ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างหัวเราะคิกคักเหมือนกำลังล้อเล่น เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเชื่อว่าฉินจุนสามารถซื้อปราสาทหลังนั้นได้จริง ๆ
เฉินเค่อเอ๋อร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอรู้สึกขายหน้านิดหน่อย ก่อนจะแอบหยิกฉินจุนที่ด้านล่าง
“พี่เขย คุณนี่น่ารำคาญจริง ๆ เลย!”
ฉินจุนจนปัญญา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเอ่ย “เดี๋ยวฉันจะติดต่อเดี๋ยวนี้เลย”
จากนั้นก็กดต่อสายทันที ไม่นานเหอเนี่ยนอิงก็รับสาย
“ศิษย์พี่ฉันเหอเนี่ยนอิงเองค่ะ มีอะไรให้ฉันรับใช้คะ?”
“ปราสาทซีแอทเทิลในเมืองหลวงเป็นกิจการของพวกคุณใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ศิษย์พี่ชอบมันเหรอคะ?”
“อื้ม ผมอยากจะซื้อมันสักหน่อย”
“ศิษย์พี่ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ มันก็แค่โรงแรมปราสาทเท่านั้นเอง จะมาคิดเงินอะไรกัน……”
ฉินจุนหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก พนักงานเหล่านั้นของคุณก็ต้องได้รับเงินเดือน ผมเองก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร คุณสั่งให้คนทำสัญญาให้ผมเลย”
“ได้ค่ะศิษย์พี่”
เหอเนี่ยนอิงก็ไม่ได้ถือสาอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่ง แต่เธอรู้ดีว่า ฉินจุนเองก็รวยล้นฟ้า
คนที่ติดตามท่านอาจารย์ จะขาดแคลนเงินได้ยังไง?
ให้เงินบางส่วนถือเป็นโบนัสแก่พนักงาน
ก่อนจะบอกคร่าว ๆ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง เรื่องทุกอย่างก็จัดการสำเร็จแล้ว
หลังจากวางสายโทรศัพท์ สีหน้าของทุกคนยังคงยิ้มเยาะ
เกาจื่อเหวินถึงขนาดหัวเราะจนตัวโยน แสดงท่าทีโอเว่อร์สุด ๆ
“นี่พี่ชายฉันว่านายนี่แสดงสมจริงมากเลยนะเนี่ย เมื่อกี้นายโทรหาใครน่ะ?คงไม่ใช่มหาเศรษฐีเหอเนี่ยนอิงหรอกใช่ไหม ฮ่าฮ่าฮ่า ขำโว้ย!”
คนที่นั่งอยู่ไม่มีใครเชื่อว่าฉินจุนสามารถซื้อปราสาทนั่นได้เลยสักคน ขนาดแค่เช่าอยู่ยังคืนละแสน ถ้าซื้อต่อแบบนี้คงนับจำนวนศูนย์ไม่ถ้วนเลยล่ะ เป็นความร่ำรวยที่พวกเขาจินตนาการไม่ถึง
พานถิงถิงเอามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาไม่หยุด “เค่อเอ๋อร์ แฟนเธอนี่ตลกจริง ๆ เลยนะ เขาไม่เคยซื้อบ้านมาก่อนใช่ไหมเนี่ย?”
“อย่าว่าแต่ปราสาทหลังนี้เลย แค่ซื้ออาคารพาณิชย์สักแห่งมันต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่การวางมัดจำ การจอง เซ็นสัญญา ตกแต่ง การส่งมอบ การบำรุงรักษาส่วนกลาง และขั้นตอนอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการซื้อปราสาทจำลองเลย”
“นายคิดว่าซื้อผักซื้อปลาเหรอ? เงินมาของไปอย่างนั้นเหรอ? ขอร้องล่ะครั้งหน้าถ้านายจะแสดงอะไรอีก ช่วยเช็กก่อนสักนิด เวลาเขาซื้อบ้านกันไม่ได้ทำแบบนี้ กระบวนการพื้นฐานต่าง ๆ ก็ต้องแสดงสักหน่อยเข้าใจไหม?”
