……..
หลังจากที่ออกมาฉินจุนก็เดินไปที่ห้องทำงานของหลินเยวี่ยเหยา และพูดคุยกันสองสามคำ หลินเยวี่ยเหยาเริ่มสงสัยเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ใบสั่งยาเมื่อสักครู่ นายมองออกได้อย่างไร?”
นี่เป็นยาสูตรลับสองขนานผนวกกับผลไม้ถึงจะออกมาเป็นตัวยา นี่มันเป็นสูตรลับจริงๆ ไม่มีใครดูออกแน่นอน
ขนาดผู้อาวุโสที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ยังมองไม่ออก แล้วทำไมฉินจุนถึงมองมันออก?
แต่ท่าทางของเขาในตอนที่เห็นมันไม่ใช่ท่าทางของคนที่เพิ่งจะมองออก แต่มันเป็นท่าทางของคนที่รู้อยู่ตั้งนานแล้ว ในตอนที่เขาพาป้าเฟิงเข้ามา อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าใบสั่งยานี้ไม่ถูกต้อง
ฉินจุนยิ้มและพูดออกมาว่า “นายลองเดาดู?”
หลินเยวี่ยเหยาคิดว่ายังไงฉินจุนก็คงไม่มีความสามารถทางการแพทย์ที่เก่งขนาดนั้น ฉินจุนเองก็คิดว่ามันน่าสงใจ จึงไม่ได้อธิบายออกไป
หลินเยวี่ยเหยาขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “คงจะไม่ใช่ตำราแพทย์ลับนั่นอีกใช่ไหม? ครั้งที่แล้วนายบอกว่าจะให้ฉันยืมหนังสือเล่มนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วเมื่อไหร่จะเอามาให้ยืม?”
“เอ่อ….” ฉินจุนตอบไม่ถูก เขายังไม่ได้เขียนเลยจะไปเอาหนังสือที่ไหนมา? “เดือนหน้าแล้วกัน เดือนหน้าฉันจะเอาหนังสือมาให้นาย”
“ได้ งั้นฉันจะส่งนายละกัน”
ฉินจุนและหลินเยวี่ยเหยาเดินออกมาจากห้องทำงาน
เมื่อถึงหน้าประตู หลินเยวี่ยเหยาก็เงยหน้ามองไปที่รายชื่อที่ติดอยู่ข้างกำแพง บนนั้นมีรูปถ่ายและชื่อแพทย์ ผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ และอื่นๆ
แต่แค่มองไปแวบเดียวก็รู้ว่ามีภาพใหม่ถูกติดอยู่
นั่นก็คือภาพของฉินจุน!
หลินเยวี่ยเหยามองดูรูปภาพที่กำแพงพักหนึ่ง มองดูคำอธิบายใต้ภาพของฉินจุน
“ฉินจุน”
“แพทย์ชำนาญการพิเศษโรงพยาบาลเพื่อประชาชน”
“รักษาโรคที่รักษาได้ยาก”
การแสดงออกของหลินเยวี่ยเหยาดูตื่นเต้นมาก
“แพทย์ชำนาญการพิเศษ? นี่นาย?”
เมื่อเห็นคำแนะนำนั้นแล้ว หลินเยวี่ยเหยาเองก็ไม่อยากจะเชื่อกับสายตาของตัวเอง เธอเป็นแค่หัวหน้าแผนกธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น แต่ฉินจุนเป็นถึงผู้ชำนาญการพิเศษ?
ฉินจุนยิ้มและพูดออกมาว่า “ทำไม สุดยอดเลยใช่ไหม?”
หลินเยวี่ยเหยาไม่รู้จะพูดอะไรออกมา “สุดยอดก็บ้าละ ผู้อำนวยการให้ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญนานนายก็กล้าไปรับเนาะ ถ้าหากมีคนไข้เข้ามาหานายจริงๆแล้วนายรักษาไม่ได้ นายจะทำอย่างไง?”
ฉินจุนพูดออกมาว่า “ฉันไม่เข้ารักษา แค่มีชื่ออยู่เฉยๆ”
หลินเยวี่ยเหยาเบะปาก เจ้าคนนี้นี่โชคดีจริงๆ ก็แค่รักษาคนไข้ที่รักษายากด้วยตำราแพทย์ลึกลับที่มีอยู่ แค่นี้ผู้อำนวยการหลี่ก็เห็นความสามารถและยกย่องเขาขึ้นมา
แน่นอน ฉินจุนมีชื่อเสียง หลินเยวี่ยเหยาเองก็ดีใจ
เธอแค่กังวลว่าชื่อเสียงที่ฉินจุนมีมันจะไม่เหมือนกับความเป็นจริง มีชื่อเสียงที่โด่งดังแต่ไม่มีทักษะแบบที่ว่า สุดท้ายแล้วมันอาจจะส่งผลเสีย
“ใช่แล้วฉินจุน ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าในทีวีจะมีรายการใหม่ออกมารายการหนึ่งชื่อว่า การประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีน มันเป็นรายการของแพทย์แผนจีนโดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานายเองก็มาดูได้!”
“ได้เลย”
ถ้าหากมีรายการอย่างที่ว่าจริงๆ ฉินจุนจะต้องมาดูอย่างแน่นอน
……
และในตอนนั้นวงการแพทย์แผนจีนก็เกิดความฮือฮาขึ้น เพิ่งจะมีข่าวออกมาว่า หวงเหวินจิงที่เป็นแพทย์แผนจีนรุ่นใหญ่วัย 90 ปีได้เสียชีวิตลงแล้ว
เดิมที่หมอจีนหนึ่งคนเสียชีวิตมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรมากมาย อยากมากก็แค่มีผู้ป่วยที่เขาเคยรักษาและเพื่อนในวงการไปงานศพของเขา
อย่างไรเสียเขาก็มีอายุถึง 90 ปีแล้ว และเขาก็จากโรคนี้ไปอย่างสงบ
แต่สำหรับทางทีวีแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก
รายการ “การประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีน” ของพวกเขาที่เตรียมตัวกันมาอย่างยาวนานเดิมทีมีอาจารย์หวงท่านนี้เป็นผู้ร่วมรายการ แล้วทีนี้พวกเขาจะทำอย่างไร?
“ผู้อำนวยการจ้าว รายการของเราใช้เงินไปแล้วไม่ใช่น้อย มันจะมาหยุดลงแบบนี้ไม่ได้”
จ้าวลี่คุนพยักหน้า “ฉันรู้จักหมอจีนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขายังจะอายุน้อย….แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะทำได้!”
เมื่อจ้าวลี่คุนพูดจบ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์หลายคนก็ขมวดคิ้ว
“หมอจีนที่ยังอายุน้อย? ผู้อำนวยการจ้าว คุณไปรู้จักเขาได้อย่างไร?”
จ้าวลี่คุนพูดออกมาว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว ฉันเดินทางไปที่ถนนแพทย์แผนจีน เมื่อผ่านไซต์ก่อสร้าง ฉันเหยียบตะปูยาวเข้า และมันก็ทิ่มจากฝ่าเท้ามาถึงน่องของฉัน”
พูดจบจ้าวลี่คุนก็ถอดถุงเท้าและนำรอยแผลที่ยังไม่หายดีออกมาให้ทุกคนดู และชี้ไปตำแหน่งของบาดแผล
หยี….
ทุกคนตื่นตกใจ แค่มองก็รู้สึกเสียวแล้ว ทำให้สันหลังของพวกเขารู้สึกหนาวๆ
จ้าวลี่คุนชี้ไปตรงที่บาดแผลและพูดว่า “ในตอนที่ฉันไปเยียบตะปู ฉันเดินทางไปหาหมอหลายโรงพยาบาลและเมื่อหมอเหล่านั้นพบว่าฉันแพ้ยาชา พวกเขาก็หมดหนทางและไม่สามารถรักษาฉันได้”
“สุดท้าย สุดท้ายฉันก็เดินทางตามหามาเรื่อยๆจนมาถึงคลีนิกคลีนิกหนึ่งที่อยู่บนถนนแพทย์แผนจีน หลังจากที่ฉันเดินเข้าไปก็เห็นหมอหนุ่มคนหนึ่ง พูดออกไปแล้วพวกนายอาจจะไม่เชื่อ ฉันไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนที่เขาดึงตะปูออกมา”
ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ตกใจ “เขาได้ฉีดยาชาให้คุณไหม?”
“ไม่!”
“ให้ยาสลบ?”
“ก็ไม่ได้ให้ ฉันยังรู้สึกตัวดี”
ทุกคนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา “งั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไน ไม่ได้ใช้ยาชา เอาตะปูออกมาแต่ดันไม่รู้สึกเจ็บ?”
จ้าวลี่คุนพูดออกไปว่า “เมื่อก่อนฉันรู้สึกแบบเดียวกัน แต่มันวิเศษมากจริงๆ หมอคนนั้นเขาใช้มีซ้ายจับมาที่ไหล่ของฉัน มือขวาจับมาที่น่อง ในตอนที่เขาออกแรงบีบฉันก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย”
“หลังจากนั้น เขาก็ให้ลูกชายของฉันดึงตะปูออกมา ในตอนแรกที่ดึงยังรู้สึกเจ็บนิด แต่พอหลังจากดึงออกมาแล้วความรู้สึกเจ็บทั้งหมดก็หายไปทันที”
เมื่อจ้าวลี่คุนพูดออกมาแบบนั้นทุกคนก็หันมามองหน้ากัน
“เขาคนนี้เป็นคุณหมอท่านไหน? รายชื่อแพทย์แผนจีนทั้งหมดพวกเราก็ดูกันมาหมดแล้ว ที่ตงไห่แห่งนี้น่าจะมีแค่ข่งฝานหลินเพียงคนเดียวไม่ใช่เหรอ?”
“ข่งฝานหลิน? นั่นคือนายแพทย์แผนจีนที่อายุน้อยที่สุดไม่ใช่เหรอ แม้ว่าเขาจะมีใบรับรองคุณวุฒิปริญญาโทสาขาการแพทย์แผนจีน แต่เขาก็ยังเด็กเกินไป เขาจะสามารถทำงานนี้ได้เหรอ?”
“ใช่ ฉันเองก็ดูข้อมูลของข่งฝานหลินคนนี้มาแล้วเหมือนกัน เขามีอายุยังไม่ถึง 50 ปีเลยด้วยซ้ำ ถือว่าอายุน้อยมา ถ้าหากจะพูดถึงแพทย์แผนจีนที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้ คนคนนั้นจะต้องมีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป”
ในเรื่องของการแพทย์แผนจีน ถ้าหากยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากประสบการณ์สามารถสะสมได้ตามอายุ ยิ่งอายุมากประสบการณ์ก็จะมาก และจะทำให้คนไข้มั่นใจมนตัวเขามากขึ้น
หากหมออายุเพียง 20 ปี แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เขาอาจไม่สามารถโน้มน้าวใจคนทั่วไปได้
เมื่อได้ยินทุกคนพูดแบบนั้น จ้าวลี่คุนก็เงียบไปทันที
“แต่ว่าหมอจีนที่ฉันไปรักษามา เขา….เขาอายุน้อยกว่าที่พวกนายคิดเยอะเลย!”
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของจ้าวลี่คุน ทุกคนก็ผงะไปครู่หนึ่ง
“ผู้อำนวยการจ้าว ความหมายของคุณคืออายุยังไม่ถึง 40 ?”
“งั้นก็คงไม่ได้หรอก ถ้าหมออายุประประมาณนี้ในทางการแพทย์ของทางตะวันตกก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่ในทางการแพทย์แผนจีนมันคงเป็นไปไม่ได้”
“ฉันเองก็คิดว่าไม่ได้ หมอที่อายุสามสิบกว่าจะไปประสบความสำเร็จอะไรมากมาย?”
“…….”
เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคน ใบหน้าของจ้าวลี่คุนก็ยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่หมอที่อายุสามสิบกว่า ถ้าพูดจริงๆ เขาน่าจะอายุ….25-26 ปีได้!”