จู้หย่งเปิดลำโพงโทรศัพท์ เมื่อสักครู่เขาก็เห็นข่าวที่หญิงชราถูกจับโยนออกมา ไม่คิดเลยว่าภายในเวลาหนึ่งวันสั้น ๆ จะเกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
พอรู้เรื่องนี้เข้า ปฏิกิริยาแรกของจู้หลินหลินก็คือมองหน้าฉินจุน
ก่อนหน้านี้ฉินจุนเคยพูดไว้แล้วว่า ต้องเชื่อเขา หรือว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเขา?
แต่ว่าไม่นานเธอก็ส่ายหัว พี่เสี่ยวจุนจะไปสั่งคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหอกรุปได้ยังไง เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่นอน
“ลุงใหญ่คะ สรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ตอนนี้หนูช่วยอะไรได้?”
จู้หมิงก็เอ่ยออกคำสั่ง “เธอรีบไปขอร้องบริษัทอสังหาริมทรัพย์เหอกรุป!ภายในสองวัน ถ้าไม่ได้ผลนะบ้านนี้เธอก็ไม่ต้องอยู่แล้ว!”
ขณะที่จู้หลินหลินกำลังจะพูด ฉินจุนก็คว้าโทรศัพท์ไปเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“ต่อไปพูดกับจู้หลินหลินให้มันเกรงใจกว่านี้หน่อย เรื่องของพวกคุณ ก็จัดการเอาเอง”
พูดจบฉินจุนก็กดตัดสายไปอีกครั้ง
“อาจู้ครับ ช่วงนี้ไม่ต้องรับโทรศัพท์ของพวกเขานะครับ”
จู้หลินหลินค่อนข้างกังวลใจ “พี่เสี่ยวจุน แบบนี้จะดีเหรอ?คุณย่าเข้าโรงพยาบาลแบบนี้แล้ว ถ้าหากฉันไม่ช่วย……”
หวังหยุนเดินออกมา ถลึงตาใส่
“ฉินจุน!นายทำอะไร!จู้หลินหลินเพิ่งจะถูกลดตำแหน่ง มันไม่ง่ายเลยนะที่จะมีโอกาสแสดงตัวตนแบบนี้ ยังไม่รีบไปช่วยเขาอีก?นายมาออกคำสั่งบ้าบออะไร?”
ฉินจุนไม่ได้สนใจหวังหยุน เขาหันไปมองจู้หลินหลินแล้วเอ่ย
“ถ้าหากเธอไปช่วยคนพวกนั้นง่าย ๆ แบบนี้ ต่อไปพวกเขาก็จะยังไม่เห็นความสำคัญของเธอ ครั้งนี้ต้องทำให้พวกเขารู้จักหลาบจำ”
จู้หลินหลินกัดริมฝีปาก รู้สึกว่าที่พี่เสี่ยวจุนพูดมาก็มีเหตุผล
“ค่ะ ฉันจะฟังที่พี่พูด”
หวังหยุนถลึงตา “จู้หลินหลิน ลูกบ้าไปแล้ว จะไปฟังมันทำไม มันจะไปรู้อะไร ถ้าลูกไม่ไปจัดการตอนนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นสองสามวันมานี้จะทำยังไงล่ะ?”
ฉินจุนขมวดคิ้ว “ถ้าไม่อยากอยู่ คุณก็ออกไปได้เลย อย่ามาโวยวายที่นี่!”
“แก…” หวังหยุนหอบหายใจอย่างโกรธจัด มองฉินจุนอย่างดุเดือดแล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้อง
“แกดู แกดู๊สิ! ก็มีแค่ไอ้บ้านหลังเก่า ๆ พัง ๆ นั่นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กลับกล้ามาพูดแบบนี้กับฉัน ไม่เห็นหัวฉันเลยสักนิดเดียว!”
จู้หย่งส่ายหัวอย่างจนใจ “คุณช่วยพูดให้มันน้อย ๆ หน่อย”
“ให้ฉันหยุดพูดอะไรกัน! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราช่วยมัน ไอ้คนแซ่ฉินคงตายไปนานแล้ว จะได้มารับมรดกคฤหาสน์นี้ไหม เดิมทีฉันมีสิทธิในบ้านหลังนี้ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นใครก็ไล่ฉันออกไปไม่ได้!”