ฉินจุนยิ้มบาง ๆ “กระบวนการพื้นฐาน?เวลาพวกเธอซื้อบ้านจำเป็นต้องทำ แต่ถ้าฉันซื้อมันไม่จำเป็น”
มาล้อเล่นอะไรกัน ซื้อบ้านจากเหอเนี่ยนอิง จะมาเสียเวลาทำกระบวนการอะไร?
คฤหาสน์ชิงเหมยก่อนหน้านี้ ฉินจุนก็ไม่จำเป็นต้องทำขั้นตอนอะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้มันก็ตกเป็นทรัพย์สินภายใต้ชื่อเขาแล้ว
มูลค่าคฤหาสน์ชิงเหมยนั่นเป็นคฤหาสน์ใหญ่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับอีแค่ปราสาทจำลองเล็ก ๆ นั่นเลย
เกาจื่อเหวินหัวเราะอย่างเย็นชา “เฮ้ยเพื่อน นายจะโม้ว่านายไม่ต้องจ่ายเงินเลยใช่ไหม?ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ปราสาทหลังนี้เป็นของนายแล้ว?”
ฉินจุนมองนาฬิกาข้อมือ “ภายในหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะเป็นของฉันแล้ว พูดให้ถูกก็คือฉันซื้อให้เค่อเอ๋อร์”
“ได้ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรอนายหนึ่งชั่วโมง ไปกันเถอะ ยังพอมีเวลาเราไปเที่ยวผับกันสักแป๊บไหม?แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปเที่ยวปราสาทหลังใหญ่ของท่านคนนี้เขาดีไหม?”
ใบหน้าพานถิงถิงเองก็เต็มไปด้วยความขี้เล่น “เอาสิ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าสรุปแล้วเฉินเค่อเอ๋อร์จะได้กลายเป็นเจ้าหญิงไหม!”
เฉินเค่อเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่นใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
ทำไมพี่เขยถึงได้ขี้โม้ขนาดนี้เนี่ย!
“พี่เขย คุณทำอะไรลงไปเนี่ย ทำไมถึงไปพูดจามั่ว ๆ แบบนั้น อีกเดี๋ยวฉันจะไม่ถูกเพื่อน ๆ หัวเราะเยาะเอาหรือไง?”
ฉินจุนดูจากสีหน้าของเฉินเค่อเอ๋อร์แล้วก็นึกสนุก จึงพูดออกไปด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ทำไมทำเธอขายหน้าหรือยังไง?แล้วทำไมตอนเธอแอบถ่ายฉันไม่พูดไว้หน้าฉันบ้างสักนิดล่ะ?”
ฉินจุนไม่ได้บอกความจริงกับเฉินเค่อเอ๋อร์ ให้ยัยเด็กนี่ร้อนใจสักนิดก็ยังดี
เฉินเค่อเอ๋อร์กลอกตามองบน ถลึงตาใส่ฉินจุนอย่างอารมณ์ไม่ดี
เธอเอ่ยเสียเบา “นี่พี่เขย คุณคิดเล็กคิดน้อยเกินไปหรือเปล่า?ฉันก็แค่ถ่ายรูปเท่านั้น ไม่ได้ส่งไปให้พี่ดูสักหน่อย แต่คุณกลับมาทำให้ฉันขายหน้า เหอะ!”
