เว่ยเจี้ยนจวินรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาจะรู้ไปได้อย่างไรว่าอันไหนคือฟัวกราส์ ถ้ามีภาษาอังกฤษก็ว่าไปอย่าง อย่างน้อยก็พออ่านออกบ้าง
แต่ภาษาฝรั่งเศสนี่ก็ช่างโหดร้ายจริงๆ เขาไม่รู้จักเลยสักตัว
แต่ทุกคนกำลังมองมาที่เขา เขาจะเสียหน้าไม่ได้
เว่ยเจี้ยนจวินหันไปทำไม้ทำมือกับพนักงานเสิร์ฟ จากนั้นก็จิ้มที่เมนูสองสามครั้ง สั่งอาหารมาหลายอย่าง พนักงานเสิร์ฟก็จดอย่างตั้งใจ
หลังจากนั้นเว่ยเจี้ยนจวินก็ปิดเมนูและพูดขึ้น
“เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวดูว่ารสชาติเป็นยังไงค่อยสั่งอีก”
เว่ยเจี้ยนจวินไม่กล้าสั่งมั่ว ถ้าสั่งมาแต่ข้าวผัดจะไม่อายแย่เหรอ? ให้พวกเขาเอาอาหารมาเสิร์ฟก่อน
หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟรับเมนูมาแล้ว เขาก็ยื่นให้ฉินจุนที่อยู่ข้างๆ และถามเขาว่าต้องการสั่งอะไรเพิ่มไหม
เว่ยเจี้ยนจวินเยาะเย้ย “คุณไม่จำเป็นต้องให้เขาดูหรอก เขาไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส จะให้สุ่มจิ้มสั่งเหรอ”
ฉินจุนไม่สนใจเขา เขารับเมนูไปแล้วถามหวังตงเสวี่ย
“คุณอยากทานอะไร? ตอนเที่ยงเพิ่งกินสเต็กไป ยังอยากกินอีกไหม?”
เมื่อเพื่อนๆ เธอได้ยินอย่างนี้ พวกเขาก็แสดงแววตาประหลาดใจทันที
“โอ้ว ตอนนี้ตงเสวี่ยอย่างเจ๋งอะ วันๆ กินแต่อาหารฝรั่งเหรอ? ตอนเที่ยงก็กินสเต็กเหรอ?”
“แหะๆ ตอนนี้ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดหลายแห่งก็มีสเต็กหมดแล้ว แต่ก็เป็นแบบแช่แข็งทั้งนั้นและราคาก็ถูกมาก ชิ้นนึงแค่สิบกว่าหยวนเอง”
“นั่นก็จริง ถึงจะเป็นสเต็กจากร้านฟาสต์ฟู้ดฉันกินไม่ไหวหรอก ดูถังโหรวสิไม่มีโอกาสพิเศษก็สามารถไปกินอาหารฝรั่งเศสหรูๆ ได้ นี่แหละน้าชีวิตคนรวย”
หวังตงเสวี่ยพยักหน้า “เอาสิ”
สเต็กเวลลิงตันที่กินไปตอนกลางวันก็ไม่เลวเลย ถ้าได้กินอีกก็ดี
ฉินจุนเหลือบมองที่พนักงานเสิร์ฟแล้วก็ชี้ไปที่เมนูสองสามครั้ง
พนักงานเสิร์ฟทำมือโอเค จากนั้นก็หยิบเมนูแล้วเดินออกไป
ถังโหรวแค่นหัวเราะ “ทำท่าอย่างกับอ่านออก คุณแน่ใจเหรอว่าสั่งสเต็กไปน่ะ ไม่ใช่ว่ายกก๋วยเตี๋ยวมาเสริร์ฟ หน้าแตกเลยนะ”
“ฮ่า ๆ ๆ…”
“ถังโหรวนี่ก็ตลกจังเลย ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวก็แบ่งฉันหน่อยนะ ฉันยังไม่เคยชิมเลยว่าก๋วยเตี๋ยวรสชาติเป็นยังไง”
“ขายหน้าก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราทุกคนก็เหมือนครอบครัวกันอยู่แล้ว ไม่ได้กินบ่อยเหมือนถังโหรว ใครบ้างจะไม่ปล่อยไก่บ้างล่ะฮ่า ๆ ๆ ”
พวกเพื่อนๆ ต่างก็หัวเราะเฮฮา แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เดิมทีหวังตงเสวี่ยก็ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครหัวเราะเยาะเธอ
ทุกคนคุยกันไปสักพัก เสียงเปียโนที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นเพียงแค่นักเปียโนหนุ่มในชุดสีขาวกำลังเล่นเปียโนอยู่ ไพเราะมาก แม้แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจดนตรีก็ยังเคลิบเคลิ้มไปกับเพลง
“ว้าว ร้านอาหารระดับไฮเอนด์นี้ดีจังเลย มีการเล่นเปียโนสดด้วย”
“เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันได้ฟังสด ๆ เพราะจังเลย”
“ที่นี่เพราะกว่าในบาร์เยอะเลย”
เว่ยเจี้ยนจวินยิ้ม “แน่นอนสิ คนที่สามารถมาเล่นเปียโนในร้านอาหารระดับไฮเอนด์แบบนี้ได้ก็ต้องเป็นนักเปียโนที่เก่งมาก พวกคุณค่อยๆ ดื่มด่ำไปกับเสียงเปียโนนะ”
จริง ๆ แล้วเว่ยเจี้ยนจวินและถังโหรวเพิ่งเคยไปแค่ครั้งเดียวเมื่อตอนเที่ยง แต่พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไปบ่อย
ไม่นาน สเต็กของฉินจุนและหวังตงเสวี่ยก็มาเสิร์ฟ และพนักงานเสิร์ฟก็พูดภาษาฝรั่งเศสสองสามประโยค
แม้ว่าทุกคนจะไม่เข้าใจ แต่คุณก็สามารถพอจะเดาได้จากท่าทางของเขา ให้เขารีบกินตอนที่มันยังร้อนอยู่
“พวกคุณกินก่อนเถอะ สเต็กเย็นแล้วจะไม่ค่อยนะ”
“ใช่ เดี๋ยวของพวกเราก็น่าจะใกล้มาแล้วแหละ”
“ตงเสวี่ยพวกเธอกินก่อนเลย”
ฉินจุนสั่งสเต็กมาสี่ชุด และยังมีฟัวกราส์และเห็ดทรัฟเฟิล
เขาหยิบสเต็กยื่นไปให้หวังตงเสวี่ย ถิงถิง เสี่ยวอวี้ และอาชู
ให้สี่สาวกินไปก่อน
คนอื่นๆ เมื่อเห็นอย่างนั้นก็เริ่มกลืนน้ำลาย สเต็กนี้หอมมาก ทุกคนต่างก็หิวมากแล้ว ทำไมอาหารยังไม่มาเสิร์ฟอีกนะ?
ถังโหรวขมวดคิ้ว “สามีคุณไปเร่งหน่อยไหมคะ?”
เว่ยเจี้ยนจวินพยักหน้า และดีดนิ้ว
“waiter !”
พนักงานเสิร์ฟเดินมา แต่ก็ยังพูดภาษาฝรั่งเศสอยู่
“อาหารของเราล่ะ เร็วๆ หน่อยสิ!”
เว่ยเจี้ยนจวินพูดพร้อมทำท่าทางที่น่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง
แต่บริกรก็ทำหน้างง ขมวดคิ้วแน่น กางมือออกสองข้าง ทำร่าบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง
ทันใดนั้นเว่ยเจี้ยนจวินก็โมโหทันที
“พวกคุณนี่ยังไงกันเนี่ย แค่มาเสิร์ฟอาหารมันยากนักเหรอ? เรียกผู้จัดการมาซิ!”
เว่ยเจี้ยนจวินตบโต๊ะอย่างโมโห
พนักงานเสิร์ฟก็รีบเดินกลับไปเรียกชายวัยกลางคนคนหนึ่งมา ชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง พูดได้ทั้งภาษาฝรั่งเศสและจีน เขาเดินเข้ามาถาม
“คุณผู้ชายต้องการอะไรครับ?”
ในที่สุดพนักงานที่พูดจีนก็มา เว่ยเจี้ยนจวินก็รีบพูด
“พวกเราสั่งอาหารไปตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่มาเสิร์ฟอีก พวกเขาสั่งทีหลังก็มาเสิร์ฟหมดแล้ว!”
พนักงานเสิร์ฟผงะไปครู่หนึ่ง “คุณผู้ชายครับ อาหารคุณครบแล้วนะครับ”
“อะไรนะ! ครบอะไร นี่คือที่พวกเขาสั่ง เมื่อกี้ฉันสั่งไปเยอะมากเลยนะ ยังไม่มาเสิร์ฟสักจานเลย”
พนักงานเสิร์ฟยิ้ม “คุณผู้ชายครับ เมื่อกี้คุณสั่งให้เล่นเปียโนไปทั้งหมด 6 เพลง และเราก็ได้เล่นให้คุณทั้งหมดแล้วครับ”
ทันใดนั้นทุกคนก็ตกตะลึงทันที
เพลงเปียโน?
แสดงว่าที่สั่งไปเมื่อกี้ไม่ใช่อาหาร !
ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม ทุกคนต่างก็หิ้วท้องรอตั้งนาน แต่สรุปคือเว่ยเจี้ยนจวินสั่งเพลงเปียโนไปหกเพลงเนี่ยนะ?
ฟังเพลงแทนข้าวหรือไง !
ทุกคนพูดไม่ออกทันที ถ้าบอกว่าไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศสตั้งแต่แรกก็จะได้เรียกพนักงานที่ได้จีนมาก็จบแล้ว จะอวดฉลาดทำไม น่าขำสิ้นดี
รู้งี้ให้แฟนของตงเสวี่ยช่วยสั่งดีกว่า
สีหน้าของเว่ยเจี้ยนจวินก็ซีดไปแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะเล่นละครไม่สำเร็จ แล้วยังต้องมาขายหน้าขนาดนี้อีก ใครจะไปคิดล่ะว่าหน้าแรกของเมนูมันจะเป็นเพลงเปียโน!
“งั้นพวกเราขอเมนูภาษาจีนหน่อยค่ะ!”
“ได้ครับ”
พนักงานไปหยิบเมนูภาษาจีนมาให้ พวกเพื่อนๆ ก็ดูและสั่งอาหารกัน
ผ่านไปนานมากกว่าที่อาหารของทุกคนจะมาเสิร์ฟ
แต่หลังจากกินของอร่อยแล้ว อารมณ์ของทุกคนก็ดีขึ้นมาก และก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องน่าอายเมื่อกี้นี้เลย
ทุกคนพูดคุยกันระหว่างทานอาหาร “ถังโหรว แฟนเธอขายอัญมณีก็เขาต้องรู้จักอัญมณีมากเลยสิ?”
ถังโหรวยิ้ม “ก็ต้องอยู่แล้วสิ อัญมณีเอย นาฬิกาเอย เขารู้จักหมดนั่นแหละ”
“งั้นเหรอ งั้นคุณว่านาฬิกาผมเป็นไงบ้าง?”
เว่ยเจี้ยนจวินรับนาฬิกานั้นมาดู และพยักหน้า
“นาฬิกาเรื่อนนี้เป็นของจริง ถึงแม้จะไม่ใช่แบรนด์ดังอะไรมาก แต่คุณภาพก็ถือว่าโอเคนะ”
เมื่อพูดถึงนาฬิกา สายตาของทุกคนต่างก็มองไปที่ข้อมือของกันและกัน
ทันใดนั้นถังโหรวก็เห็นนาฬิกาบนมือของหวังตงเสวี่ย
“โอ้วตงเสวี่ย นาฬิกาเรือนนี้สวยจัง ให้สามีฉันดูหน่อยไหมว่าของจริงหรือของปลอม?”
ใบหน้าของหวังตงเสวี่ยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้สนใจว่าจะของจริงหรือของปลอม”
ถังโหรวแค่นหัวเราะ “ได้ยังไงกัน ถ้าคนอื่นให้นาฬิกาปลอมเธอ และเธอเอามาสวม มันจะน่าอายกว่าไม่ใส่อีกนะ รีบถอดออกมาดูเร็ว”