หลังจากทั้งสองคนทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนด้วยกัน ฉินจุนไม่ได้เจอป้ารองของเขานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไปบ้านป้ารองเพื่อสังสรรค์กันสักหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้นข่าวก็ออกมาเยอะมาก
ถังหมิ่นที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นก็ตะโกนขึ้นมา “เยวี่ยเหยา! เธอรีบออกมาดู!”
หลินเยวี่ยเหยาเดินออกมา และเห็นข่าวในทีวีกำลังรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับอาชีพของบรรณาธิการฉู่ ผู้ป่วยจึงมีกล้องติดตามไปด้วยตลอด ตั้งแต่แรกเริ่มที่หลินเยวี่ยเหยาทำการรักษา จนถึงตอนช็อก ส่งไปที่โรงพยาบาลทันตกรรม ทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้หมด มันก็เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานจริงๆ
แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากเมื่อวาน นั่นก็คือสิ่งที่ผู้อำนวยการจงพูดหลังจากที่เขาออกมา!
“…….”
“ตอนที่ส่งคนไข้เข้ามา เขาก็ไม่สามารถอ้าปากได้แล้ว ขั้นตอนนี้ถ้าเป็นหมอฟันธรรมดาก็คงจะหมดหนทางอย่างแน่นอน แต่โชคดีที่ฉันเองได้ใช้วิธีการบางอย่างเพื่อทำให้ปากของผู้ป่วยอยู่นิ่งได้และถึงทำการผ่าตัดได้อย่างราบรื่น”
เมื่อเห็นผู้อำนวยการจงพล่ามเรื่องไร้สาระในทีวี หลินเยวี่ยเหยาก็โมโหมาก!
“หน้าด้าน! ทำไมเขาหน้าด้านแบบนี้เนี่ย! เขาเป็นคนรักษาเหรอ? เขาเป็นคนคิดหาทางทำให้ปากของผู้ป่วยอยู่นิ่งเหรอ? ทำไมถึงพูดได้อย่างไร้ยางอายแบบนี้เนี่ย!”
ตอนแรกหลินเยวี่ยเหยาไม่ได้ต้องการการเยินยอใดๆ เพราะยังไงผู้ป่วยรายนี้ฉินจุนก็เป็นคนรักษา เขาไม่ใช่หมอในโรงพยาบาลแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนรักษาหายก็ไม่สามารถให้โบนัสได้
แต่เธอก็ทนเห็นคนอื่นขโมยผลงานไปแบบนี้ไม่ได้ ก็เห็นๆกันอยู่ว่าฉินจุนเป็นคนรักษาเขา ผู้อำนวยการจงกลับบอกว่าเป็นเขางั้นเหรอ?
ผู้ชายคนนี้หน้าด้านไปแล้ว เมื่อวานตอนอยู่ในวอร์ดก็ปัดความรับผิดชอบ หนีออกไปก่อน ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไรเท่านั้น ยังจะมาพูดแบบนี้อีกน่าขยะแขยงจริงๆ
ฉินจุนอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาเรียบเฉย
หลินเยวี่ยเหยาโกรธแทนเขาแล้ว
“ทำไมพี่ถึงนิ่งแบบนี้เนี่ย ไม่โกรธบ้างเหรอ?”
ฉินจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “มันมีอะไรน่าโกรธล่ะ เขาก็เป็นแค่คนหลอกลวงเท่านั้น ไม่นานมันจะถูกเปิดเผย”
หลินเยวี่ยเหยาส่ายหัว “มันง่ายอย่างนั้นซะที่ไหนล่ะ บังเอิญว่าคราวนี้คนไข้เป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ China News จึงมีรายงานข่าวใหญ่โตขนาดนี้”
“แม้ว่าเขาจะเป็นคนหลอกลวง แต่ต่อไปก็ไม่มีใครรู้หรอก เว้นแต่จะมีรายงานข่าวเชิงลบมากกว่านี้ แต่ความน่าจะเป็นก็น้อยเกินไป”
ฉินจุนพูด “คนไข้คนเมื่อวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัดเพียงครั้งเดียว รอก่อนเถอะ เดี๋ยวก็มีคนมาเชิญพวกเราไป”
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้ว “จริงเหรอ อย่าแกล้งฉันนะ”
เขาสามารถทำนายเวลาอาการกำเริบครั้งที่สองของผู้ป่วยได้งั้นเหรอ? ทักษะแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้เลยนะ แต่ฉินจุนทำได้เหรอ?
ฉินจุนยิ้มโดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อ นั่งพิงโซฟาบ้านป้ารอง และอ่านหนังสือพิมพ์
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ป่วยเพิ่งฟื้น กินโจ๊กไปสองสามคำก็อาเจียนออกมา โจ๊กที่เขาเพิ่งกินไปก็อาเจียนออกมาทั้งหมดและมีเลือดปนออกมาด้วย
“พี่!? พี่เป็นอะไร!”
ผู้ป่วยมีอาการชักและสลบไปอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้รุนแรงกว่าเดิม ในปากเขาก็ยังคาบช้อนอยู่
“พี่!”
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่พยายามออกแรงดึงช้อนออกมาจากปาก แต่ก็ไม่ขยับเลย เขาตกใจมาก และตะโกนออกมา
“รีบไปเรียกผู้อำนวยการจง ให้ผู้อำนวยการจงจัดการ พี่ฉันมีอาการกำเริบอีกแล้ว!”
ไม่นานผู้อำนวยการจงใบหน้าดูเคร่งขรึมเดินเข้ามาพร้อมกับหมอสองสามคน เขาตกใจมากเมื่อเห็นอาการของผู้ป่วย
“เร็วเข้า ไปเตรียมห้องผ่าตัด!”
ตอนนี้ยังเอาช้อนออกจากปากของผู้ป่วยไม่ได้ และเห็นได้ชัดว่าเขามีอาการชักกระตุก หากช้ากว่านี้ผู้ป่วยมีแนวโน้มว่าจะกัดช้อนจนแตก
เมื่อกัดจนแตกแล้ว เศษกระเบื้องก็จะเข้าไปติดหลอดลมนั่นก็จะแย่แน่ๆ
ผู้อำนวยการจงรีบพาหมอหลายคนเข้าไปในห้องฉุกเฉิน หัวหน้าบรรณาธิการฉู่ก็ตามไปด้วย แม้ว่าเพื่อนร่วมงานสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาจะไม่ได้พกกล้องไปด้วย แต่ทุกคนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายวิดิโอตามสัญชาตญาณ
ต้องการเห็นฉากการช่วยชีวิตของผู้อำนวยการจง
เมื่อเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แพทย์สองคนก็กดคนไข้ไว้ และผู้อำนวยการจงก็เริ่มงัดปากของผู้ป่วย
สองนาทีผ่านไป ปากของผู้ป่วยยังไม่เปิดออกเลย แรงกัดของคนนั้นมีเยอะมาก ในภาวะชักแบบนี้ยากมากที่จะง้างออกได้
ถ้ายิ่งใช้แรงในการงัด ก็มีโอกาสจะไปทำร้ายลิ้นหรือฟันของผู้ป่วย ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ไม่สามารถทำได้เช่นกัน
“ผู้อำนวยการจง ทำยังไงดี ครั้งก่อนคุณก็เคยรักษามาก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ ก็น่าจะทำได้สิ!”
หน้าผากของผู้อำนวยการจงเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ไม่มีปัญหาแน่นอนครับ ฉีดยาชาก่อน!”
ยาชาถูกลงไปที่ใบหน้าของผู้ป่วย ผ่านไปสองนาที ผู้อำนวยการจงก็ใช้เครื่องมือเพื่อแงะเปิดปากของผู้ป่วยอีกครั้ง
ครั้งนี้เพราะยามียาชาเข้ามาช่วย จึงสามารถแงะออกได้เล็กน้อย แต่ในปากของผู้ป่วยมีช้อนอยู่ ทำให้เครื่องมือไม่สามารถเข้าไปได้เลย และช่องปากที่เปิดออกก็ไม่กว้างมาก เปิดเหมือนไม่เปิด
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่เริ่มเป็นกังวลแล้ว “ผู้อำนวยการจงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณน่าจะมีประสบการณ์แล้วสิ ทำไมยังไม่ได้ล่ะ?”
ผู้อำนวยการจงขมวดคิ้ว และพูดอย่างจนปัญญา
“คุณอย่าเพิ่งพูด!”
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่ยืนอยู่ข้างเขา และเขาไม่กล้าพูดอะไรอีก เดี๋ยวจะไปรบกวนการทำงานของแพทย์
ผู้อำนวยการจงออกแรงง้างปากของผู้ป่วย และกำลังจะเอาเครื่องมือเข้าไป ทันใดนั้นผู้ป่วยออกแรงอีกครั้ง ดูเหมือนยาชาจะหมดฤทธิ์แล้ว และปากก็ปิดลงอีกครั้ง
เสียงกร๊อบดังขึ้นช้อนนั้นโดนกัดจนแตกแล้ว และชิ้นส่วนหลายชิ้นก็อยู่ในปากของผู้ป่วย
“แย่แล้ว!”
หมอที่อยู่ข้างๆ ก็ร้องออกมา
ใบหน้าของผู้อำนวยการจงซีดเผือด เขาถลึงตาใส่หมอคนนั้น มีญาติคนไข้อยู่ในนี้จะร้องออกมาทำไม!
หมอคนนั้นก็รู้ตัวว่าตัวเองพลั้งปากออกไป เขาจึงก้มหน้าลงและไม่พูดอะไรต่อ
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่ขมวดคิ้วเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย “ผู้อำนวยการจง สรุปว่าคุณทำได้ไหมเนี่ย!”
เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อำนวยการจงก็ไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ผู้ป่วยอาจตกอยู่ในอันตรายได้ ถึงตอนนั้นเขาจะต้องได้รับผิดทางอาญาแน่
ผู้อำนวยการจงพูด “ผม ผมทำไม่ได้ ก่อนหน้านี้คนที่รักษาพี่ชายของคุณไม่ใช่ผม…แต่เป็นหมอหลินจากโรงพยาบาลข้างๆ พวกคุณรีบย้ายโรงพยาบาลเถอะ”
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่อ้าปากค้างเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง และจากนั้นเขาก็กัดฟันแน่น
“เวรเอ๊ย! รีบโรงพยาบาลเร็ว!”
หัวหน้าบรรณาธิการฉู่โกรธมาก หมอเถื่อนแบบนี้นี่มันอันตรายจริงๆ!
ตอนนี้ผู้อำนวยการจงไม่มีทางเลือก เขารีบไปทำเรื่องย้ายทันที แพทย์และพยาบาลก็รีบเร่ง ฉีดยาให้ผู้ป่วยสงบลง ป้องกันไม่ให้กลืนเศษช้อนลงไป จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชนที่อยู่ข้างๆ
ใบหน้าของผู้อำนวยการจงซีดเซียว เมื่อเห็นสีหน้าของบรรณาธิการของฉู่เขาก็รู้ว่าเขาจบเห่แล้ว
พรุ่งนี้เหตุการณ์นี้จะต้องถูกรายงานอย่างแน่นอน และอาชีพของเขาก็จะต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้
เดิมทีเขาต้องการได้ประโยชน์จากชื่อเสียง เพื่อโปรโมทตัวเอง และเขาจะได้เปรียบในการประเมินอาจารย์ในปีหน้า
แม้ว่ามีคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกันมารักษาไม่หายก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงญาติคนไข้ของใครก็ไม่มีอิทธิพลเหมือนกับหัวหน้าบรรณาธิการฉู่อีกแล้ว ที่สามารถเผยแพร่ในสื่อได้อย่างนี้
แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ป่วยรายนี้จะมีอาการกำเริบอีก! และครั้งนี้ก็รุนแรงกว่าเดิมด้วย!