ไห่หนิงขมวดคิ้วมุ่น, “ปู่ไม่ได้ป่วยอะไร จะต้องไปตรวจอะไรกัน?ครั้งก่อนไปตรวจแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ได้เป็นอะไร อย่ามาวุ่นวายกับปู่หน่า!”
ดูแล้วไห่หนิงไม่ใช่แค่อคติกับฉินจุนคนเดียว แต่อคติกับหมอทุกคน เขาคิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยอะไรก็เท่านั้น
“คุณปู่นี่จริง ๆ เลยนะคะ……เห้อ หนูนัดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเอาไว้แล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาตรวจคุณปู่”
ไห่หนิงถลึงตาใส่เธอ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะอย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองป่วย จากนั้นก็เดินตรงเข้าห้องไปอย่างโมโห
เหยาเหยาถอนหายใจ นั่งลงด้วยใบหน้าเป็นกังวล
เหลยหงเอ่ย “เหยาเหยาไม่ได้ต้องกังวลไป ท่านนี้คือคุณฉินเป็นหมอที่พี่พามา เขาเองก็ช่วยดูอาการคุณปู่ให้ได้”
เหยาเหยาขมวดคิ้วเข้าหากัน มองสำรวจฉินจุนแล้วเอ่ย
“เขาเป็นหมอเหรอพี่?เด็กไปหรือเปล่า?”
เหลยหงยิ้ม “ถึงแม้ว่าคุณฉินจะอายุยังน้อย แต่ว่าฝีมือการรักษานั้นสุดยอดมาก”
เหยาเหยาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ช่างมันเถอะ พี่หงไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ อาการของปู่ฉัน น่าจะเป็นโรคปอดอักเสบ น่าจะเป็นเพราะตอนหนุ่ม ๆ ท่านสูบบุหรี่จัดเกินไป”
เดิมทีฉินจุนไม่ได้อยากจะพูดอะไร แต่ว่าฟังที่เหยาเหยาพูดเรื่องอาการป่วยก็อดไม่ได้
“ท่านอาวุโสไห่ไม่ได้เป็นปอดอักเสบ แต่เป็นโรคขาดสารอาหารครับ”
พอฉินจุนพูดจบ เหยาเหยาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
“โรคขาดสารอาหาร?นายเอาอะไรมาพูด คุณปู่ของฉันจะขาดสารอาหารได้ยังไง?นายไม่เห็นหรือไงว่าครอบครัวของเรามีฐานะแบบไหน นายจะบอกว่าคุณปู่ฉันไม่มีเงินซื้อข้าวกินงั้นเหรอ?”
เดิมที่เหยาเหยาก็โมโหเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินฉินจุนพูดแบบนี้ เธอก็ยิ่งโมโห
ฉินจุนขมวดคิ้ว “โรคขาดสารอาหารสามารถแบ่งได้หลายประเภท ไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนที่ไม่มีเงินกินข้าวเท่านั้นที่จะเป็นโรคสารอาหาร มีพวกเหล่าเศรษฐีหลายคนก็เป็นโรคขาดสารอาหารเหมือนกัน อาการป่วยไม่ได้เกี่ยวกับความรวยความจน ร่างกายของท่านอาวุโสไห่ขาดสารอาหารจำนวนมาก จะต้องมีปัญหาเรื่องการกินและการพักผ่อนในชีวิตประจำวันแน่นอน”
เหยาเหยายิ่งได้ฟังก็ยิ่งโมโหเข้าไปอีก
“นายจะบอกว่าพวกฉันดูแลคุณปู่ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ?หมอเขาให้มารักษาคนไข้ ไม่ได้ให้มาต่อว่าญาติคนไข้ นายมาพูดพล่ามพวกนี้มีประโยชน์อะไร?”
ฉินจุนเอ่ย “ผมเพียงแค่บอกสาเหตุของอาการป่วยกับคุณก็แค่นั้น การรักษาโรค มันจะต้องจำเป็นที่จะต้องรู้ต้นตอของโรค ถ้าหากไม่แก้ไขอาการขาดสารอาหาร ถึงแม้ว่าจะรักษาหายแล้ว ต่อไปก็อาจจะเป็นขึ้นมาอีกได้”
ท่านอาวุโสท่านนี้มีอาการขาดสารอาหาร จากการที่ได้สำรวจชีพจรพบว่า ไฟในตับของท่านอาวุโสนั้นปะทุ ต้องเป็นเพราะว่าปกติแล้วทานแต่เนื้อสัตว์และทานผักน้อยมากแน่ ๆ
โรคขาดสารอาหารประเภทนี้ไม่ใช่เพราะว่าครอบครัวฐานะไม่ค่อยดี แต่เกิดจากนิสัยการกินส่วนตัวล้วน ๆ
มีบางคนไม่ชอบทานผัก ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นคนรวย วัน ๆ กินแต่เนื้อสัตว์เนื้อปลา แบบนี้ก็ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารได้เช่นกัน
เหยาเหยาพูดจาเต็มไปด้วยอารมณ์ความโมโห ไม่ฟังเหตุผลใด ๆ ให้ชัดเจน มาถึงก็ต่อว่าอย่างเดียว
เหลยหงก็รีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “เหยาเหยา คุณฉินเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เราทุกคนต่างก็ทำเพื่อรักษาอาการป่วยของคุณปู่ไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ตอนพี่เข้ามา ก็เห็นคุณปู่กำลังไอ”
พูดจบ ชายชราก็เดินออกมาจากห้องได้ยินคนพวกนี้คุยกันก็กลอกตามองบน
“ไอไม่กี่ทีก็ถือว่าป่วยแล้วเหรอ?พวกเรานี่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
ไหน ๆ คนไข้ก็ออกมาแล้ว ฉินจุนก็เอ่ยออกมาตรง ๆ เลย
“คุณท่านครับ นี่ไม่ใช่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ อาการป่วยของท่านรุนแรงมาก ถ้าหากไม่รีบทำการรักษา เกรงว่าอย่างที่สุดหนึ่งเดือนกว่าเท่านั้นคุณท่านจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้เลย”
เหยาเหยาถลึงตา “นายพูดบ้าอะไรของนาย!นายแข่งคุณปู่ของฉันงั้นเหรอ?”
เหยาเหยาถลึงตาใส่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
นายฉินจุนนี่ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินไปมาก กล้าดียังไงมาแช่งคุณปู่
“แม้ว่าสุขภาพคุณปู่จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็แข็งแรงกว่าคนธรรมดาทั่วไปเยอะ จู่ ๆ นายกลับมาบอกว่าไม่เกินหนึ่งเดือนคุณปู่จะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง?นายมีเจตนาอะไรกันแน่!”
ฉินจุนทำสีหน้าเรียบนิ่ง เขาเริ่มไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าของเหลยหงล่ะก็ ป่านนี้เขาไปนานแล้ว
อีกยากอาการป่วยของท่านอาวุโสท่านนี้ก็ยากจริง ๆ ถ้าหากส่งตัวให้แพทย์แผนตะวันตกรักษา เกรงว่าจะรักษาตามอาการมากกว่าที่ต้นเหตุ
ฉินจุนยายามอดทนและเอ่ยออกไปอย่างใจเย็น “ถึงแม้ว่าร่างกายจะดูแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสุขภาพจะดีจริง ๆ เขาว่ากันว่าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นมันรุนแรงราวกับดินถล่ม แต่ว่าจะรักษาให้หายได้นั้นเหมือนกับการดึงเส้นไหม ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าคุณท่านก็จะต่อสู้กับมันไม่ไหว”
เหยาเหยาโมโหอย่างสุดชีวิต “ฉันพาคุณปู่ไปตรวจมาแล้ว คุณหมอเขาวินิจฉัยออกมาแล้ว คุณปู่ของฉันก็แค่ปอดมีปัญหา มีอาการอักเสบในปอด ไม่ได้เป็นโรคขาดสารอาหารแบบที่นายพูดอะไรนั่นเลย นายรู้เรื่องจริงไหมเนี่ย?”
เหลยหงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“เหยาเหยา คุณฉินเขาไม่ได้พูดออกมามั่ว ๆ ก่อนหน้านี้ที่พี่ป่วยเขาก็เป็นคนรักษาพี่จนหาย ก็ให้คุณฉินช่วยตรวจไปพร้อม ๆ กันดีไหม?”
เหยาเหยาส่งเสียงไม่พอใจแม้แต่เหลยหงเธอก็ไม่ไว้หน้าหรอกนะ
เหลยหงก็เหลยหง ฉินจุนก็ฉินจุนเถอะ ต่อให้เป็นเพื่อนเธอแล้วจะยังไง?
แม้ว่าเหลยหงนั่นจะเชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของฉินจุนมาก แต่ว่าฉินจุนนั้นอายุยังน้อย อีกอย่างสาเหตุการป่วยที่เขาพูดมาแตกต่างกับที่โรงพยาบาลบอกมาโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเหยาเหยาจึงไม่เชื่อเลย
“หมอนี่ไม่ได้พูดมั่ว?ฉันว่านะนายฉินจุนอะไรนี่แค่พูดมั่ว ๆ เท่านั้นแหละ อายุยังน้อยไม่ยอมตั้งใจเรียน มาหลอกคนอื่นเขาไปวัน ๆ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายหลอกพี่หงยังไง แต่ว่านายไม่มีทางหลอกฉันได้”
“นายรีบไสหัวไปซะ ที่นี่ไม่ต้องรับนาย!”
สีหน้าของเหลยหงเปลี่ยนไปทันที เธอขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เหยาเหยา!เธอพูดแบบนี้มันเกินไปแล้วนะ!”
เหยาเหยาส่งเสียงในลำคอ “ไม่เห็นจะเกินไปตรงไหนเลย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันเห็นแกหน้าพี่ ฉันเอาไม้ไล่ฟาดไอ้หมอนี่ออกไปจากบ้านนานแล้ว!”
สีหน้าของฉินจุนนิ่งขรึมขึ้นมาทันที ในเมื่อญาติคนไข้ไม่ให้เกียรติเขาขนาดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อ
ถึงแม้ว่าอาการป่วยของชายชราท่านนี้จะรุนแรงมาก แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเห็นแก่หน้าของเหลยหงล่ะก่อน เขาไม่มาที่นี่ด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมขอตัวก่อน”
“ฉันไปด้วยค่ะ”
เหลยหงเองก็ออกอาการโมโห ไม่คิดเลยว่าเหยาเหยาจะไม่ไว้หน้าเธอขนาดนี้ หล่อนทำเกินไปจริง ๆ
ในขณะที่ทั้งสองคนเตรียมจะออกไป จู่ ๆ ก็มีรถออดี้A8ก็ขับเข้ามาจอด พอประตูหลังถูกเปิดออก ก็มีชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมแบบจีนเดินลงมา ผมของเขาถูกหวีจนอย่างเรียบร้อย ไม่มีหลุดร่วง ดูท่าทางไม่ธรรมดา
พอเห็นชายคนนี้ เหยาเหยาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอรีบเดินออกไปยืนต้อนรับอย่างเคารพ
“ท่านอาจารย์หมอเหยียน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว พวกเรารอท่านนานแล้วค่ะ”
แม้ว่าเหยาเหยาในฐานะหลานสาวของตระกูลไห่จะมีฐานะดีมาก แต่เธอก็ไม่กล้าอวดดีเกินไปต่อหน้าท่านอาจารย์หมอเหยียน เพราะถึงอย่างไรท่านก็เป็นหมอ เธอจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากท่าน ต้องทำตัวดีนิดนึง
ท่านอาจารย์หมอเหยียนพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นฉินจุนเข้าพอดี ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที
“ท่านปรมาจารย์ฉิน!ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ!”
ท่านอาจารย์หมอเหยียนรีบปิดประตูรถ ก่อนจะรีบเดินมาตรงหน้าฉินจุน จับมือด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการก้มโค้งเว่อร์วังอะไรขนาดนั้น แต่ก็แสดงถึงความเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตน
ใบหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยความจริงจังตอนนี้กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ท่าทางไม่เหมือนกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิง