หวังจื่อตกตะลึงทันที
ทำไมถึงนัดกับคนอื่นแล้วล่ะ?
นัดกับคนอื่นแล้ว แต่ทำไมถึงยังมาที่ร้านอาหารฟิวชั่นแห่งนี้อีกล่ะ?
“อาซุนครับ คุณกำลังล้อเล่นใช่ไหมครับ?”
ซุนเจี้ยนหมินขมวดคิ้ว “ฉันล้อเล่นอะไร ฉันมีนัดสำคัญ วันนี้ฉันทานข้าวกับนายไม่ได้แล้ว วันหลังเราค่อยนัดกับพ่อนายด้วยแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ ซุนเจี้ยนหมินก็เดินผ่านเขาไป และเดินขึ้นไปชั้นบน
ทันใดนั้นหวังจื่อก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี เขาก็รีบเดินตามไปอย่างกังวล
ซุนเจี้ยนหมินขึ้นไปที่ชั้นบนสุด เมื่อเห็นที่นั่งที่ฉินจุนนั่งอยู่เขาก็รีบเดินไปทันที
“คุณฉิน”
ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ควรเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น
ฉินจุนไม่ได้ยืนขึ้น เพียงแค่หลบทางให้ซุนเจี้ยนหมินนั่ง
“นั่งสิ”
ซูเหวินฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ซุนเจี้ยนหมินคนนี้ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวหรือท่าทางก็ไม่ใช่คนธรรมดาเลย หรือว่าเขาคือผู้บริหารซุน?
แต่เมื่อดูจากท่าทีธรรมดาของฉินจุนแล้ว เธอก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลย หากผู้บริหารซุนมาแล้วจริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องลุกขึ้นต้อนรับไหม?
“นี่คือเพื่อนของผม ซูเหวินฉี”
ซุนเจี้ยนหมินผงะไปครู่หนึ่ง เขาต้องรู้จักซูเหวินฉีอยู่แล้ว แต่เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟนของศิษย์พี่?
“สวัสดีครับ ผมซุนเจี้ยนหมิน”
ซูเหวินฉีช็อคไปแล้ว ผู้บริหารซุนจริง ๆ งั้นเหรอ?
เธอรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และจับมืออย่างสุภาพ
ขณะที่ทั้งสองจับมือกันอยู่นั้น หวังจื่อที่ตามขึ้นมาเมื่อเห็นซุนเจี้ยนหมินนั่งอยู่ที่โต๊ะของฉินจุน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“อาซุน ที่คุณบอกว่ามีนัดสำคัญก็คือนัดกับพวกเขาเหรอ?”
ซุนเจี้ยนหมินขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
“เด็กคนนี้นี่ ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าวันอื่นค่อยไปทานข้าวกัน วันนี้ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณฉินและน้องเขา นายก็ตามสบายแล้วกัน”
ใบหน้าของหวังจื่อบูดเบี้ยว
คุณฉิน? น้อง?
หวังจื่อที่เรียกว่าเขาว่าอาอยู่ปาว ๆ แต่ฉินจุนกลับได้เป็นพี่น้องกับซุนเจี้ยนหมิน? แถมยังยอมรับว่าซูเหวินฉีเป็นน้องอีกงั้นเหรอ?
ชาติหน้าเถอะ!
ฉินจุนเป็นแค่คุณชายของตระกูลที่ที่ตกต่ำเท่านั้น ตอนนี้ก็เป็นแค่หมอ ไม่มีใครตะโกนด่าในตงไห่ก็ดีแล้ว ทำไมเขายังไปสนิทกับผู้บริหารซุนอีก?
แม้ว่าซูเหวินฉีจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าที่ฉินจุนบอกว่าเขาจัดการให้เธอได้ทานอาหารกับผู้บริหารซุน เขาทำได้จริง ๆ
เขาหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยันและพูดว่า
“ฉันจำได้ว่าเมื่อกี้มีคนพูดว่าถ้าคุณเชิญผู้บริหารซุนมาทานอาหารได้ จะยอมเรียกฉันว่าพ่อน่ะ ไม่ทราบว่านี่จริงไหม?”
