คล้องแขนชายแก่คนนั้น
“นี่แฟนของฉันเองเว่ยเจี้ยนจวิน ทำธุรกิจอัญมณี ส่วนนี่เพื่อนสมัยมัธยมของฉันกับแฟนค่ะ เหมือนว่าจะมาเดินเก็บขวดที่นี่กัน เมื่อกี้เกือบโดนฉันชนเข้า”
เว่ยเจี้ยนจวินหัวเราะ “ที่นี่รถเยอะ ระวังหน่อยละกันนะ”
พูดจบเขาก็เดินกลับไปที่รถ ถือขมวดน้ำอัดลมออกมาสองขวด โยนใส่เท้าของฉินจุน ใบหน้าเอ่ยด้วยความเหยียดหยามดูถูก
“เอาไปสิ”
ฉินจุนขมวดคิ้ว สองคนนี้นี่หลงตัวเองเกินไปละ
หวังตงเสวี่ยเดินไปข้างหน้า ก่อนจะดึงแขนเสื้อของฉินจุนพร้อมกับพูดว่า
“พี่ฉินไปกันเถอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย”
“อื้ม”
ทั้งสองคนเดินตรงเข้าไปในห้าง
ถังโหรวส่งเสียงอย่างไม่พอใจ “ไอ้ยาจก ไม่มีเงินแล้วยังกล้าพาเมียมาเดินห้างแบบนี้ น่าสมเพชจริง ๆ ”
ถังโหรวนั้นอิจฉาริษยาหวังตงเสวี่ยมาโดยตลอด สมัยตอนที่เรียนด้วยกัน เธอก็ไม่ชอบหน้าหวังตงเสวี่ย มาตอนนี้ในที่สุดเธอออกจากกำพรืดขอบตัวเองได้ ก็ถือว่าเธอสามารถเหยียบหัวหวังตงเสวี่ยได้แล้ว
แต่น่าเสียดาย ยัยนั่นรีบหนีไปก่อน ไม่อย่างนั้นเจอดีแน่!
ถังโหรวคล้องแขนเว่ยเจี้ยนจวินพร้อมกับเอ่ยถาม
“ที่รักคะ เที่ยงนี้เรากินอะไรกันดี?”
“คุณอยากกินอะไรเลือกเลย”
มือของเว่ยเจี้ยนจวินลูบไล้ไปตามร่างกายของถังโหรวอย่างซุกซน ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในที่สาธารณะ ป่านนี้มือของเว่ยเจี้ยนจวินคงเข้าไปอยู่ในเสื้อแล้ว
ถังโหรวแม้อยากจะห้ามแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “พวกเราไปกินสเต๊กกันดีกว่าค่ะ ฉันได้ยินว่าแถวริมแม่น้ำมีร้านอาหารฝรั่งเศสอยู่ร้านหนึ่ง อร่อยมาก ๆ แต่ว่าราคาอาจจะแพงนิดนึง……”
เว่ยเจี้ยนจวินหัวเราะ “ก็แค่กินข้าวเอง ไม่เป็นไรหรอก ไปกันเถอะ”
……
ฉินจุนกับหวังตงเสวี่ยเดินช้อปปิ้งได้สักพักหนึ่ง ก็เริ่มหิว
“มื้อเที่ยงกินอะไรกันดี?”
หวังตงเสวี่ยส่ายหน้า “ฉันเองก็ไม่รู้ พี่เสนอไอเดียเลย”
“ได้”
ฉินจุนหยิบโทรศัพท์ออกมาหารีวิว เจอร้านอาหารฝรั่งเศสร้านหนึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียง
……
ถึงโหรวกับเว่ยเจี้ยนจวินเดินเข้ามาในร้านอาหาร ร้านอาหารร้านนี้ตกแต่งดูหรูหรามีระดับตั้งแต่หน้าร้าน
พอเดินเข้ามาในร้านยิ่งน่าทึ่งเข้าไปใหญ่
“ว้าว บรรยากาศที่นี่ดีมาก ๆ เลยค่ะว่าไหม?” นี่เป็นครั้งแรกที่ถังโหรวมาที่นี่ เธอรู้สึกว่ามันน่าทึ่งมาก ๆ
ทั้งร้านอาหารตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับ มีเปียโนอยู่ตรงกลางร้าน และมีนักเปียโนกำลังบรรเลงเพลง ในร้านมีเพียงไม่กี่โต๊ะ เพื่อให้เป็นความส่วนตัว ค่อนข้างเป็นอิสระ
อีกอย่างครัวของที่นี่ก็เป็นแบบเปิด มีฝรั่งมีหนวดมีเคราสองสามคนใส่ชุดเชฟสะอาดอ้าน กำลังย่างสเต๊ก แล่เนื้อ ดูสะอาดมาก
“จ่ายไปเท่าไหร่ก็ได้อย่างนั้นจริง ๆ ”
ถังโหรวที่มาร้านอาหารระดับหรูแบบนี้เป็นครั้งแรก เหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุง
“สวัสดีค่ะ คุณลูกค้าทั้งสองท่านจองที่นั่งไว้หรือยังคะ?”
“จองแล้วครับ เราจองโต๊ะหมายเลข1เอาไว้”
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเชิญตามมาทางนี้เลย”
พูดจบ พนักงานก็นำทั้งสองคนเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม
ที่ชั้นสามเป็นชั้นโล่ง ๆ มีเพียงโต๊ะแค่ตัวเดียว บรรยากาศเงียบมาก ๆ และที่นั่งตรงนี้ยังสามารถเห็นบรรยากาศด้านนอกและยังสามารถเห็นนักเปียโนที่กำลังบรรเลงอยู่ด้วย
มีต้นไม้เขียวขจี มีภูเขาและน้ำตกจำลองที่ด้านข้าง บรรยากาศรอบ ๆ เยี่ยมมาก
หลังจากนั่งลง พนักงานก็นำอุปกรณ์ทานอาหารที่เพิ่งฆ่าเชื้อมาวางให้ พร้อมกับไวน์แดงเพื่อเรียกน้ำย่อย
ถังโหรวจิบไวน์แดงทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็แสดงสีหน้าตกตะลึงขึ้นมาทันที
“ว้าว!ที่รักคะ ทำไมไวน์เรียกน้ำย่อยนี่อร่อยจัง?”
เว่ยเจี้ยนจวินหัวเราะ “แน่นอนสิ ที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุดในตงไห่เชียวนะ”
ถังโหรวตื่นเต้นมาก ๆ หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป
ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาพร้อมกับไวโอลิน ยืนอยู่ที่โต๊ะและค่อยๆ สีไวโอลินบรรเลงเพลง
ท่วงทำนองไพเราะงดงามมาก เมื่อไวโอลินดังขึ้น เปียโนด้านล่างก็หยุดบรรเลง แขกทุกคนในร้านอาหารมองมาทางนี้ ทันใดนั้นถังโหรวก็รู้สึกหยิ่งผยองอย่างสุด ๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่น่าอิจฉา