……
วันต่อมา หลังจากหญิงชราฟื้นขึ้นมา พยาบาลก็เดินเข้ามาเอ่ย
“ญาติคนไข้คะ เชิญชำระเงินด้วยค่ะ”
จู้หมิงหยิบบัตรธนาคารออกมาส่งให้ ไม่นานพยาบาลก็เดินกลับมา
“ญาติคนไข้คะ บัตรของคุณรูดไม่ได้ค่ะ”
“หืม?ผมไปดูซิ”
จู้หมิงออกอาการมึนงง ทำไมบัตรมันจะรูดไม่ได้ล่ะ
พอมาถึงห้องการเงินของโรงพยาบาล ทำการรูดบัตรกี่ครั้งก็ยังไม่ได้เหมือนเดิม ที่ด้านหลังมีคนต่อแถวจำนวนมาก จู้หมิงเองก็ไม่มีทางเลือก
เปลี่ยนบัตรไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบก็ยังใช้ไม่ได้
จู้หมองในตอนนี้ก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา รีบโทรศัพท์ไปหาธนาคาร
“ฮัลโหลครับ ทำไมจู่ ๆ บัตรของผมมันถึงรูดไม่ได้ล่ะ?”
“สวัสดีค่ะคุณจู้ เนื่องจากกิจกรรมทางธุรกิจล่าสุดของท่าน ธนาคารได้ตัดสินใจระงับบัญชีของคุณชั่วคราว เงินทุนและบัตรเครดิตของท่านไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว”
“อะไรนะ!พวกคุณมีสิทธิอะไรมาระงับบัญชีของผม ผมเป็นลูกค้าวีไอพีของพวกคุณ ทำไมพวกคุณทำกับผมแบบนี้ไม่กลัวผม……ฮัลโหล?ฮัลโหล!”
ธนาคารกลับตัดสายของจู้หมิง ทำเอาเขาช็อกไปเลย
เขารีบกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย “คุณแม่ บัตรธนาคารของคุณแม่อยู่ไหนครับ?บัตรผมมีปัญหา ใช้ของแม่ไปก่อนแล้วกันนะครับ”
พอได้บัตรธนาคารของหญิงชรามา ก็นำไปรูดอีกครั้ง แต่มันก็กลับเป็นแบบเดิม
จู้หมิงหน้าเสีย จบแล้ว แบบนี้มันหมดสิ้นแล้ว
นางพยาบาลเดินเข้ามาอย่างรำคาญ นายคนนี้ทำไมไป ๆ มา ๆ ไม่จบไม่สิ้นเสียที?
“คุณผู้ชายคะ ถ้าคุณไม่ทำการชำระเงิน ก็ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลไปเลยค่ะ”
จู้หมิงถลึงตาใส่ “ทำเรื่องออกอะไรกัน !ไม่เห็นหรือไงว่าแม่ฉันยังไม่หายดี ?โรงพยาบาลของพวกเธอนี่มันอะไรกันมาไล่คนไข้แบบนี้ !รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร !เชื่อไหมว่าฉันสามารถหาคนมาฆ่าเธอได้ !”
จู้หมิงร้อนใจ หงุดหงิดโมโหอย่างมาก
พยาบาลได้ยินดังนั้น ก็สีหน้าเปลี่ยน เธอรีบวิ่งกลับไปทันที
ไม่นาน พยาบาลก็พารปภ.ของโรงพยาบาลเดินมา ด้วยใบหน้านิ่ง
“เมื่อกี้คุณเป็นคนบอกว่าจะฆ่านางพยาบาลของเราเหรอครับ?”
พอเห็นรปภ.สองสามคนถือกระบองไฟฟ้า จู้หมิงก็หวาดกลัวขึ้นมาทันที
“ฉัน เมื่อกี้ฉันแค่พูดไปอย่างนั้น”
“เหอะ พูดไปอย่างนั้นเหรอ?คุณชำระค่ารักษาหรือยัง?ถ้ายังไม่ชำระ ก็รีบออกจากโรงพยาบาลไปซะ มิฉะนั้นเราจะใช้มาตรการบังคับ”
“ฉัน……”
จู้หมิงหน้าเสีย รีบกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วย โทรศัพท์หาจู้ซานกู
“น้องสาม โอนเงินมาให้พี่หน่อย แม่ต้องจ่ายค่าแอดมิท”
“พี่ใหญ่ บัญชีของฉันถูกระงับ แม้แต่ Ant Credit Pay ยังโดนระงับเลย!”