ใบหน้าของหวังจื่อซีดเผือด เขากำกำปั้นแน่น ใบหน้าบูดบึ้ง
และฉินจุนก็พูดขึ้น “ช่างเถอะ ฉันก็ไม่มีลูกแบบคุณหรอก”
หวังจื่อ : ……..
การเชิญผู้บริหารซุนมาทานอาหาร ตรงนี้มีคนเยอะมาก ซึ่งรบกวนนิดหน่อย ซูเหวินฉีจึงเรียกพนักงานเสิร์ฟมา
“จัดห้องส่วนตัวให้หน่อยค่ะ”
ตอนแรกที่เลือกตำแหน่งริมหน้าต่างเพื่อทานอาหารค่ำกับฉินจุนก็เพื่อที่จะได้มีสีสันมากขึ้น แต่เมื่อผู้บริหารซุนมาแล้วก็ไปที่ห้องส่วนตัวเงียบ ๆ หน่อย
พนักงานเสิร์ฟรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “พี่ซูครับ ห้องส่วนตัวเต็มแล้วครับ”
เมื่อหวังจื่อได้ยินดังนี้ เขาก็มีความสุขในทันที
“ห้องส่วนตัวเหรอ? ฉันจองไว้แล้ว ผู้บริหารซุนผมจองห้องส่วนตัวไว้ข้าง ๆ คุณไปกับผมสิ!”
ซุนเจี้ยนหมินผงะไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า
“ถ้าอย่างนั้น ก็เอาห้องส่วนตัวของคุณมาให้เราใช้เถอะ ยังไงวันนี้ฉันก็ไม่มีเวลาทานข้าวกับนายแล้ว”
คำพูดของซุนเจี้ยนหมิน ทำให้หวังจื่อพูดไม่ออกทันที ห้องส่วนตัวก็ถูกจองไว้แล้ว และก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะแล้ว นี่ก็ยังแพ้ไอ้ฉินจุนนี่อีกเหรอ?
“อาซุน งั้นให้ผมอยู่กับคุณไหม?”
“ไม่สะดวก”
วังจื่อ : …….
เมื่อเห็นทั้งสามคนเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว ใบหน้าของหวังจื่อก็บูดเบี้ยวมาก
ไอ้บ้าเอ๊ยแกกล้ามาแย่งผู้หญิงไปจากฉัน รนหาที่ตาย!
เดิมทีเขาไม่ก็อยากจะสนใจ ‘ตัวประกอบ’ แบบนี้หรอก คิดว่าจะพึ่งพาความสามารถและหน้าตาของตัวเอง สักวันก็จะคงได้ซูเหวินฉีมาครอง?
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าถ้าถ้าไม่จัดการจุนฉินก็คงจะมีปัญหาแล้วล่ะ
ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ไอ้ฉิน แกอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!
………
ในห้องส่วนตัว ทั้งสามคนทานอาหารในบรรยากาศสบายๆ
เมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างซูเหวินฉีและฉินจุนแล้ว ซุนเจี้ยนหมินก็ตอบรับคอนเสิร์ตของซูเหวินฉีทันที
เดิมทีก็มีดาราดังจำนวนมากมาให้เลือก เลือกใครมันก็เป็นเพราะโชคล้วน ๆ
ในเมื่อซูเหวินฉีเป็นเพื่อนของศิษย์พี่ ซุนเจี้ยนหมินก็ยินดีที่จะตกลงทันที และคอนเสิร์ตของซูเหวินฉีจะต้องขายดีแน่ ๆ จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตงไห่ได้แน่นอน
ในที่สุดเรื่องคอนเสิร์ตก็ตกลงกันได้แล้ว และซูเหวินฉีดีใจและประหลาดใจมาก ทานอาหารเสร็จก็เดินไปส่งผู้บริหารซุน จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถ
“เฮ้ ตกลงนายเป็นใครกันแน่เนี่ย ทำไมนายถึงรู้จักกับผู้บริหารซุนล่ะ?”
“เอ่อ ผมเป็นญาติกับเขาน่ะ” คำอธิบายนี้ถือว่าสมเหตุสมผล ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ถือว่าเป็นญาติกันแหละเนอะ
“อ้อมิน่าล่ะ เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณคุณมากเลย! ยังไม่ดึกเลยเราขึ้นไปรับลมบนภูเขากันเถอะ!”
ขณะที่พูดซูเหวินฉีจึงสตาร์ทรถและขับออกไป
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนกฮูกกลางคืน ตกกลางคืนถึงออกมาหากิน ตอนนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว เธอกลับบอกว่ายังไม่ดึก
แต่ยังไงก็ํออกมาแล้ว ฉินจุนจึงต้องติดสอยห้อยตามเธอไป
ซูเหวินฉีไม่ติดหรูเลย ขับแค่โฟร์คสวาเกนเท่านั้น เธอขับไปไกลมาก มาจนถึงเขาชิงเหมยติดเขตชายแดนตงไห่
เขาชิงเหมยแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในตงไห่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา สภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาดีมาก และยังมีสัตว์ดุร้ายด้วย
นักลงทุนจำนวนมากพยายามแย่งชิงโครงการนี้ แต่ก็ไม่มีผล ถ้าโครงการนี้เสร็จสิ้น ในมณฑลฮั่นตงก็จะมีจุดชมวิว 5A แห่งใหม่เพิ่มขึ้นมา
ดูเหมือนซูเหวินฉีจะคุ้นเคยกับถนนเส้นนี้มาก แม้ว่าถนนจะขรุขระ แต่เธอก็ขับได้ค่อนข้างนิ่มเลย มีถนนที่คดเคี้ยวตลอดทาง และดูเหมือนว่าเธอกำลังขับรถขึ้นไปบนยอดเขา
ฉินจุนนั่งอยู่เบาะข้างคนขับมองดูทิวทัศน์อันไกลโพ้น ทำให้รู้สึกสบายใจมาก
ทันใดนั้นฉินจุนมองไปที่กระจกมองหลังและพูดว่า
“รถคันข้างหลังขับตามเรามานานแล้ว”
“จริงเหรอ? เราควรทำยังไงดี!”
แม้ว่าซูเหวินฉีจะมีทักษะในการขับรถไม่เลวเลย แต่ในสถานการณ์มีคนขับรถตามเช่นนี้เธอก็ยังรู้สึกประหม่ามาก
ถนนคดเคี้ยวนี้ได้รับการซ่อมแซมอย่างดี และรถสามคันก็สามารถขับเรียงกันได้
“คุณขับช้าลงหน่อย และปล่อยให้เขาแซงไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเหวินฉีก็ชะลอทันที และแอบข้างทาง
แต่ทันใดนั้น รถที่อยู่ข้างหลังก็ชะลอตัวลงโดยไม่มีเจตนาจะแซงเลย
แต่ทันใดนั้นรถคันข้างหลังก็ชะลอความเร็วเหมือนกัน ไม่ได้แซงไปเหมือนที่คิด
ซูเหวินฉีก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะถ้าขึ้นไปไกลกว่านี้ก็คือยอดเขาแล้ว และทางก็จะแคบลง เหลือแค่สองเลนส์สวน หากเกิดเหตุการณ์อันตรายอะไร ต้องตายแน่ ๆ!
“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร!”
ฉินจุนพูด “ไม่เป็นไร คุณขับชิดในต่อไปนี่แหละ”
“หือ? หรือคุณจะขับ?”
“ฉันขับไม่เป็น”
ซูเหวินฉีขมวดคิ้ว พูดไม่ออกเล็กน้อย เธอที่เป็นผู้หญิงขับรถคนเดียวเช่นนี้ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ได้หรอกนะ