ไม่กี่นาทีต่อมา อาการของคุณปู่จู้เริ่มมั่นคง และได้ส่งเข้าไปพักผ่อนในห้องvipแล้ว
หลังผ่านการตรวจเช็กร่างกายสักพัก ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
โรคที่มีอาการเฉียบพลันแบบนี้ ขอแค่ผ่านช่วงเวลาขณะนั้นมาได้ หลังจากนั้นก็จะจัดการกับมันได้ง่ายขึ้นเลยล่ะ
ในขณะที่หมอเหล่านี้ทำการตรวจเช็กร่างกายของท่านจู้ ทุกคนต่างรู้สึกน่าทึ่งกันหมด
หมอเทพ นี่มันหมอเทพตัวจริง
หมอในปัจจุบันพึ่งพาการใช้เครื่องจักรมากเกินไป จึงทำให้โรคป่วยต่างๆ นั้นไม่ง่ายต่อการรักษา มันหาได้ยากมากแล้วแพทย์แผนจีนอย่างฉินจุน
อายุน้อยๆ แบบนี้ ก็มีวิชาและทักษะทางการแพทย์ที่เก่งกาจแบบนี้ สุดยอดจริง ๆ
จู้หย่งนั่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วย พร้อมขมวดคิ้วครุ่นคิด ชายหนุ่มคนเมื่อสักครู่เป็นใครกันแน่?
ถึงได้เรียกเขาว่าลุงจู้ ชายหนุ่มคนนี้น่าจะรู้จักเขา
จู้หย่งอยู่ในวงการธุรกิจมาตั้งหลายปี ใครพบใครเห็นก็ต้องทักทายอย่างนอบน้อมว่าท่านประธานจู้? ลุงจู้ที่ฟังดูสนิทสนมขนาดนี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว
หรือว่า
คือเขา?
ผ่านไปสักพัก จู้หลินหลินลูกสาวของจู้หย่งก็มาถึงโรงพยาบาล
“คุณปู่ล่ะ? คุณปู่เป็นไงบ้าง?!”
“ชู่!คุณปู่ไม่เป็นอะไร ตอนนี้นอนแล้ว”
ได้ยินคำนี้แล้วจู้หลินหลินถึงได้รู้สึกโล่งอก
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ได้ยินมาว่าคุณปู่จู้ถูกรักษาโดยชายหนุ่มที่เป็นหมอเทพงั้นเหรอ? แล้วเขาล่ะ? ”
จู้หย่งส่ายหัว “เขาไปแล้ว”
“ไปแล้วเหรอ? ยังไม่ได้ขอบคุณเขาดีๆ ? ”
จู่ๆ จู้หย่งก็ได้เงยหน้าขึ้นมา มองลูกสาว แล้วพูดว่า
“ยังจำได้รึเปล่า? ครอบครัวลุงฉิน ที่เป็นเพื่อนบ้านของเราตอนเธอยังเด็ก”
จู้หลินหลินอึ้งเลย “จำได้สิ ตอนเด็กๆ หนูไปเล่นที่บ้านเขาบ่อยมาก แต่ต่อมาคนทั้งครอบครัวของลุงฉิน ก็ถูกฆ่า พ่อไม่ให้หนูพูดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? ”
ในปีนั้นทั้งครอบครัวของตระกูลฉินถูกฆ่า ไม่มีใครรอดชีวิตเลย และเรื่องนี้ก็สะเทือนไปอำเภอตงไห่
แต่เวลาที่ค่อยๆ ล่วงเลยนั้น ทำให้ตระกูลฉินค่อยๆ จางหายไปในความทรงจำของทุกคน
ปัจจุบันตระกูลฉินได้กลายเป็นคำต้องสาปภายในตระกูลใหญ่เหล่านี้แล้ว และห้ามใครพูดถึงเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจมีภัยอันตรายถึงชีวิต
แม้แต่ตระกูลจู้ที่คบหากับตระกูลฉินก็ไม่กล้าพูดถึงมันอีก
จู้หย่งพูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นลูกยังเด็ก มีบางเรื่องที่ยังไม่รู้ วันนั้นตระกูลฉินถูกฆ่า ต่อมาตำรวจได้ปิดกั้นที่เกิดเหตุ และพ่อก็ยืนอยู่ข้างๆ แต่ตำรวจไม่ได้พบศพของฉินจุน”
“พี่ฉินจุนเหรอ? พ่อหมายความว่า พี่ฉินจุนยังไม่ตายงั้นเหรอ? ” จู้หลินหลินพูดอย่างตกใจ
จู้หย่งพยักหน้าและมีสีหน้าดูเคร่งเครียด
“ชายหนุ่มเมื่อกี้ที่ช่วยชีวิตคุณปู่ของลูก เขาเรียกพ่อว่าคุณลุงจู้ ดูๆ แล้วอายุยังน้อย น่าจะพอๆ กับลูก พ่อรู้สึกว่าเขาก็คือผู้รอดชีวิตของตระกูลฉิน!”
จู้หลินหลินแสดงสีหน้าดีใจ “พี่ฉินจุนยังไม่ตาย ดีจังเลย แต่ทำไมพ่อดูไม่ค่อยมีความสุขล่ะ? ”
จู้หย่งยิ้มเจื่อนๆ “พ่อดีใจมากที่เสี่ยวจุนยังไม่ตาย แต่ เสี่ยวจุนไอ้เด็กนี่เป็นคนคิดมาก อารมณ์ร้อน การที่เขากลับมาครั้งนี้ เกรงว่ามันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
ถ้าชายหนุ่มคนนั้นเป็นผู้รอดชีวิตของตระกูลฉินจริงๆล่ะก็ ที่เขากลับตงไห่มารอบนี้ แน่นอนว่าต้องกลับมาแก้แค้นแน่นอน
แต่ ถ้าจะพึ่งแค่วิชาการแพทย์ของเขา จะไปสู้กับผู้มีอำนาจแข็งแกร่งเหล่านั้นได้ยังไง
แน่นอนว่า จู้หย่งอาจจะคิดไม่ถึงว่า ที่ฉินจุนมีมันไม่ใช่แค่วิชาการแพทย์เท่านั้น
ฉินจุนสะพายกระเป๋าสัมภาระหนึ่งใบ มาถึงเมืองโบราณที่อยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองตงไห่ ในปัจจุบันตรงนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว และด้านในก็มีแต่บ้านที่ถูกรีโนเวท
ถึงจะผ่านมาหลายยุคสมัย แต่มันยังคงมีคุณค่า
ปัจจุบันในเมืองที่ดูทันสมัยแบบนี้ มันน้อยมากที่มีบ้านลักษณะเป็นลานบ้านแบบนี้
สิบปีแล้ว ตรงนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่
ต้องบอกเลยว่าที่นี่อนุรักษ์ไว้ได้ดีมาก ไม่แตกต่างจากความทรงจำของฉินจุนเท่าไหร่
เมื่อเดินไปถึงหนึ่งในลานบ้านในเมืองนี้ เมื่อได้เห็นประตูบ้านเก่าของเขา ฉินจุนรู้สึกว่าจิตใจซับซ้อน
นอกจากป้ายที่เขียนว่า ‘จวนฉิน’ ที่หน้าประตูหายไปแล้ว ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
กลอนคู่ที่ติดสองข้างของประตู ดูเหมือนเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่ในปีนี้ ราวกับว่าตรงนี้จะมีผู้อยู่อาศัย?
ในปีนั้นคนในครอบครัวฉินจุนทั้งหมดสิบแปดชีวิต นอกจากพี่เลี้ยงน้าเฝิงและฉินจุนที่มีอายุสิบสองขวบแล้ว ก็ไม่มีใครรอดชีวิตได้เลย หรือว่า
ฉินจุนผลักประตูใหญ่ออก เดินเข้าไปในลานบ้าน
ถึงแม้ที่พื้นจะเต็มไปด้วยวัชพืช แต่ยังคงมีล่องลอยการพักอาศัย
หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีเสียงสุนัขร้องมาจากลานบ้านเป็นระยะ ๆ
ฉินจุนขมวดคิ้วสักพักแล้วเดินเข้าไปในลานบ้าน
สิ่งที่ปรากฏขึ้นให้เห็นในดวงตาคือ กรงเหล็กสี่เหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่ ภายในกรงเหล็กนั้นมีร่างที่ดูทุลักทุเล ขดตัวอยู่ในมุมของกรงเหล็ก ด้านหน้ามีถ้วยเสียๆ ใบหนึ่งและในถ้วยนั้นมีเศษผักเศษอาหารที่เน่าแล้ว
ด้านนอกมีสุนัขดูดุร้ายที่ล่ามด้วยโซ่สามตัว สุนัขหมาป่าตัวใหญ่สีดำ เมื่อลุกขึ้นยืนแล้วดูสูงกว่าคนด้วยซ้ำ
ริมปากเต็มไปด้วยฟองน้ำลาย พวกมันโชว์เขี้ยวอันน่ากลัวและพร้อมคำรามออกมา
ฉินจุนมองข้ามพวกมันแล้วเดินไปที่หน้ากรงเหล็ก มองเข้าไปดูคนที่เหมือนขอทานและถูกเลี้ยงเยี่ยงสุนัข แล้วถามว่า
“คุณเป็นใคร?”
ขอทานก็ได้เงยหน้าขึ้นมา ผมอันยาวเหยียด และใบหน้าที่ดูหม่นหมอง สามารถดูออกเลยว่าเป็นหญิงวัยกลางคนหนึ่ง ในสายตาหญิงคนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินฉินจุนถาม ก็หดตัวไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณ และไม่กล้าออกเสียงใดๆ
รูปร่างหน้าตาของผู้ใหญ่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แม้จะผ่านไป10ปี ฉินจุนก็ยังจำได้ ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็คือพี่เลี้ยงที่อยู่ในตระกูลฉินในตอนนั้น และนั่นก็คือน้าเฝิง
“น้าเฝิง ? ใช่น้ารึเปล่า น้าเฝิง?”
น้าเฝิงอึ้งไปสักพัก แล้วเงยหน้าขึ้นมา ในสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั้นก็ยังมีความสงสัยซ่อนอยู่
“คุณ คุณเป็นใคร?”
สีหน้าของฉินจุนดูเคร่งครัดขึ้นและกำหมัดไว้แน่นๆ
“น้าเฝิง ผมเองเสี่ยวจุน”
สายตาของน้าเฝิงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็เปลี่ยนเป็นความสับสน จากนั้นกลายเป็นความดีใจ และน้ำก็ไหลออกมาในพลิบตา
“คุณชาย คุณคือคุณชาย!คุณยังไม่ตาย เยี่ยมไปเลย!”
ถึงน้าเฝิงจะเป็นเพียงแค่พี่เลี้ยง แต่เขาได้เลี้ยงดูฉินจุนมาจนโต นับได้ว่าเป็นแม่ครึ่งหนึ่งของฉินจุนเลย ปัจจุบันถูกผู้อื่นทำร้ายแบบนี้ เพลิงไฟแห่งความโกรธของฉินจุนก็ได้ลุกโชนขึ้นมา
“น้าเฝิง รีบออกมา!”
ฉินจุนเปิดกรงเหล็กออก เพื่อจะช่วยน้าเฝิงออกมา
สีหน้าของเฝิงจวนเปลี่ยนไปในทันที “ระวังด้วย คุณชาย!”
ทันใดที่ฉินจุนเปิดประตูกรงเหล็ก สุนัขดุร้ายที่ล่ามด้วยโซ่พุ่งเข้ามาทันที ดูออกเลยว่าความยาวของโซ่นั้นถูกคำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะมันสัมผัสถึงประตูกรงเหล็กนี้พอดีเลย
เป้าหมายก็คือ ไม่ให้น้าเฝิงหนีออกมา
สุนัขสามตัวนี้โหดเหี้ยมยิ่งหนัก น้าเฝิงถูกพวกมันกัดมาหลายรอบแล้ว และรู้ถึงความร้ายกาจของพวกมันดี เมื่อกี้ยังไม่ทันได้เตือนฉินจุนเลย ทำไงดี
สุนัขสามตัวพุ่งตัวเข้ามา ฉินจุนส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา พร้อมสะบัดข้อมือ ก็มีแสงสีเงินสามสายพุ่งออกมาพร้อมกัน!
พุ่ม พุ่ม พุ่ม!
ในพริบตานั้น สุนัขที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามา ก็ล้มลงไปทันทีพร้อมน้ำลายฟูมปาก
ลำคอของสุนัขทั้งสามตัวนั้นมีเข็มสีเงินปักอยู่ เป็นตำแหน่งเดียวกันหมดและยังเป็นตำแหน่งที่สามารถปลิดชีพพวกมันได้ทันที
เฝิงจวนเบิกตากว้าง ฉากเมื่อกี้ยังดูไม่ชัดเลย แค่รู้สึกว่าคุณชายสะบัดมือไปทีหนึ่ง สุนัขสามตัวก็ล้มลงแล้ว
ฉินจุนเดินเข้าไปในกรง และพยุงน้าเฝิงออกมา
การถูกทารุณกรรมเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายของน้าเฝิงอ่อนแอลง บวกกับที่เคยถูกสุนัขกัดก่อนหน้านี้ ทำให้ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า ถ้าฉินจุนมาช่วยไม่ทัน น้าเฝิงน่าจะมีชีวิตอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
เมื่อเห็นฉินจุน น้ำตาของน้าเฝิงก็ได้ไหลราวกับฝนตก
“คุณชาย ปลอดภัยก็ดีแล้ว ดีมากเลยที่คุณยังมีชีวิตอยู่ กลับบ้านมาดูสักพักก็รีบไปเถอะ!”
ฉินจุนประคองน้าเฝิง และสายตาลึกล้ำ
“ที่ผมกลับมาครั้งนี้ ก็ไม่คิดที่จะไป”