จู้หมิงชะงัก “ไม่ได้นัดไว้ คนที่อยู่ด้านในที่ชื่อจู้หลินหลินเป็นหลานสาวของฉัน ฉันมาหาหลานสาวยังต้องนัดอีกเหรอ?”
รปภ.หัวเราะอย่างเย็นชา “มีญาติมาเยอะเกินไปครับ ถ้าหากไม่ได้นัดไว้ก็ให้เข้า”
พูดจบรปภ.ก็ตัดสายอินเตอร์คอมทันที
“นาย……”
จู้หมิงมองไปยังประตูสีดำอย่างโกรธจนควันออกหู
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!ก็ไอ้แค่ได้มรดกเป็นไอ้บ้าาเก่า ๆ หลังเดียวแค่นี้กลับไม่ให้พวกเราเข้าพบ มันชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้วนะ!”
“พอ ไม่ต้องพูดแล้ว!”
หญิงชราสีหน้าซีดเซียว ไม่คิดเลยว่าแค่จะเจอจู้หลินหลินต้องยุ่งยากขนาดนี้
หญิงชราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วถอนหายใจอย่างหนักอก
“มันก็แค่ทำเป็นข่มขู่เราเท่านั้นแหละครับ”
“จู้หมิง คุกเข่าลงไป”
สีหน้าของจู้หมิงเปลี่ยนไปทันที “อะไรนะครับคุณแม่ !ทำไมต้องให้ผมคุกเข่าให้เธอด้วย?”
“เหอะ แกจำได้หรือเปล่าครั้งก่อนที่ฉันกลับมา พวกมันให้แกคุกเข่าให้เธอเป็นเวลาสามวัน?”
เรื่องนั้นจู้หมิงจำมันได้ดี ครั้งนั้นจู้หมิงเป็นหนี้เงินกู้ธนาคารกว่าห้าร้อยล้านหยวน ถ้าไม่ใช่เพราะจู้หลินหลินช่วยเอาไว้ เขาก็คงเข้าคุกไปแล้ว
ครั้งนั้นจู้หมิงควรคุกเข่าให้เธอเป็นเวลาสามวันตามคำขอ จู้หลินหลินถึงจะยอมช่วย แต่เป็นเพราะว่าหญิงชรากลับมาแล้ว ดังนั้นจึงไกล่เกลี่ยกัน ให้จู้หมิงคุกเข่าบต่อหน้าบรรพบุรุษเป็นเวลาสามวัน
ไม่ว่าจะพูดยังไงมันก็คือการไว้หน้าเขานิดหน่อย
แต่ว่าครั้งนี้มันคือวิกฤตของทั้งตระกูลจู้ แม้กระทั่งหญิงชราเองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้
มีทางเดียวคือขอร้องจู้หลินหลิน นี่มันครั้งที่สองแล้วมีเหรอที่จะปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ ?
ถึงแม้จะรู้ว่าจู้หลินหลินนั้นสำคัญต่อบริษัทมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะสำคัญขนาดนี้
เพียงแค่ลดตำแหน่งของเธอ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องราวมากมายขนาดนี้
ขัดแย้งกับซวนหยวนกรุ๊ป ถูกนิติบุคคลไล่ออกมาจากตึก ธนาคารหยุดให้เงินกู้แถมยังระงับบัญชีของพวกเขา
แบบนี้คือบีบให้ตระกูลจู้ของพวกเขาจนมุมตายชัด ๆ !
หญิงชราทำหน้านิ่ง ตอนนี้แม้ว่าเธอจะเย่อหยิ่งขนาดไหน เธอก็ทำได้แค่ต้องยอมก้มหัวให้จู้หลินหลิน
จู้หมิงหน้าเสีย “คุณแม่ครับ นี่ผมต้องยอมคุกเข่าให้เธองั้นเหรอ?เธอคู่ควรเหรอครับ!”
“เลิกพล่ามได้แล้ว รีบคุกเข่าซะ!”
