การพูดของหวังเถี่ยเฉิงเหมือนกับพวกผู้นำที่กำลังสั่งสอนลูกน้อง ด้วยท่าทางที่มั่นใจและน้ำเสียงที่เหมือนกำลังเทศนาธรรมของเขา ทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์สุดๆ
ญาติคนอื่นๆเองก็คงจะเห็นด้วยกับเขา
“เถี่ยเฉิงพูดถูก ผู้ชายตอนอายุ20กว่าๆกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องสู้ชีวิต ถ้ามีต้นทุนที่ดีขนาดนี้อยู่กับตัวแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ก็นับว่าเสียเปล่าจริงๆ ”
“ถ้าบ้านฉันมีญาติแบบเถี่ยเฉิงก็คงจะดี และก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องงานของลูกอีกต่อไป ”
“เสี่ยวฉิน เถี่ยเฉิงเขาช่วยเปิดทางให้ก็ยังจะปฏิเสธอีก แบบนี้ไม่เรียกว่ามองข้ามความหวังดีของคนอื่นหรอ ? ”
ญาติพวกนี้ต้องพูดเข้าข้างหวังเถี่ยเฉิงอยู่แล้วเพราะในใจพวกเขาต่างก็คิดแบบเดียวกัน
ใบหน้าของฉินจุนเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “ช่วยเปิดทางให้ ? แค่เข้าไปทำงานที่บริษัทโลจิสติกส์ก็เรียกว่าช่วยเปิดทางให้แล้วหรอ ? ”
หวังเถี่ยเฉิงขมวดคิ้ว
“ทำไม นายสงสัยในความสามารถของบริษัทเรางั้นหรอ ? ”
“นายไม่เคยได้ยินชื่อตงเฟิงเอ็กซ์เพรสหรือไง ? เข้ามาในบริษัทเราก็นับว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีแล้ว ดูจากวุฒิการศึกษาของนาย ถ้าไปทำงานข้างนอกที่อื่นอย่างมากก็ได้เงินเดือนสัก 3-5 พัน แต่ถ้าทำงานที่บริษัทเรา ขอเพียงแค่นายขยันเท่านั้น เงินเดือนหนึ่งหมื่นก็จะไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป ! นี่ยังไม่เรียกว่าช่วยเปิดทางให้อีกหรอ ? ”
ฉินจุนเผลอหัวเราะออกมา ที่แท้เงินเดือนหนึ่งหมื่นในสายตาเขาก็คือการช่วยเปิดทางให้แล้ว นี่มันกบในกะลาครอบจริงๆ
ฉินจุนส่ายหัวพร้อมกับตอบว่า “ช่างเถอะ ฉันมีธุรกิจของตระกูลเฝิงอยู่หนึ่งอย่างแล้ว ก็ไม่ควรจะขออะไรอีกแล้ว ”
คำพูดของฉินจุนทำให้ทุกคนต่างชะงักและรู้สึกงง
หวังเถี่ยเฉิงยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น
“นายมาพูดจาเหลวไหลอะไรแถวนี้ ? อะไรคือมีธุรกิจของตระกูลเฝิงแล้ว ? หรือว่า นายรู้จักกับท่านประธานของพวกเรางั้นหรอ ? ”
ฉินจุนตอบ “ฉันก็รู้จักจริงๆนั่นแหละ เฝิงชู่เฉียงใช่มั้ย ? ”
เมื่อได้ยินฉินจุนพูดชื่อของประธานคนก่อนออกมาอย่างชัดเจน หวังเถี่ยเฉิงก็ชะงักไปครู่หนึ่ง และหลังจากนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมาทันที
“อย่าคิดว่าตัวเองเคยได้ยินชื่อของท่านประธานจากในข่าวก็จะมาคุยโม้กับฉันนะ ชื่อจริงของประธานเฝิงใครๆก็รู้ทั้งนั้นแหละ หมอธรรมดาๆอย่างนายรู้จักประธานเฝิงของพวกเราด้วย ? ”
ฉินจุนพยักหน้า “ฉันไม่ได้แค่รู้จักอย่างเดียวนะ เขายังมอบร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงให้ฉันอีกด้วยแหละ ”