“ฉิบหาย!”
จู้หมิงโมโหจนเขวี้ยงโทรศัพท์ลงที่พื้น ทำไมมันเป็นแบบนี้!
หญิงชราลืมตาขึ้นมา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “เกิดอะไรขึ้น?”
“คุณแม่ครับ ตอนนี้บัญชีของพวกเราถูกระงับ ตอนนี้ไม่มีเงินเลย บางที……อาจจะต้องออกจากโรงพยาบาลก่อน”
หญิงชราหลับตาลง ท่าทางดูเหมือนว่าเธอกำลังถูกสังหารแบบนั้นเลย
“ออกจากโรงพยาบาลเถอะ ไปที่คฤหาสน์ชิงเหมย”
จู้หมิงชะงัก “คุณแม่ครับ จะไปที่คฤหาสน์ชิงเหมยทำไม?”
“ไปขอร้องเธอ”
……
เดิมทีหยิงชราก็ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร เพียงแต่ว่าช่วงนี้เจอแต่เรื่องหนัก ๆ จึงออกอาการร้อนในนิดหน่อย ตอนออกจากโรงพยาบาล เธอก็สามารถเดินเองได้
ครอบครัวพากันขับรถมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ชิงเหมย
พอเข้ามาในเขตคฤหาสน์ ก็ถูกรปภ.เข้ามาขวางไว้ทันที
“นี่เป็นเขตส่วนบุคคล เข้าไปไม่ได้ครับ”
จู้หมิงเอ่ย “พวกเรามาเยี่ยมญาติ หลานสาวฉันอยู่ในนั้น!”
รปภ.เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ขอโทษด้วยนะครับ พวกเราไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีแขก เพราะฉะนั้นให้พวกคุณเข้าไปไม่ได้”
“นี่……”
พวกเขาโทรศัพท์ก็โทรไม่ติด ขับรถมาหาก็เข้าไปไม่ได้ แล้วแบบนี้จะเอายังไงดี
รปภ.เอ่ย “รถขับเข้าไปไม่ได้ แต่พวกคุณสามารถเดินเข้าไปเคาะประตูได้ครับ”
ไม่แปลกใจที่ครั้งก่อนตอนที่ฉินจุนพาพวกเขามา ถึงได้ใช้รถบัสลาก ที่แท้รถส่วนตัวเข้าไปไม่ได้นี่เอง
หญิงชรา จู้หมิง จู้ซานกูสามแม่ลูกเดินลงจากรถ จากที่นี่ห่างจากคฤหาสน์ชิงเหมยไม่ต่ำกว่าห้ากิโลเมตร แถมยังเป็นทางภูเขาขึ้นเนิน
แต่ในเวลานี้ไม่มีใครไม่กล้าบ่นเดินขึ้นไปทีละก้าว ทั้งสองช่วยหญิงชราปีนขึ้นไปบนภูเขา
ระยะทางห้ากิโลเมตรใช้เวลาเดินกว่าครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ
เมื่อพวกเขามาถึงหน้าประตูคฤหาสน์ชิงเหมย ทั้งสามคนก็เหงื่อออกเต็มตัว โดยเฉพาะหญิงชราที่มีริมฝีปากซีดเล็กน้อย
“แม่ครับไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หญิงชราพูดด้วยใบหน้าที่เหมือนคนจมน้ำ ชี้ไปที่ประตูเหล็กบานใหญ่
“กดกริ่ง!”
จู้หมิงเดินเข้าไปกดกริ่ง ก่อนจะมีเสียงรปภ.ดังขึ้นมา
“มาพบใครครับ มีธุระอะไรครับ ?”
“มาหาจู้หลินหลิน!”
“นัดไว้หรือเปล่าครับ?ถ้าไม่ได้นัดไม่รับแขกครับ”