ตอนนี้สีหน้าของฉินจุนค่อนข้างซีด สีเลือดที่ริมฝีปากค่อย ๆ น้อยลง แต่ว่าเขายังคงพยักหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น
ข่งฝานหลินเห็นว่าท่าทางของฉินจุนยังดีอยู่ ถึงแม้ว่าจะทำการเจาะเอาเลือดบริสุทธิ์ไปแล้วหนึ่งหยด แต่ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ทำให้เขาเบาใจไปไม่น้อย
เขาเจาะเอาเลือดหยดที่สองออกมาอย่างระมัดระวัง
หลังจากเจาะเอาเลือดบริสุทธิ์หยดที่สองออกมา ฉินจุนก็ดูอ่อนแอมาก ๆ ท่าทางของเขาเหมือนกับผู้ที่ที่เพิ่งทำการคลอดลูกอย่างนั้นเลย
“ประคองผมขึ้นหน่อย”
ฉินจุนรู้ดีว่าครั้งนี้มันเป็นการเสี่ยงอันตราย แต่ว่าเพื่อรักษาอาการของอารอง การเสี่ยงอันตรายก็ถือว่าคุ้มค่า
ข่งฝานหลินกับเย่หวันเอ๋อช่วยกันประคองฉินจุนขึ้นมา ฉินจุนในขณะนี้ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว เหมือนคนที่ป่วยหนัก แต่ว่าก็ยังคงกัดฟันฝืนนำเข็มที่มีหยดเลือดติดอยู่ทั้งสองเล่มออกมา
เข็มเล่มหนึ่งนำไปฝังลงกลางอกของอารอง
พอเข็มเล่นนี้ถูกแทงลงไป อารองก็หมดสติไปทันทีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด ราวกับว่าถูกฉีดยาสลบ
อาฉินคนรองขมวดคิ้วมุ่น ราวกับรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
ฉินจุนเอ่ย “พลิกตัว!”
ทั้งสองคนรีบเข้ามาจับตัวของอาฉินคนรองพลิกกลับด้าน แล้วก็นำเข็มที่สองแทงลงไปที่หลังหัวใจของเขา
โชคดีที่พวกเขาทั้งสองเป็นอาหลานกันแท้ ๆ ไม่อย่างนั้นคงใช้วิธีการนี้ไม่ได้
พอฝังเข็มทั้งสองเล่มลงไปแล้ว ทันใดนั้นอาฉินคนรองก็ลุกขึ้นนั่งทันทีจากนั้นก็พ่นเลือดสีดำออกมาเต็มปาก
สีหน้าของเขาดูมึนงง แววตาทั้งสองดูว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวา เลื่อนลอย
ผ่านไปไม่กี่วินาที ดวงตาของอาฉินคนรองก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นทีละนิด มองสำรวจรอบด้านอย่างมึนงง ชั่วพริบตาความทรงจำตลอดสิบปีก็ประเดประดังเข้ามาในหัวของเขา อาฉินคนรอง รีบหันหน้ากลับไปมองอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นสุด ๆ
“เสี่ยวจุน!”
เมื่อเห็นดวงตาที่ลึกล้ำและการแสดงออกทางสีหน้าที่แน่วแน่ของอโดารอง ฉินจุนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ล้มลงไปบนเตียงก่อนจะสลบไปทันที
อาฉินคนรองรีบพลิกตัวขึ้นมาประคองตัวของฉินจุนเอาไว้ ราวกับว่าเขามีพละกำลังที่ไม่สิ้นสุด
“เสี่ยวจุน!เสี่ยวจุนเป็นอะไรไป!”
ไช่หยานที่อยู่ด้านข้างเห็นแบบนั้นก็ตะลึงตาค้าง เธอตื่นเต้นจนดวงตาแดงก่ำ
“คุณฉิน!คุณอย่าตื่นเต้นไป ที่ฉินจุนเป็นแบบนี้เพราะช่วยคุณไว้ ไม่ได้เป็นอะไร”
ข่งฝานหลินเองก็พยักหน้า “ถูกต้องครับ อาการของคุณฉินจุนไม่ได้มีอะไรร้ายแรง เพียงแค่ร่างกายอ่อนเพลีย ตามหลักการแล้วคงจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีครึ่งในการฟื้นตัว แต่ว่าดูจากสมรรถภาพทางกายของคุณฉินจุนแล้ว คาดว่าสองเดือนก็น่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ”
เลือดบริสุทธิ์จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่เร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพทางด้านร่างกายบุคคล ถ้าเป็นร่างกายของคนปกติ ถ้าถูกเจาะเลือดบริสุทธิ์ไปสองหยดแบบนี้ โดยปกติคงจะนอนอัมพาตอยู่บนเตียงแล้ว
แต่ฉินจุนนั้นเหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไปเหมือนเป็นพรสวรรค์ ขนาดเจาะเลือดออกไปแล้ว เขายังสามารถรักษาคนต่อได้ ร่างกายแบบนี้ ความเร็วในการสร้างเลือดบริสุทธิ์จะต้องเร็วมาก ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ฉินจุนกล้าที่จะใช้วิธีการนี้
เจิ้งผิงหลงเห็นฉินจุนสลบไปก็รีบเอ่ย
“ตอนนี้ร่างกายของคุณฉินจุนอ่อนแอแบบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราตอนนี้เลยคือการรักษาความปลอดภัยให้คุณฉินจุน เรื่องนี้จะปล่อยให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด”
อาฉินคนรองเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “คนที่อยู่ในเหตุการณ์พวกนี้ก็เป็นคนสนิททั้งนั้น แต่ว่าต่อให้เป็นคนสนิท ฉันก็ขอเตือนเอาไว้ก่อนเลย ถ้าหากมีข่าวเล็ดลอดออกไป ก็รอรับผลที่จะตามมาได้เลย”
ขณะที่อาฉินคนรองพูดอยู่นั้น ในน้ำเสียงมีความน่าเกรงขาม ต่างกับท่าทางโง่เขลาก่อนหน้านี้ ไช่หยานที่ยืนมองดูด้านข้างยังรู้สึกไม่คุ้นเคย นี่ใช่สามีของเธอหรือเปล่า?
อาฉินคนรองเหลือบไปมองไช่หยาน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความหดหู่
“เสี่ยวหยาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอคอยดูแลฉันมาตลอด ลำบากแย่เลย”
สิบปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินเฟยหยูพูดกับเธออย่างจริงจัง ทำเอาเธอตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลออกมา
ในขณะที่ฉินเฟยหยูกำลังพูดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนเดินเข้ามาจากประตู สีหน้าของเจิ้งผิงหลงก็เปลี่ยนไปทันที เดิมทีเขายนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู แต่เป็นเพราะเมื่อสักครู่ฉินจุนสลบไปทำเอาเขาเป็นกังวล จึงไม่ได้สนใจฝั่งทางนั้น
แต่พอเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจู้หมิงจากตระกูลจู้นั่นเอง
พอจู้หมิงเดินเข้ามา เจิ้งผิงหลงก็รีบเดินไปปิดประตู
ภายในมือของจู้หมิงมีของติดไม้ติดมือมาด้วย พอเห็นสถานการณ์ด้านในก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“นั่น……ฉินจุนเป็นอะไรน่ะ?”
ครั้งที่แล้วฉินจุนรักษาอาการป่วยของหญิงชรา สุขภาพของหญิงชราก็ดีขึ้นมามาก แต่ว่าพอผ่านไปสักช่วงหนึ่งก็เป็นอีกครั้ง
ในตอนนั้นเพื่อเข้าข้างจู้หมิง หญิงชราก็บอกต่อหน้าทุกคนว่าเป็นหมอที่จู้หมิงเชิญมาที่รักษาเธอให้หายได้ แต่สุดท้ายตอนนี้ก็กลับมากำเริบอีกครั้ง หมอที่จู้หมิงไปหามานั่นรักษาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาจึงทำได้เพียงมาหาฉินจุนให้ช่วยไปดูหน่อย
แต่ไม่คิดเลยว่า จะได้มาเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น
ฉินจุนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย นี่มัน……
อาฉินคนรองเห็นจู้หมิง ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“น้องจู้ ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปี ไม่รู้ว่านายยังจำฉันได้ไหมเนี่ย”
จู้หมิงพอได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็มองฉินเฟยหยูอย่างพินิจพิเคราะห์ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“พี่รองฉิน!”
จู้หมิงตกตะลึงอย่างสุด ๆ เขาไม่คาดคิดเลยว่า พี่รองแห่งตระกูลฉินยังมีชีวิตอยู่!
ฉินเฟยหยูยิ้มบาง ๆ “เสี่ยวจุนช่วยรักษาให้ฉันน่ะ ตอนนี้ก็เลยหมดแรง รอให้ฉันดูแลฉินจุนเสร็จก่อน จะไปเยี่ยมตระกูลจู้นะ”
จู้หมิงพยักหน้า, “อ่อ ครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า รอให้ฉินจุนตื่นขึ้นมาผมค่อยมาหาเขาอีกทีแล้วกันครับ”
พูดจบจู้หมิงก็เดินออกไปทันที
พอเห็นสีหน้าหวาดผวาของจู้หมิงแล้ว เจิ้งผิงหลงก็ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถาม
“ให้ผมควบคุมตัวเขาไว้ไหมครับ?”
ฉินเฟยหยูส่ายหน้า “ไม่น่าจะต้องหรอก อย่างไรแต่ก่อนเราสองครอบครัวก็เป็นมิตรต่อกัน เขาไม่น่าทำอะไรให้ตระกูลฉินของฉันเสียหาย”
ฉินเฟยหยูพาฉินจุนกลับมาที่บ้านหลังเก่า ตอนนี้เขารื้อฟื้นความทรงจำทั้งหมดแล้ว เพียงแต่ว่าร่างกายยังคงอ่อนแออยู่นิดหน่อย เขาจะไปสักการะบรรพบุรุษและญาติผู้ล่วงลับเสียหน่อย
……
หลังจากจู้หมิงออกมาจากคลินิกซวนหยวน ยิ่งคิดเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ ฉินจุนไอ้เด็กนี่มันแข็งแรงจะตาย ทำไมจู่ ๆ ก็หมดแรง?ก็แค่รักษาอาการป่วยแค่นั้น ถึงขนาดอ่อนแรงขนาดนี้เลยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกเหรอ?
จู้หมิงรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย ช่วงนี้เขาถูกยัยจู้หลินหลินเล่นงานเกือบตาย
ตอนนี้จู้หลินหลินแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เธอมีทักษะและความสามารถ แถมยังมีคนคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังไม่ว่าจะเป็นเงินทุนหรือคอนเนกชั่นที่มีมาไม่ขาดสาย
จู้หมิงอยู่ในบริษัทกลายเป็นคนคนคอยทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ตอนนี้จู้หมิงเข้าใจหมดแล้ว สาเหตุที่จู้หลินหลินประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าฉินจุนคอยช่วยเหลือ
ไอ้ฉินจุนไม่ได้มีความสามารถอะไร มีแค่สามารถรักษาคนได้ ไม่เพียงแค่รักษาคนเพื่อสร้างคอนเนกชั่นให้ แถมยังคิดสูตรยาถังเสินหมายเลข 2 ให้อีก แค่นี้ก็ทำให้จู้หลินหลินปีกกล้าขาแข็งแล้ว
ถ้าหากฉินจุนล้มลง ยัยจู้หลินหลินจะเหลืออะไร?
ก่อนหน้านี้คุณชายรองตระกูลซูเคยติดต่อจู้หมิงมา แต่เนื่องจากจู้หมิงเป็นแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นจึงไม่ได้ทำอะไรต่อ
ครั้งนี้ จู้หมิงคิดว่าตัวเองจะต้องได้หน้าแน่ ๆ
เขาจึงขับรถมุ่งหน้าไปที่ตระกูลซู