ตามทางที่อาฉินคนรองเป็นคนบอก สุดท้ายก็มีถึงสถานที่ปลายทาง
นี่เป็นบ้านที่ทรุดโทรมหลังหนึ่ง สิ่งแวดล้อมรอบๆก็ดูธรรมดามาก อาจกล่าวได้ว่าที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ทรุดโทรมที่สุดในตงไห่ แต่ที่นี่กำลังจะถูกรื้อถอน ดังนั้นประชาชนที่อยู่ที่นี่จึงไม่ยอมไปไหน พวกเขาอยู่ด้วยความหวังที่ว่า วันหนึ่งจะมีนักพัฒนามาพัฒนาที่ดินตรงนี้
อาฉินคนรองลงจากรถด้วยท่าทางมีความสุข เขาหยิบโจ๊กกับกับข้าวที่เหลือจากที่เขากินเดินเข้าไปที่ในบ้าน ฉินจุนพูดออกมาว่า
“อารอง ให้ฉันซื้อให้ใหม่ไหม?”
ถึงแม้ว่าโจ๊กนี้จะเป็นโจ๊กที่มีคุณภาพดี แถมยังเหลืออีกตั้งมากมาย แต่อย่างไรมันก็เป็นแค่โจ๊ก ที่ให้อารองทานก็เพราะว่ามันมีคุณค่าทางอาหารมากกว่า
อาฉินคนรองโบกมือ “อันนี้อร่อย”
ฉินจุนยิ้มออกมาแบบขมขื่น ในเมื่ออารองของเขาเป็นแบบนี้ เขาก็ทำได้แต่ตกลง
เขาเดินตามอารองเขาไปในบ้าน ไม่ได้เคาะประตูเดินเข้าไปตรงๆ
มีผู้ชายสองคนและผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ในนั้น อายุมาก 2 คน อายุน้อย 2 คน มองดูแล้วน่าจะเป็นครอบครัวมีที่สมาชิก 4 คน
กำลังนั่งล้อมวงทานอาหารค่ำ
สภาพแวดล้อมในบ้านค่อนข้างทรุดโทรมและเปิดไฟเพียงดวงเดียว ประมาณว่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้บ้าง
อาหารบนโต๊ะเองก็เรียบง่ายเช่นกัน เป็นอาหารมังสวิรัติและผักป่า
เมื่อเห็นการกลับมาของอาที่สอง หญิงสาวก็ลุกขึ้นไปหยิบของที่อาสองถือมา
“มีอะไรเหรอ? ถูกทำร้ายมากอีกแล้ว?”
ผู้หญิงคนนี้ท่าทางจะเป็นคนดี อายุของเธอพอๆกับอาสอง แต่มือของเธอหยาบมาก มองดูก็รู้ว่าเธอทำงานหนัก
ถึงแม้ว่าอาฉินคนรองจะดูไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทางรังเกียจแต่อย่างใด แต่กลับดูแลเป็นอย่างดีด้วยซ้ำ
ความประทับใจแรกที่ฉินจุนมีไม่เลวเลยทีเดียว
เธอพยุงอาสองเดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็มองไปที่รอยฟกช้ำของอาสอง และบ่นออกมาว่า
“ถ้าครั้งหน้าถูกใครทำร้ายก็ให้วิ่งหนีซะ ได้ยินไหม?”
อาสองยิ้ม พยักหน้าและพูดออกมา ชี้ไปที่ฉินจุน มุมปากของเขาขยับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ในตอนนั้นสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ร่างกายของฉินจุน คนผู้หญิงแปลกใจเล็กน้อย มองดูอายุและการแต่งตัวของฉินจุนก็ดีไม่เลว
“นายคือ…”
ฉินจุนพูดออกมาว่า “ฉันเป็นหลานชายของเขา เขาคืออารองของฉัน”
ผู้หญิงคนนั้นตกใจ “นายคือหลายชายของเขา? นายจำอะไรผิดหรือเปล่า?”
“ไม่ผิดแน่ อารองของฉันมีชื่อว่า ฉินเฟยหยู อายุ 78 ปี”
ผู้หญิงคนนั้นตกใจ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า เหล่าฉินคนนี้จะมีญาติพี่น้อง? แถมยังมาหาถึงที่?
เมื่อได้ยินแบบนั้น อีกคนมีท่าทางมีอายุก็ยืนขึ้นและกล่าวออกมาว่า
“นายคือหลานของเขา? งั้นเขายืมเงินฉันไป นายคืนฉันด้วย”
ฉินจุนขมวดคิ้วขึ้นและหันไปมอง สองคนนี้น่าจะมีอายุมากกว่าอารองเขาของ ถ้าเรียกจริงๆคงต้องเรียกคุณตาคุณยายเลยก็ว่าได้
“อารองของฉันติดหนี้คุณเท่าไหร่?”
คุณยายพูดออกมาว่า “ค่าสินสอด!ไม่มีเงินสักบาทแต่กลับมาขอแต่งงานกับลูกสาวของคนอื่นเขา แถมยังมากินอยู่ที่นี่ฟรีโดยไม่เสียเงินสักบาท!”
อาสะใภ้ขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “พูดอะไรออกมา เหล่าฉินก็มอบเงินเดือนในทุกๆเดือนของเขาให้กับแม่หมดไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราก็พึ่งพาเหล่าฉินอยู่ แล้วจะยังมาเอาค่าสินสอดอะไรอีก?”
อาสะใภ้หันมาพูดกับฉินจุนว่า “ฉันชื่อว่าไช่หยาน เรียกฉันว่าอาสะใภ้ก็ได้ ในเมื่อนายเป็นญาติของเหล่าฉิน งั้นพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มาทานข้าวด้วยกันไหม กินไปคุยไป”
“ได้ครับ”
ในตอนที่ฉินจุนกำลังนั่งลง น้องชายของไช่หยานก็ส่งเสียงออกมา
“กินอะไรอีกหละ กับข้าวก็มีแค่นี้ แค่พวกเราเองก็ไม่มีจะกินอยู่แล้ว ให้คนนอกเข้ามาอีก ทีนี้จะกินอะไร?”
สีหน้าของไช่หยานอึดอัดเล็กน้อย ขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “ไช่เฉียง นายไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่านายเป็นใบ้หรอก อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้วแต่ยังไม่รู้จักออกไปหางานทำ เมื่อแต่เกาะพี่เขยของนายกินอยู่นั่นแหละ แถมตอนนี้ยังจะมาพูดแบบนี้อีก? จะกินก็กิน ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!”
ไช่เฉียงคือน้องชายของไช่หยาน เขาก็คือน้องเขยของอาฉินคนรอง ปีนี้ก็อายุสามสิบกว่าแล้ว แต่กลับไม่ออกไปหางานทำ อยู่บ้านไปวันๆ
ส่วนคนแก่อีกสองคนก็คงไม่มีแรงออกไปหางานทำ ตอนนี้ที่บ้านก็ทำได้แต่พึ่งพาไช่หยานและอาฉินคนรอง
ในตอนที่อาฉินคนรองกำลังจะตายก็ได้ไช่หยานนี่แหละเป็นคนที่ไปช่วยเขามา ทั้งสองคนรักกันมานาน ถึงแม้ว่าอาฉินคนรองจะไม่ค่อยเต็ม แต่ก็ยังสามารถทำงานหาเงินได้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงอยู่ด้วยกัน
ถึงแม้ว่าสองตายายในบ้านจะไม่เห็นด้วย แต่อาฉินคนรองก็ไม่ได้คิดอะไร เขาเป็นคนที่เชื่อฟัง สั่งอะไรก็ทำอย่างนั้น เงินเดือนที่หามาได้ก็ไม่เคยเก็บไว้แม้แต่บาทเดียว
และสิ่งนี้ก็เป็นประโยชน์กับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงหลับหูหลับตาและให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน
หลังจากแต่งงานคนพวกนี้ก็กดขี่ข่มเหงอาฉินคนรอง ให้เขาออกไปทำงานหาเงินแต่เช้า กลับบ้านมาก็ไม่สนใจ มีแค่ไช่หยานคนเดียวเท่านั้นที่นู้สึกเป็นห่วงอาฉินคนรอง ในตอนกลางวันเขาไปทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ก็มีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้นที่มีภรรยาของเขาคอยมาดูแลให้เขาสบายใจ
ฉินจุนพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไร ฉันได้ซื้อโจ๊กกับอาหารหลายอย่างมาให้อารอง นี่ไงยังอยู่อีกเยอะแยะ”
อารองยื่นอาหารที่เขาห่อกลับมา จากนั้นก็หยิบโจ๊กที่ใส่ปลิงยื่นให้กับภรรยาของเขาอย่างนุ่มนวล นี่เป็นโจ๊กที่เขาทานเข้าไปคำแรกแล้วรู้สึกว่ามันอร่อย จากนั้นเขาก็ไม่ทานมันอีกและห่อมันกลับมาให้ไช่หยานลองชิม
ไช่เฉียงพูดออกมา “ดูแล้วหลานชายของเขาก็คงไม่ได้อะไรมากมาย ก็แค่ต้มโจ๊กกับอาหารที่เป็นผักมาให้?”
ไช่เฉียงดูรังเกียจ แต่เขาไม่รอช้าที่จะกินมัน
ฉินจุนยิ้มออกมา แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แค่เขาได้เห็นความรักที่อารองของเขามีให้กับอาสะใภ้เขาก็มีความสุขมาแล้ว
นี่น่าจะเป็นเหตุให้อารองของเขามีชีวิตผ่านมาได้ถึงสิบกว่าปี ทุกอย่างน่าจะเป็นเพราะมีผู้หญิงคนนี้คอยดูแล
ไช่หยานตักโจ๊กขึ้นมากินไปสองสามคำ เมื่อเห็นปลิงทะเลตัวอวบอ้วนเธอก็ตกใจขึ้นมาทันที
เมื่อก่อนเธอเคยทำงานอยู่ในร้านอาหาร เธอรู้ว่าโจ๊กปลิงทะเลมันแพงแค่ไหน เธอจึงมองมาที่อารองด้วยความลำบากใจ
อาฉินคนรองเองก็ใช้สายตาตอบเธอกลับไป ประมาณว่าให้เธอทานต่อไปไม่ต้องสนใจเขา
ฉินจุนยิ้มออกมา ตอนนี้อาฉินคนรองไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนที่มีจิตใจดีในสายตาของเขา
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ไช่หยานก็เก็บโต๊ะอาหารเป็นอย่างดี หลังจากนั้นทุกคนก็มานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะน้ำชา
ชายชรายกกาน้ำชาคุณภาพต่ำขึ้นมารินลงแก้ว และดื่มมันพร้อมกับสูบบุหรี่ราคาถูก จู่ๆเขาก็พูดออกมาว่า
“เสี่ยวหยาน พ่อมีเรื่องเรื่องหนึ่งจะคุยกับลูก”
ไช่หยานตกใจ “พ่อมีเรื่องอะไรก็พูดมาเลย”
พ่อของเธอถอนหายใจ “เรื่องการรื้อถอนและแบ่งห้องพวกเราได้ข้อตกลงกันมาแล้ว ตอนแรกพวกเราได้มาสามห้อง ห้องแรกเป็นห้องของพ่อกับแม่ ห้องที่สองคือห้องของลูก และอีกห้องเป็นของน้องชาย”
“แต่คนที่จัดการเขาก็บอกว่าตรงที่ของบ้านเรามันมีสนามอยู่รอบๆ และที่ตรงนั้นก็ถูกนับรวมไปด้วย ดังนั้นห้องที่ได้มาจึงเป็นห้องที่เล็กที่สุด”
ไช่หยานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“พ่อ ไม่เป็นไร เล็กก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้คิดอะไร”
เมื่อไช่หยานพูดจบ ครอบครัวที่เหลืออีกสามก็มองหน้ากัน สีหน้าของชายชราดูน่าเกลียด อยากจะพูดอะไรออกมาก็พูดไม่ออก
เมื่อแม่ของไช่หยานเห็นแบบนั้นจึงจ้องไปที่ตาของเขาและพูดออกมาว่า
“เสี่ยวหนาย ลูกไม่คิดอะไรแต่พวกเราคิดนะ ลูกก็รู้ว่าน้องชายของลูกไม่มีความสามารถ ถ้าหากจะหาแฟนในอนาคต ก็มีแต่จะต้องมีบ้านที่ดูมีฐานะเท่านั้น”
“บ้านหลังเล็กขนาดสามสิบหรือสี่สิบตารางเมตรนี้ไม่เพียงพอสำหรับการแต่งงาน ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจจะรวมห้องสองห้องให้เป็นห้องเดี๋ยว ทำเป็นสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นเพื่อรอวันที่น้องชายของลูกจะแต่งง่าย”