ฉินจุนยิ้ม แต่ก็ไม่ได้โต้อะไรกลับ ทุกคนก็รีบเก็บของไปที่ผับข้าง ๆ ทันที
เป็นเพราะฉินจุนบอกไว้แล้วว่า หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงก็ทำเรื่องเสร็จสิ้นแล้ว ปราสาทซีแอทเทิลนี้ก็จะเป็นของเขา
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงอยู่ในผับ รอให้ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยดูเรื่องตลกของฉินจุน
พอเดินเข้ามาในผับ ที่ด้านในก็มีเสียงเพลงฮาร์ดร็อคดังออกมา สีดังจนหูแทบแตก ที่หน้าฟลอร์มีชายหญิงกำลังเต้นกันอย่างสนุกสนาน มีแต่หญิงสวย ๆ ทำเอาเลือดพลุ่งพล่านเลยทีเดียว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวัยรุ่นกันหมด พอเดินเข้าไปก็ไปชิว ๆ กัน ดื่มเหล้าแค่ไม่กี่แก้วหลังจากนั้นก็ไปเต้นที่ฟลอร์กันแล้ว
แต่ฉินจุนไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงนั่งอยู่ในห้องวีไอพีไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน
พวกของเฉินเค่อเอ๋อร์ต่างก็ขึ้นเวทีไปเต้นกันอย่างสนุกสนาน กระโดดโลดเต้นอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ พานถิงถิงก็ร้องออกมา
“ใครน่ะ!”
ถึงแม้ว่าเสียงตะโกนนี้จะดังมาก แต่ว่าก็ถูกเสียงดนตรีกลบไปหมด พอเธอตะโกนคนส่วนใหญ่ก็หันไปมองทันที มีชายอันธพาลหัวโล้นคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของพานถิงถิง
พานถิงถิงกุมบั้นท้ายของตัวเองเอาไว้ด้วยใบหน้าโมโห
หุ่นของพานถิงถิงนั้นไม่เลวเลย ประกอบกับการเต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงของเธอและทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังสัมผัสบั้นท้ายเธอที่ด้านหลังทำให้เธอโมโหขึ้นมาทันที
“นายประสาทหรือไง มาจับก้นฉันทำไม!”
พานถิงถิงถลึงตาใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
หนุ่มหัวทองจึงหัวเราะอย่างเย็นชาเอ่ย, “ที่จับก้นเธอก็เพราะเธอยั่วไงล่ะ บิดสะโพกไปมาแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้ผู้ชายจับหรือไงล่ะ?จะแอ๊บทำไม!”
พานถิงถิงเบิกตากว้าง “ไอ้เวร!ไปจับของแม่แกนู่น ที่รักไอ้บ้านี่มันจับก้นฉัน!”
พานถิงถิงตะโกนโวยวายใหญ่โต อย่างไม่ไหวหน้าพวกอันธพาลพวกนี้
เมื่อครู่เกาจื่อเหวินเพิ่งทำให้พานถิงถิงไม่พอใจ จึงถือโอกาสนี้เอาหน้าเสียหน่อยโดยการถีบหมอนั่นทันที
ตุ้บ!
เกาจื่อเหวินถีบเข้าที่ท้องของอันธพาลคนนั้น ทำเอาอันธพาลที่เมาอยู่แล้วคนนั้นอ้วกออกมาเป็นเหล้าทันที
เขากระเด็นตกจากเวทีลงไปอ้วกที่พื้น
คนรอบข้างเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะในผับจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ได้ พวกที่เมาแล้วทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติที่เห็นได้บ่อย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครสนใจอะไร
แต่เกาจื่อเหวินออกอาการตื่นตระหนกนิดหน่อย ไม่คิดเลยว่าแค่ถีบจะทำให้คนอ้วกออกมาแบบนี้ได้?
“ถิงถิง เรากลับไปนั่งดีกว่า ไม่ต้องเต้นแล้ว ไปดื่มเหล้าต่อ”
เกาจื่อเหวินทำเป็นนิ่งแต่จริง ๆ แล้วเขารู้สึกหวั่น ๆ กลัวว่าจะโดนแก้แค้น จึงรีบพาพานถิงถิงลงจากเวที
ถึงแม้ว่าพานถิงถิงจะไม่ได้สนใจอะไร แต่ว่าก็เดินตามเกาจื่อเหวินลงไป
พอคนเหล่านั้นเดินกลับมา เห็นว่าฉินจุนนั่งดื่มเหล้าอยู่ พานถิงถิงก็ส่งเสียงเยาะเย้ย
“นั่งกลุ้มใจอยู่หรือไง เต้นก็ไม่ไปเต้น พวกคนโง่แบบนี้เวลาเกิดเรื่องขึ้นมาคงทำอะไรไม่เป็น”