หลังจากที่ฉินจุนพูดจบ หวังเถี่ยเฉิงก็ต้องชะงักไปอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างดัง ราวกับว่าเขาได้ฟังเรื่องที่ตลกที่สุดในโลกยังไงยังงั้น
“ฮ่าๆๆๆๆ……น้องชาย นายนี่ตลกจริงๆ จะขี้โม้อะไรก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ ”
“ร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงหรอ ? นายรู้ไหมว่าร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงขายอะไรบ้าง ? ”
“ธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุดของตระกูลเฝิงก็คือร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงนี่แหละ มีชื่อเสียงทั่วประเทศ นายรู้หรือเปล่าว่าร้านหนึ่งมีมูลค่ามากเท่าไหร่ ? นายจะบอกว่าเขามอบให้นายแล้ว ? คิดว่าตัวเองเป็นใครหละ ฮ่าๆๆๆๆๆ…… ”
ฉินจุนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่เชื่อก็ตามใจแล้วกัน ”
ที่จริงแล้วพวกญาติไม่มีทางเชื่อกันแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าธุรกิจเหล่านี้มันสุดยอดแค่ไหน แต่ว่าร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงนั้นมีมูลค่ามากอยู่แล้ว ถึงยังไงพวกเงิน ทอง และหยกก็ไม่ใช่ของถูกๆ ถ้าเด็กคนนี้มีร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงในครอบครองจริงๆ ทำไมถึงได้ยืมรถคนอื่นมาขับกันหละ ?
ขณะที่หวังเถี่ยเฉิงกำลังจะพูดถากถางฉินจุนอีกสักสองประโยค จู่ๆโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เมื่อมองไปที่โทรศัพท์เขาก็ต้องดึงสติทันทีและรีบรับสาย
“สวัสดีครับ ประธานเฝิง ! ”
เมื่อพูดจบ หวังเถี่ยเฉิงก็ทำสัญญาณมือกับทุกคน
“ชู่ว ! ”
ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบลง ไม่กล้าส่งเสียง ฟังแต่เสียงของคนที่อยู่ในโทรศัพท์ว่าจะสั่งงานอะไรกับเขา
แต่ฉินจุนกลับไม่ได้สนใจเขา และหันไปคีบอาหารให้กับหวังตงเสวี่ย
“อันนี้อร่อยมาก ลองชิมดูสิ ”
เมื่อฉินจุนพูดออกมา หวังเถี่ยเฉิงก็จ้องเขาตาแข็ง ยื่นมือออกมาชี้ไปที่จมูกและใบหน้าของเขาพร้อมกับทำท่าเหมือนให้การเตือน
นี่เป็นโทรศัพท์สายสำคัญ ท่านประธานถึงกับโทรมาเองเลย ปกติแล้วต้องเป็นเรื่องงานที่ค่อนข้างสำคัญอยู่พอสมควร ดังนั้นห้ามใครรบกวนเป็นอันขาด
แต่ทว่าเมื่อฉินจุนพูดออกมา เสียงของเฝิงชู่เฉียงที่ปลายสายก็เงียบลงทันที
ผ่านไปไม่นานก็พูดออกมา “ทำไมฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของคุณฉินเลยหละ ? ”
“เสี่ยวหวัง นายรู้จักคุณฉินหรอ ? ”
หวังเถี่ยเฉิงชะงัก “หา ? คุณฉินอะไรกันครับ ? ”
เฝิงชู่เฉียงถามอีกครั้ง “คุณฉินน่ะ ฉินจุนไง ใช่เขาหรือเปล่า ? “แม้ว่าเสียงเมื่อครู่นี้จะไม่ดังมาก แต่เขาก็จำเสียงของฉินจุนได้แม่นและสามารถจำได้ทันที
หวังเถี่ยเฉิงถึงกับอึ้ง “น่าจะใช่นะครับ…… ”
นึกไม่ถึงเลยว่าฉินจุนจะรู้จักกับประธานเฝิงของพวกเขาจริงๆ !
“รีบเอาโทรศัพท์ให้คุณฉินเดี๋ยวนี้ ! ”
“แต่ว่าท่านประธานเฝิงครับ เมื่อกี้เรื่องงานยังพูดไม่จบ…… ”
“เรื่องงานค่อยว่ากันทีหลัง อย่าพูดมาก ! ”
เมื่อได้ยินนำเสียงที่ไม่ดีของเฝิงชู่เฉียง หวังเถี่ยเฉิงก็ไม่กล้าถ่วงเวลาอีกและรีบส่งโทรศัพท์ให้กับฉินจุน
ฉินจุนกดเปิดลำโพงแล้ววางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ
“ฮัลโหล ฉันเอง ”
“คุณฉิน เป็นคุณจริงๆด้วย ! คุณรู้จักเสี่ยวหวังได้ยังไงกันครับ ? ”
“เราถือว่าเป็นญาติกันนะ เมื่อกี้เขายังจะเอาฉันไปทำงานที่บริษัทโลจิสติกส์ของคุณอยู่เลย ”
“หา ? ฮ่าๆๆๆๆ…… “เฝิงชู่เฉียงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เสี่ยวหวังนี่มีตาหามีแววไม่จริงๆเลย ก็แค่บริษัทโลจิสติกส์เล็กๆ คุณฉินคิดว่าอย่างไร ผมมอบบริษัทโลจิสติกส์นี้ให้คุณด้วยแล้วกัน ”
ทันใดนั้น สีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
นี่มันอะไรกัน ?
นี่มันบริษัทแห่งหนึ่งเลยนะ บอกว่าให้ก็ให้ไปแบบนี้เลยหรอ ?
บริษัทโลจิสติกส์สำหรับเฝิงกรุ๊ปแล้ว เป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วเป็นบริษัทที่มั่งคั่งและร่ำรวยมหาศาล !
พูดได้อย่างสบายขนาดนี้ ก็ให้คนอื่นง่ายๆแบบนี้เลย ?
หวังเถี่ยเฉิงยิ่งสับสนมากขึ้นไปอีก เขาเป็นคนที่ดูแลรับผิดชอบบริษัทนี้ เขารู้ดีว่าบริษัทมีมูลค่าเท่าไรและมีแนวโน้มรายได้ที่ดีแค่ไหน
สุดท้ายประธานเฝิงกลับพูดง่ายๆ เหมือนกับว่ามอบของขวัญเล็กๆ ธรรมดาอย่างนั้นแหละ
เรื่องร้านเครื่องประดับตระกูลเฝิงที่ฉินจุนพูดเมื่อครู่นี้ หรือว่านั่นก็เป็นเรื่องจริง……
เขาไม่ได้ฟังบทสนทนาหลังจากนั้นของฉินจุนและเฝิงชู่เฉียงด้วยซ้ำ เขารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าและตัวแข็งทื่อไปหมด
ทันใดนั้นหวังหย่งเซิ่งก็ออกแรงดึงเขา
“เถี่ยเฉิง ! อึ้งอยู่ทำไมหละ ท่านประธานเรียกแก ! ”
จากนั้นหวังเถี่ยเฉิงถึงรวบรวมสติกลับมาได้ “ประธานเฝิง ! เชิญสั่งมาได้เลยครับ ! ”
เฝิงชู่เฉียงที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ตอบกลับมา “ในเมื่อนายเป็นญาติกับคุณฉิน ต่อไปนายก็ไม่ต้องเป็นผู้จัดการสาขาตงไห่แล้ว ทั้งมณฑลฮั่นตงนี่ยกให้นายรับผิดชอบ ต่อไปก็เป็นผู้จัดการมณฑลแล้ว ”
หวังเถี่ยเฉิงตะลึงไปสองวินาที หลังจากนั้นเขาก็ดีใจมาก !
ผู้จัดการตงไห่กับผู้จัดการมณฑลฮั่นตง สองตำแหน่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !
อันแรกคือมีรายได้ต่อปีหลายแสน และอีกอันคือรายได้ต่อปีหลายล้าน ทุกคนเข้าใจช่องว่างระหว่างสองตำแหน่งนี้ได้อย่างชัดเจน
นี่สิถึงเรียกว่าช่วยเปิดทางให้หวังเถี่ยเฉิง
“ขอบคุณมากครับประธานเฝิง ผมจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน ”
“อืม โอเคงั้นฉันก็จะวางสายแล้ว ”
เขาไม่มีอะไรจะพูดกับหวังเถี่ยเฉิง ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของฉินจุน เขาก็คงไม่พูดอะไรมากกับหวังเถี่ยเฉิง
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์ ทุกคนก็หันไปมองที่ฉินจุนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ที่แท้ฉินจุนก็ไม่ได้ขี้โม้ตั้งแต่แรกแล้ว ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด