ดังนั้นถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่ก็ยังมีผลกระทบที่ยังต้องจัดการหลังจากนั้นอีก
ถ้าหากคุณน้าหยางปิงยอมช่วย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร
ซูเหวินฉีรู้จักน้าหยางปิงตั้งแต่สมัยที่เพิ่งเดบิวต์ใหม่ๆ เธอก็คงจะไว้หน้ากันอยู่บ้าง
ทั้งสองคนขับรถมาถึงชานเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ห่างไกลมาก ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นชนบทของตงไห่ บริเวณรอบๆนั้นรายล้อมไปด้วยทุ่งนา
ด้านในมีคฤหาสน์อยู่หนึ่งหลัง ตกแต่งได้สวยมาก ถึงจะอยู่ในชนบทแต่มีสไตล์มาก ที่ลานประดับด้วยรั้วไม้ ด้านนอกมีดอกไม้และต้นไม้ ในสวนก็มีผักปลูกอยู่บ้าง เหมาะมากสำหรับผู้สูงอายุที่จะใช้ชีวิตเกษียณที่นี่
ขณะที่รถขับมาถึงที่ประตู ซูเหวินฉีก็ขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นรถแลนด์โรเวอร์จอดอยู่ที่นั่น
“นั่นมันรถของลู่ฟาน ”
ฉินจุนเอ่ยถาม “ลู่ฟานก็รู้จักผู้อาวุโสท่านนี้ด้วยหรอ ? ”
ซูเหวินฉีพยักหน้า “แม้ว่าลู่ฟานจะได้เดบิวต์ช้า แต่เขาก็มีคอนเนคชั่นที่ค่อนข้างดี แล้วเขาก็มีมิตรภาพที่ดีกับคุณน้าหยางปิงเหมือนกัน ตอนนี้เริ่มไม่ง่ายซะแล้วหละ ”
ตอนนี้จุดประสงค์ของลู่ฟานชัดเจนมาก ก็คือต้องการจะจัดการซูเหวินฉี กดดันให้เธอจนตรอก จนถึงกับต้องผิดสัญญา ให้ดีที่สุดคือต้องไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในวงการ ในเวลานี้ไม่มีวิธีไหนแล้วนอกจากต้องมาขอร้องเขาเท่านั้น
เพียงแค่ซูเหวินฉีขอร้องเขา ไม่ว่าลู่ฟานคิดจะทำอะไรทีนี้ก็จะสามารถขู่เขาได้แล้ว
ซูเหวินฉีขมวดคิ้วและเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างเคร่งขรึม
หลังจากที่เข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ก็มองเห็นหญิงชราผมขาวคนหนึ่งกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ และมีผู้ดูแลยืนอยู่ข้างเธอกำลังรินน้ำชาให้ ลู่ฟานนั่งอยู่ด้านข้างกับผู้จัดการของเขา
เมื่อลู่ฟานเห็นซูเหวินฉี ใบหน้าของเธอก็ดูสนุกขึ้นเล็กน้อย เธอรู้ว่าซูเหวินฉีจะต้องมาหาหยางปิง ดังนั้นลู่ฟานจึงได้ชิงมาที่นี่ก่อน
“อาจารย์หยางปิง ! ”
“ซูเหวินฉีมาแล้วหรอ ดีเลย มานั่งเร็วสิ ”
หญิงชรามีท่าทางที่ค่อนข้างใจดี แม้ว่าเธอจะอายุเจ็ดสิบแล้วแต่เธอก็ยังมีแรงมาก
ทุกคนทักทายกันและถามถึงสถานการณ์ในวงการบันเทิงช่วงนี้ ซูเหวินฉีและลู่ฟานพูดคุยกันอย่างสุภาพมาก แม้ว่าเรื่องระหว่างพวกเขาสองคนจะไม่ได้ถูกพูดออกมาตรงๆ แต่หญิงชราก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างนิดหน่อย
แต่ดูเหมือนว่าหยางปิงไม่พร้อมที่จะเข้าข้างใครเลย และไม่พร้อมที่จะเป็นสื่อกลางช่วยปรับความเข้าใจกันระหว่างทั้งสองคนอีกด้วย
คุยกันแบบสบายๆ เหมือนกับคนถามสารทุกข์สุขดิบ
จู่ๆลู่ฟานก็พูดออกมา “อาจารย์หยางปิง ฉันรู้ว่าคุณชอบไม้กฤษณา ก็เลยฝากคนไปซื้อไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปีมา2อัน คุณอยากลองดูไหมคะ ? ”
หยางปิงเลิกคิ้วขึ้นและเริ่มสนใจขึ้นมาทันที
“หืม ? ไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปีหรอ ? มันหาซื้อยากจะตายไป ฉันหามาตั้งนานแล้วก็ยังหาซื้อไม่ได้ ลำบากเธอแล้วหละ เสี่ยวลู่ ”
ลู่ฟานยิ้ม ” ลำบากอะไรกันคะ อาจารย์หยางปิงช่วยฉันมาตั้งมากมายก็ควรจะทำอะไรตอบแทนคุณบ้าง เราไปลองดูกันไหมคะ ? ”
“ดี ไปในห้องกันเถอะ ! ”
หยางปิงชอบไม่กฤษณามาก เมื่อเธอได้ยินว่ามีไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปีที่ของดีและเป็นของหายากมากๆ เธอก็ต้องอยากเห็นเป็นธรรมดา
หลังจากเข้าไปในห้อง หยางปิงเอ่ย
“เสี่ยวลู่ ฉันได้ข่าวว่าช่วงนี้เธอมีเรื่องนิดหน่อย ถ้ามีอะไรอยากให้ฉันช่วยก็บอกมา ฉันแก่ขนาดนี้แล้วอายุก็ไม่น้อยแต่ก็ยังไว้หน้ากันได้อยู่ ”
เมื่อได้ยินหยางปิงพูดออกมาแบบนั้น ลู่ฟานก็ยิ้มออกมาทันที
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณอาจารย์หยางปิงมากๆค่ะ ! ”
พูดจบ เธอก็เหลือบมองซูเหวินฉีด้วยสายตาประชดประชัน
ซูเหวินฉีเริ่มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนิดหน่อย ถ้าหากหยางปิงเลือกที่จะช่วยเขาขึ้นมาจริงๆ ต่อไปอาชีพนักแสดงของเธอก็จะยากขึ้นมากๆ
ฉินจุนที่ด้านข้างกลับขมวดคิ้ว
เอาไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปีมาเหมือนกันหรอ ?
ไม้กฤษณาป๋ายฉีนี้ปกติแล้วหายากมาก และโดยพื้นฐานแล้วจะมีขนาดเท่ากับนิ้วก้อย และใช้สำหรับซื้อไปสะสม
“ลู่ฟานก็หามาได้งั้นหรอ ? ”
ไม้กฤษณาป๋ายฉีปกติก็หายากพออยู่แล้ว ยิ่งเป็นไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปียิ่งไม่ต้องพูดถึง ถือเป็นมรดกโลกเลยก็ว่าได้
ไม้กฤษณาขนาดเท่าฝ่ามือราคาราวๆสิบล้านหยวน และต่อให้มีเงินก็ไม่ใช่ว่าอยากจะซื้อก็ซื้อได้
ของชิ้นนี้หายากมากๆ ทั้งโลกนี้มีแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้น
ตอนเช้าเจ้าอ้วนหม่าเพิ่งจะให้เขามาหนึ่งชิ้น ทำไมลู่ฟานถึงมีอีกชิ้นนึงได้นะ ?
เข้ามาถึงในห้อง แม้จะอยู่ในชนบท แต่การตกแต่งภายในบ้านก็ทันสมัยและหรูหรามาก
หยางปิงพาพวกเขาไปที่ห้องดื่มชา ภายใน นอกจากจะมีโต๊ะชงชาขนาดใหญ่แล้ว ยังมีโต๊ะไม้จันทน์ซึ่งใช้สำหรับวางกระถางธูปต่างๆ
กระถางธูปของไม้กฤษณานั้นมีลักษณะเฉพาะตัว เพราะควันสีขาวจากการเผาไม้กฤษณานั้นหนาแน่นกว่าอากาศ เมื่อวางลงไปตัวไม้จะสามารถสร้างลวดลายทิวทัศน์ได้มากมาย
บ้างก็เหมือนสะพานเล็กๆที่มีน้ำไหล บ้างก็คล้ายน้ำตกและภูเขาที่มีรูปร่างหลากหลาย
แน่นอนว่ากระถางธูปที่ดีจะใช้ต้องคู่กับไม้กฤษณาที่ดีถึงจะมีประสิทธิภาพ
หยางปิงล้างมืออย่างขะมักเขม้น ปิดหน้าต่างและประตูให้ดี จากนั้นใช้มีดพิเศษที่ใช้เฉพาะ ขูดไม้กฤษณาที่หลู่ฟานส่งให้อย่างระมัดระวัง
เธอสูดดมกลิ่น และรู้สึกว่ามันหอมมาก
เธอนำมันใส่ในกระถางธูปแล้วจุดไฟอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็มีควันสีขาวหนาทึบออกมาจากกระถางธูป และลดต่ำลงตามเส้นทางที่จุดธูปไว้ จกานั้นก็เกิดเป็นภาพภูมิทัศน์น้ำตกที่มีเก้าชั้นสิบแปดโค้ง ซึ่งมันสวยงามมากๆ
หยางปิงพอใจมาก เธอรู้สึกว่ามันสวยมาก และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ไม้กฤษณาสองร้อยปีนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน แต่กลิ่นนี้ไม่เหมือนกับที่ฉันคิดไว้เท่าไหร่ ”
แม้ว่าหยางปิงจะเล่นไม้กฤษณามาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นไม้กฤษณาล้ำค่าเช่นนี้ และยังหาซื้อได้ยากอีก
เมื่อฉินจุนดมกลิ่นก็ขมวดคิ้ว เขายื่นมือออกมาแล้วค่อยๆลูบผงที่ได้จากไม้กฤษณา จากนั้นนำมาป้ายบนขอบจมูกเพื่อดมกลิ่น
ทันใดนั้นสีหน้าของลู่ฟานก็เปลี่ยนไปทันที “นายทำอะไรน่ะ อย่าแตะอะไรมั่วๆ ชดใช้ไหวหรือไง ! ”
หยางปิงเองก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อยเช่นกัน เพราะนี่คือไม้กฤษณาป๋ายฉีสองร้อยปีเชียวนะ และการที่ฉินจุนเอามือไปลูบ ถ้าต้องชดใช้คงเป็นเงินไม่น้อยเลย
แน่นอนว่าเรื่องเงินนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่ก็คือมันล้ำค่ามาก เธอไม่อยากจะเสียของชิ้นนี้ไปและยิ่งไม่อยากให้ใครมาทำอะไรมั่วซั่วกับมัน
แต่เธอคิดว่าฉินจุนนั้นเป็นผู้จัดการของซูเหวินฉีก็เลยไว้หน้าเขา และไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สีหน้าของเธอแสดงออกแล้วว่าไม่พอใจอย่างมาก
ฉินจุนนำสิ่งนั้นมาป้ายบนจมูกเพื่อดมกลิ่น แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วทันที จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกล่าว
“นี่มันของปลอม ”
เมื่อสิ้นเสียงลง สีหน้าของลู่ฟานก็เปลี่ยนไปทันที
“นายพูดบ้าอะไร นายไม่รู้จักมันด้วยซ้ำ ! ”
หยางปิงเองก็ขมวดคิ้วทันที “คุณบอกว่านี่เป็นของปลอม ? คุณก็มีความรู้เรื่องไม้กฤษณาหรอ ? ”
ฉินจุนตอบ “รู้บ้างนิดหน่อยครับ ”
“ดี ถ้างั้นบอกฉันหน่อยว่าทำไมถึงบอกว่ามันเป็นของปลอมหละ ”
น้ำเสียงของหยางปิงไม่ค่อยดีหนัก เด็กคนนี้ก็อวดดีเกินไป หยางปิงเธอคลุกคลีกับไม้กฤษณามาหลายปีแล้ว เธอยังไม่กล้าวิจารณ์อะไรเลย เขาเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง จะมีความรู้เรื่องไม้กฤษณาสักแค่ไหนกัน ?
ท่าทีของซูเหวินฉีเองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอกระชากฉินจุนเบาๆ เป็นการบอกเขาว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
จะมาพูดถึงความรู้เรื่องไม้กฤษณากันต่อหน้าอาจารย์หยางปิง แบบนี้ไม่เรียกว่าสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอ ?