หวังจื่อเหรอ?
ฉินจุนขมวดคิ้ว ทำไมคุ้นชื่อนี้จัง?
เมื่อคิดไปคิดมาก็ดูเหมือนว่าเมิ่งเหวินกังเคยพูดถึง?
ฉินจุนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นดาราชายคนหนึ่ง และก็ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจซูเหวินฉีด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องการพุ่งเป้ามาที่ฉินจุนงั้นเหรอ?
แต่มันบังเอิญมาก นึกไม่ถึงเลยว่าหวังอี้สุ่ยจะเป็นพ่อของหวังจื่อ
ฉินจุนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ข้อหนึ่ง คือเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับซูเหวินฉี เป็นเพียงข่าวฉาวเท่านั้น
ข้อสอง หวังจื่อเพียงแค่ขู่ด้วยวาจาเท่านั้น ไม่ได้คุกคามฉินจุนโดยตรง ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกัน
ข้อสาม เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ฉินจุนไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก
อย่าว่าแต่หวังจื่อเลย แม้แต่พ่อของเขาหวังอี้สุ่ยในตอนนี้ก็ควรจะคุยกับฉินจุนด้วยความเคารพไหม?
หวังอี้สุ่ยทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ตอนอยู่ต่อหน้าฉินจุน เขาโทรศัพท์หาหลายคน พรุ่งนี้จะเริ่มจดทะเบียนบริษัทการกุศลในชื่อของฉินจุน และในขั้นต้นเขาจะเตรียมลงทุนในการก่อสร้างโรงเรียนประถมหลายแห่ง
ในกระบวนการนี้ฉินจุนไม่ได้เข้าไปยุ่ง
หวังอี้สุ่ยทิ้งข้อมูลการติดต่อไว้ให้ฉินจุน และจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเขาไปแล้ว ค่งฝานหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับหัวเราะแห้ง ๆ
“ปรมาจารย์ฉิน เมื่อกี้คือเปลวเพลิงแห่งขุนเขา ความเยือกเย็นแห่งสวรรค์เหรอครับ? แหะ ๆ ”
ที่ฉินจุนให้ค่งฝานหลินเป็นลูกศิษย์ไม่ใช่เพราะเพื่อเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์ การฝังเข็มทั้งสองกระบวนท่าเมื่อกี้นี้เขาจะต้องทำให้เป็น เมื่อมีโอกาสดี ๆ อย่างนี้เขาจะพลาดไม่ได้
และเย่หวันเอ๋อก็เดินเข้ามา
“พี่เสี่ยวจุน ฉันก็อยากเรียนเหมือนกัน!”
ฉินจุนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ทำได้เพียงเริ่มสอน
……
เมื่อถึงช่วงเย็น โรงพยาบาลปิดแล้ว แต่ค่งฝานหลินอยู่ที่นี่เพื่อเข้าเวร เผื่อมีผู้ป่วยเข้ามารักษาในตอนกลางคืน
ทันทีที่ฉินจุนกลับมาถึงบ้าน น้าเฝิงก็มองไปที่ฉินจุนด้วยสายตาแปลก ๆ และพูดขึ้น
“คุณชายคะ ดาราคนนั้นที่มาครั้งที่แล้ว…มาอีกแล้วค่ะ”
ครั้งที่แล้วซูเหวินฉีมาถึงบ้านของฉินจุนด้วยสภาพเมามาย ตอนนั้นน้าเฝิงยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เมื่อซูเหวินฉีตื่นขึ้นมาน้าเฝิงจึงจำได้ว่านี่คือดาราดัง
ถ้าตอนนั้นคุณชายของตระกูลฉินมีแฟนเป็นดาราดังมันก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ตระกูลฉินได้ตกต่ำลงแล้ว และทุกคนถึงกับรังเกียจ ถึงจะเป็นอย่างนี้แต่คุณชายก็ยังหาแฟนสาวได้เยี่ยมยอดขนาดนี้เลยเหรอ??
สมแล้วที่เป็นคุณชาย!
ฉินจุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ซูเหวินฉีเมาอีกแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นซูเหวินฉีนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา
ฉินจุนไม่มีทางเลือกจึงหยิบกินยาแก้เมาออกมาและทาลงบนใบหน้าของเธอ
“เฮ้ๆๆ คุณทำอะไรเนี่ย!”
ทันทีที่ยาถูกทาลงหน้าผากของเธอ ซูเหวินฉีก็ตื่น มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนและไม่ได้เมาเลยสักนิด
“ฉันไม่ได้ดื่ม!”
ฉินจุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คุณไม่ได้ดื่มแล้วทำไมคุณมาที่บ้านผมล่ะ?”
ซูเหวินฉีโมโหเล็กน้อย ท้าวเอวเล็กๆของเธอ และพูดด้วยท่าทางโมโห
“เฮ้ ฉันแค่มาเยี่ยมคุณเฉยๆ คุณคิดว่าฉันเป็นคนยังไงห๊ะ ขี้เมาเหรอ?”
ฉินจุนยิ้ม ท่าทางของซูเหวินฉีดูน่ารักเหมือนกันนะ
“เวลาไปเยี่ยมบ้านคนอื่น คุณนอนบนเตียงเขาเลยเหรอ?”
แก้มของซูเหวินฉีแดง และเธอก็พูดขึ้นขณะสวมถุงเท้า
“ครั้งที่แล้วที่ฉันนอนมันสบายมากน่ะ ฉันไม่ค่อยได้นอนหลับสนิทแบบนี้บ่อยๆน่ะ”
ขณะที่พูดซูเหวินฉีก็บิดขี้เกียจ เผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งที่สวยงามของเธอ
“เอ้อครั้งที่แล้วหลังจากฉันกลับไปไม่มีใครมารบกวนคุณใช่ไหม?”
เพราะยังไงเขาก็เป็นผู้ชายที่ถูกค้นหาอย่างมากในอินเทอร์เน็ต และดูเหมือนว่าหวังจื่อก็ดูเหมือนจะมีแผนบางอย่าง ดังนั้นซูเหวินฉีจึงอดไม่ได้ที่จะกังวล
“ก็ไม่มีอะไรนะ”
ฉินจุนถูกค้นหาในอินเทอร์เน็ตไม่นาน แค่พริบตาก็หายไปแล้ว ซูเหวินฉีต้องชื่นชมพี่เถียนในการทำงานของเธอมาก
แต่เธอไม่รู้เลยว่าสาเหตุที่คำค้นหาในอินเทอร์เน็ตถูกลบไปอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะคำสั่งจากผู้บริหารซุน
“งั้นก็ดีแล้ว ไปกันเถอะ วันนี้ฉันเลี้ยงข้าวคุณเอง เราไปกินอะไรดี?”
ฉินจุนยอมใจผู้หญิงคนนี้เลยจริง ๆ ทำไมชอบออกมาหาอะไรกินตอนกลางดึก
“วันนี้ผมยุ่งมาทั้งวัน…”
ก่อนที่ฉินจุนจะพูดจบ ซูเหวินฉีคว้าแขนของเขาไว้ “ห้ามปฏิเสธ ไปเถอะนะ ๆ ๆ ๆ…”
ฉินจุนไม่มีทางเลือก หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าทำไมทำตัวเหมือนเด็กอย่างนี้เนี่ย?
“โอเค ไปกัน ๆ ๆ”
ทั้งสองคนออกไปข้างนอกอีกครั้งในกลางดึก
แต่ครั้งนี้ซูเหวินฉีเตรียมตัวมาดี ด้านนอกมีรถโฟล์คสวาเกนจอดอยู่หนึ่งคัน ทั้งสองคนขึ้นรถและขับตรงไปยังใจกลางเมือง
“กินอะไรดี ๆ ?” ซูเหวินฉีกระตือรือร้นอยากกินจริง ๆ สมแล้วที่เป็นราชินีแห่งการกินจริง ๆ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำเกี่ยวกับการกินแล้ว แต่ในชีวิตจริงเธอก็ยังเป็นนักกินตัวยงคนหนึ่ง
ฉินจุนกินอะไรก็ได้ แล้วแต่เธอ
ซูเหวินฉีพาฉินจุนไปที่ร้านอาหารฟิวชั่นร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ลึกลับมากมีหน้าร้านเล็กๆ
ตามทฤษฎีของซูเหวินฉีแล้ว ร้านอาหารฟิวชั่นเป็นราชาแห่งร้านอาหาร
อาหารทุกประเภทสามารถรับประทานได้บนโต๊ะเดียวกัน นี่สิถึงเรียกว่าความสุข
หลังจากที่ซูเหวินฉีเดินเข้าไปในร้านอาหารนี้ เธอจึงถอดแว่นกันแดดและหมวกออก
พนักงานเสิร์ฟเข้ามาต้อนรับเธอ
“พี่ซูมาแล้วเหรอครับ”
ดูเหมือนว่าซูเหวินฉีจะมาทานข้าวที่นี่บ่อย พนักงานเสิร์ฟทุกคนรู้จักเธอ มีดาราดังมาก็ไม่มีใครเข้ามาขอลายเซ็นต์หรือขอถ่ายรูป ราวกับว่าเป็นคนทั่วไป
ซูเหวินฉีพูด “ร้านอาหารร้านนี้ดังมาก ดาราในวงการบันเทิงหลายคนมาทานอาหารที่นี่”
ซูเหวินฉีและฉินจุนเลือกที่นั่งด้านบนสุดติดหน้าต่างสามารถมองเห็นวิวยามค่ำคืนของเมืองตงไห่
ซูเหวินฉีไม่ได้สั่งอาหาร แต่พนักงานเสิร์ฟกลับรีบนำอาหารมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะว่าซูเหวินฉีชอบกินอะไร
“กินกันเถอะ ๆ”
ทั้งสองเหมือนกับคนที่เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว จึงไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมาก
ซูเหวินฉีรู้สึกผ่อนคลายมากตอนที่อยู่กับฉินจุน
และฉินจุนก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ทั้งสองคนต่างก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน
และในช่วงเวลาดี ๆ อย่างนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“เหวินฉี คนนี้เป็นผู้ชายที่มีข่าวซุบซิบกับคุณหรือเปล่า?”
ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว และเมื่อเธอหันกลับไปมอง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หวางจื่อ? ทำไมคุณอยู่ที่นี่?”
หวังจื่อยิ้มจาง ๆ เดินไปนั่งข้างซูเหวินฉีอย่างไม่เกรงใจ และพูดขึ้น
“บังเอิญมาก ฉันก็มาทานข้าวที่นี่เหมือนกัน”
ซูเหวินฉีไม่เชื่อว่าเขาจะมาทานข้าวที่นี่ด้วย หวังจื่อไม่เพียงแต่ตัวเขาที่มีอิทธิพลมาก แต่ที่บ้านเขาก็ยังมีฐานะดีมาก เขาเป็นทายาทที่ร่ำรวยตั้งแต่เด็ก ๆ ที่บ้านมีร้านอาหารตั้งกี่ร้าน เขาจะมาทานอาหารที่นี่ทำไมกัน?
เพราะรู้ว่าคืนนี้เธอจะมาเขาเลยตามมาแน่ ๆ
หวังจื่อนั่งอยู่ข้างซูเหวินฉี ราวกับเป็นเจ้าของ มองไปที่ฉินจุนด้วยรอยยิ้มปลอม ๆ และพูดขึ้น
“คุณชื่ออะไรครับ?”
หวังจื่อไม่ได้แนะนำตัวเอง เขาเชื่อว่าฉันจุนต้องรู้จักเขา
“ฉินจุน”
หวังจื่อยิ้มบาง ๆ และไม่สนใจความเฉยเมยของฉินจุน
“ผมได้ยินมาว่าคุณและเหวินฉีมีเรื่องอื้อฉาวกันเหรอ? ลำบากคุณแย่เลยนะครับ ที่ต้องมาดูแลเหวินฉีแทนผม”
คำพูดของหวังจื่อคลุมเครือมาก ราวกับว่าเขากับซูเหวินฉีเป็นอะไรกัน และฉินจุนเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งเท่านั้น