จู้หมิงเบ้ปากบ่นพึมพำในปาก ก่อนจะคุกเข่าลงที่หน้าประตู
ฉินจุนยืนอยู่ด้านข้างรปภ. ทั้งสองคนมองภาพในหน้าจออินเตอร์คอม บนใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างโหดเหี้ยม
รปภ.เอ่ยถาม “คุณฉินครับ จะให้เปิดประตูไหมครับ?”
ฉินจุนส่ายหน้า “รออีกสักพัก ให้พวกมันคุกเข่านานกว่านี้หน่อย”
พูดจบ ฉินจุนก็กลับไปตกปลากับจู้หลินหลินต่อ
พอเห็นฉินจุนเดินกลับมา จู้หลินหลินก็เอ่ยถาม “มีอะไรเหรอคะพี่เสี่ยวจุน?”
ฉินจุนยิ้มก่อนจะเอ่ย “ที่หน้าประตูมีคนมาขอร้องเธอน่ะ”
“หืม?” จู้หลินหลินชะงักก่อนจะเอ่ยถาม “จู้หมิงเหรอคะ?”
“ไม่ใช่แค่เขา มีซานกูกับคุณย่าด้วย”
จู้หลินหลินรีบลุกขึ้นยืนทันที ไม่คิดเลยว่าคุณย่าจะมาด้วยตัวเอง ดูแล้วเรื่องนี้มันต้องรุนแรงมากแน่ ๆ
“ถ้าอย่างนั้นฉันรีบไปดูดีกว่าค่ะ อย่าให้คุณย่ารออย่างร้อนใจเลย”
ฉินจุนดึงมือของจู้หลินหลินเอาไว้ทันที “อย่าเพิ่งรีบ ให้คนพวกนั้นคุกเข่าอยู่ตรงนั้นก่อน”
“อะไรนะคะ!”
จู้หลินหลินตกใจ “ใครคุกเข่าคะ?”
“จู้หมิงกับซานกูคุกเข่าอยู่”
“แบบนี้……” จู้หลินหลินรู้สึกหนักใจ เพราะพวกเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ ปล่อยให้พวกเขาคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง?
ฉินจุนกลับนิ่งเฉยมาก “รีบร้อนไปทำไม ย่าของเธอยังไม่ได้คุกเข่าสักหน่อย?”
จู้หลินหลินถลึงตา “พี่ยังกล้าคิดจะให้คุณย่าคุกเข่าเหรอ!แบบนั้นฉันรับไม่ได้หรอกนะ!”
ฉินจุนเอ่ย “ก็ไม่ใช่ว่าต้องให้ท่านคุกเข่าหรอก แต่ว่าต้องทำให้ท่านรู้ฐานะของเธอในตระกูลจู้”
จู้หลินหลินอ้าปากค้างแต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เธอรู้ว่าฉินจุนนั้นทำเพื่อเธอ
ช่วงนี้ภายในตระกูลจู้เธอเองก็โดนรังแกไม่น้อย เธอทำงานหนักที่สุด แต่ได้เงินน้อยที่สุด แถมยังต้องมาคอยฟังคำสั่งจากคนอื่น
ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ลดตำแหน่งเธอให้เหลือเพียงพนักงานธรรมดา แทบไม่ต่างอะไรกับการโดนไล่ออก
ภายในใจของจู้หลินหลินเองก็โกรธเคือง ครั้งนี้เธอตัดสินใจที่จะฟังฉินจุน
ที่ด้านนอกจู้หมิงกับจู้หลินหลินเริ่มคุกเข่าลงที่พื้น คุกเข่ามากว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นใครออกมา หญิงชราเองก็โมโหกัดฟันกรอด เดินไปกดกริ่งอีกครั้ง
“จู้หลินหลิน หรือเธอจะให้ฉ้นคุกเข่าให้เธอด้วยอีกคนหะ!”
หวังหยุนได้ยินเสียงกดกริ่งก็เดินออกมาจากห้อง แล้วเดินออกไปเปิดประตู พอเห็นทั้งสองคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น ส่วนหญิงชรายืนอยู้ด้านข้างก็ช็อกทันที
“คุณแม่ พวกคุณแม่นี่คือ……”
จู้หมิงกลอกตามองบน ภายในใจก็คิดว่าพวกเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจจะมาถามทำไม?ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องต้องการขอร้อง จะมาคุกเข่าให้ทำไม?
แต่ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญกับหายนะ เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้าสร้างปัญหาอีก
จู้หมิงเอ่ย “น้องสะใภ้ ก่อนหน้านี้พวกเราทำผิด ให้จู้หลินหลินออกมาหน่อยได้ไหม พวกเรามีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ”
“เอ่อ……” ภายในใจหวังหยุนรู้สึกสะใจสุด ๆ ?ก่อนหน้านี้ยังเสแสร้งทำเป็นอวดดีอยู่เลย ตอนนี้ล่ะเป็นไง?มาคุกเข่าถึงหน้าประตูบ้าน?
แต่ว่าสีหน้าของเธอก็ยังเสแสร้งทำเป็นลำบากใจ “หลินหลินเหรอคะ ฉันเองก็ไม่เห็นหลินหลินเลยค่ะ คฤหาสน์ใหญ่แบบนี้หาเธอทั้งวันก็หาไม่เจอค่ะ พวกคุณแม่ลองโทรศัพท์หาดูหรือยังคะ?”
หญิงชราเอ่ยหน้านิ่ง “ปิดเครื่อง”
“อ่อ?แบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นหนูให้รปภ.ไปตามหาดู พวกคุณแม่รอสักครู่นะคะ!”
“เดี๋ยวก่อน!” หญิงชราเรียกหวังหยุนเอาไว้ “เธอไปบอกหลินหลินว่าถ้าอยากเห็นฉันคุกเข่า ฉันก็จะคุกเข่าให้”
หวังหยุนรีบเอ่ย “คุณแม่คะ พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ เดี๋ยวหนูจะรีบไปตามจู้หลินหลินมา!”
หวังหยุนเรียกรปภ.พอรู้ว่าจู้หลินหลินอยู่ไหนก็เดินไปหา จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ย
“หลินหลิน คุณย่ามาหาลูก ท่านบอกว่าถ้าอยากให้ท่านคุกเข่า ท่านก็จะทำให้”
จู้หลินหลินลุกขึ้นยืน “ฉันควรไปดีกว่า”
ฉินจุนพยักหน้า มันก็พอสมควรแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอยากให้หญิงชราที่ไม่รู้จักประมาณตนเองคุกเข่าลงด้วย แต่ว่าถ้าหากเธอคุกเข่าด้วยอีกคน คาดว่าจะยิ่งทำให้เธอแค้นฝังใจ ต่อไปอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้จู้หลินหลินอีก
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ”
จู้หลินหลินกับฉินจุนวางเบ็ดตกปลา ก่อนจะเดินไปที่ประตูใหญ่
พอเห็นทั้งสองคนนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น คุณย่ายืนหน้าซีดถือไม่เท้าอยู่ด้านข้าง
ความกล้มใจที่จู้หลินหลินมีมาตลอดหลายวันก็หายไป ภายในใจก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“คุณย่า”
หญิงชราเองก็ไม่กล้าต่อว่าอะไร เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“หลินหลินออกมาแล้ว ลุงใหญ่กับอาสามมาขอโทษหลาน ย่าเองก็ต้องขอโทษหลานด้วย ก่อนหน้านี้ย่าพูดแรงไป เห็นแก่ที่เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หลานอย่าถือโทษโกรธพวกเราเลยนะ”
น้ำเสียงของหญิงชรายังคงอ่อนโยน แม้แต่น้ำเสียงกระแหนะกระแหนก็ไม่มี คราวนี้เธอไม่กล้าดูถูกจู้หลินหลินแล้วจริง ๆ
หญิงชราใช้ไม้เท้ากระแทกหลังของจู้หมิง
จู้หมิงรีบเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“หลินหลิน เป็นความผิดของลุงทั้งหมด เรื่องก่อนหน้านี้ลุงต้องขอโทษหลาน หลานยกโทษให้ลุงได้ไหม?”
หวังหยุนที่อยู่ด้านหลังดีใจใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรให้ช่วยพวกพี่ก็บอกจู้หลินหลินเลย ฉันว่า พวกพี่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันดีกว่า เราครอบครัวเดียวกันก็อยู่ด้วยกันสะดวกสบาย!”