ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย – ตอนที่ 160 เธอก็ยังมีความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่

เซินเหลียงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาไปพักหนึ่ง มู่นวลนวลแตะแขนเธอเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ในใจของกูจื่อหยานมีแต่เธอจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอ แต่ถ้าในใจเธอเองก็มีเขาอยู่ด้วย งั้นก็ลองคุยกับเขาดูสิ”

“ฉันรู้แล้ว” นานมากแล้วที่บนใบหน้าของเซินเหลียงไม่ได้ปรากฏร่องรอยแห่งความเศร้า “แต่ว่าระหว่างพวกเราไม่มีทางเป็นไปได้แล้วล่ะ”

มู่นวลนวลตะลึงเล็กน้อย เซินเหลียงไม่เคยแสดงสีหน้าแบบนี้ให้เธอเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง

ทั้งสองคนเดินออกไปข้างนอก ก็ถูกลมหนาวยามราตรีปะทะเข้าใส่ใบหน้าจนกายหนาวสั่น

และกูจื่อหยานที่ออกมาข้างนอกก่อนหน้าแล้วนั้น ตอนนี้กำลังยืนอยู่ที่ข้างๆ รถ ท่าทีเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่

พอเขาเห็นเซินเหลียงเดินออกมาก็กระตือรือร้นรีบเปิดประตูรถเชื้อเชิญ แล้วจึงยิ้มพลางพูดออกมาว่า “เซินเสี่ยวเหลียง อากาศหนาวแบบนี้รีบขึ้นรถเร็ว”

มู่นวลนวลหันไปมองเซินเหลียง พบว่าสีหน้าของเธอไม่สู้ดีนักมากขึ้นทุกที

มู่นวลนวลรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่ลึกๆ ดึงมือของเซินเหลียงเอาไว้แล้วเรียกเธอเบาๆ “เสี่ยวเหลียง”

เซินเหลียงจ้องมองกูจื่อหยานนิ่งๆ จากนั้นก็เดินไปหาเขา

“ทำไมถึงยังเอื่อยเฉื่อยเหมือนตอนเด็กๆ ล่ะ รีบขึ้นรถเร็ว ไม่อย่างงั้นเดี๋ยวเธอจะ………..” กูจื่อหยานคะยั้นคะยอให้เธอขึ้นรถอย่างไม่ได้รับรู้อะไรเลย

ฉับพลันนั้นเซินเหลียงก็พูดขัดเขาขึ้นมาก่อน “กูจื่อหยาน! พอแล้ว! วันนี้ฉันขอบอกนายให้รู้เลยนะว่าระหว่างพวกเรามันไม่มีทางเป็นไปได้ จะให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งยิ่งไม่มีทางเด็ดขาด ไม่ว่านายจะทำอะไร ผลสุดท้ายมันก็ออกมาเหมือนเดิมนั่นแหละ! ”

กูจื่อหยานก็พลันนิ่งชะงักค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนกับขณะที่กำลังโทรศัพท์ก็กลับถูกกดพักสายไปอย่างไงอย่างงั้น ยังคงทำท่าราวกับจะไปดึงมือเซินเหลียงค้างแข็งอยู่เช่นนั้น

มือของเขาห่างจากมือของเซินเหลียงเพียงสามเซนติเมตรเท่านั้นเอง

“เซินเสี่ยวเหลียง พูดกันแบบมีเหตุผลก่อนได้ไหม ถ้าจะพิจารณาให้โทษถึงแก่ความตายกับฉัน ก็ต้องให้ฉันตายตาหลับเข้าใจทุกอย่างก่อน! เธอบอกฉันมาได้ไหมว่าทำไม!”

น้ำเสียงในช่วงแรกของกูจื่อหยานนั้นยังเรียบนิ่งอยู่ แต่ในตอนท้ายของประโยคนั้นเขาแทบจะตะโกนเสียด้วยซ้ำ “อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระว่าเธอไปชอบคนอื่นแล้วเลยไม่ชอบฉัน ฉันรู้จักเธอมาแม่ง 24 ปีแล้วนะ! เธอพูดโกหกกับฉันไม่ได้หรอก!”

เซินเหลียงพูดออกมาสามคำอย่างนิ่งๆ แต่เป็นสามคำทีทำให้กูจื่อหยานล้มทั้งยืน

“ฉันเกลียดนาย”

เป็นเพียงแค่สามคำเบาๆ ที่แสนจะธรรมดา แต่กลับเสียดแทงเข้ามาในจิตใจ ทำให้ผู้ชายตัวใหญ่อกสามศอกอย่างกูจื่อหยานสั่นสะท้านไปทั้งตัว

คู่รักที่เติบโตมาจากความสัมพันธ์เพื่อนในวัยเด็กเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าทั้งคู่ต่างก็เข้าใจกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนนี้กูจื่อหยานพยายามจับผิดหาร่องรอยว่าเซินเหลียงกำลังโกหกอย่างสุดชีวิต

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหามากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหาร่องรอยแห่งคำโป้ปดได้เลยแม้แต่น้อย

“ทำไมล่ะ” สามคำนี้ยังไม่ทันได้พูดออกไป เซินเหลียงก็หมุนตัวสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปที่ริมถนน โบกรถหนึ่งคันแล้วก็จากไปเลย

กูจื่อหยานยกเท้าจะก้าวขาไปข้างหน้าเล็กๆ หนึ่งก้าว แต่เพียงชั่วครู่ถัดมา เขาก็ถอนเท้าคืนกลับมาอย่างช้าๆ

มู่นวลนวลในตอนนี้นั้นเกลียดเท้าตัวเองที่เคล็ดอยู่เป็นอย่างมาก เธอในสภาพนี้ไม่สามารถตามเซินเหลียงไปได้เลยแม้แต่น้อย

“ฉันจะให้ซือเย่ตามเธอไป”

เสียงทุ้มลึกอันคุ้นเคยลอยมาจากทางด้านหลัง

มู่นวลนวลหันกลับไป ก็พบโม่ถิงเซียวที่ไม่รู้ว่าตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่ข้างหลังเธอห่างไปไม่ไกลนัก

คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็คือผู้กำกับชี

ก่อนหน้านี้เธอมาที่สถานีตำรวจเป็นเพื่อนโม่เจียเฉิน ล้วนแต่เป็นความรับผิดชอบภายใต้ผู้กำกับชีทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นมู่นวลนวลจึงจำเขาได้

ด้วยมารยาทเธอจึงทักออกไป “ผู้กำกับชี”

ผู้กำกับชีในความทรงจำของมู่นวลนวลคือผู้ชายที่มีใบหน้าดุดันและเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในครั้งนี้ผู้กำกับยิ้มให้เธอแล้วพูดออกมาว่า “ผมจำคุณได้ ก่อเรื่องมาอีกแล้วเหรอ”

มู่นวลนวล “…………”

คราวที่แล้วเธอแค่มาสถานีตำรวจเป็นเพื่อนโม่เจียเฉินเพียงเท่านั้นเอง ทำไมถึงพูดว่าเธอก่อเรื่องอีกแล้วล่ะ

มู่นวลนวลมองคนที่ยืนอยู่ข้างผู้กำกับชีอย่างเคืองๆ เล็กน้อย โม่ถิงเซียวก็กำลังมองเธออยู่พอดี นัยน์ตาของเขามีแววแห่งความขบขันลอยอยู่ในนั้นจางๆ

มู่นวลนวลรีบเบนสายตาหลบออกไป

ผู้กำกับชีที่เห็นเหตุการณ์ หันไปพูดกับโม่ถิงเซียวเบาๆ ว่า “ภรรยานายสวยดีนี่ ง้อเธอดีๆ หน่อยสิ อย่ามัวแต่คอยทำหน้าแบบนี้เลย”

โม่ถิงเซียวเป็นคนที่เมื่อคนอื่นพูดก็จะเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาไป คราวนี้กลับทำตัวไม่เหมือนเคย พูดตอบรับไปอย่างดีว่า “อื้ม”

ผู้กำกับชีที่รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันเย็นเยียบอึมทึมจากชายหนุ่มที่ดื้อรั้นตรงหน้า ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “กลับไปกันได้แล้ว ตอนกลางคืนมันหนาว คดีของแม่นาย ตามรูปคดีก็ถือว่าสิ้นสุดคดีไปแล้ว แต่สำหรับพวกเราที่นี่ยังไม่ถือว่าเป็นแบบนั้น ฉันจะสืบสวนคดีต่อไป จนกระทั่งฉันได้ตายจากไป”

เมื่อพูดถึงคุณแม่ขึ้นมา สีหน้าของโม่ถิงเซียวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็พลันคืนกลับเป็นปกติตามเดิมอย่างรวดเร็ว

………

บนทางขากลับมู่นวลนวลส่งข้อความไปหาเซินเหลียง พอได้รับข้อความตอบกลับมาก็เลยเบาใจลง หลังจากนั้นก็มองออกนอกหน้าต่างไปอย่างใจเหม่อลอย

เรื่องความรู้สึกระหว่างคนสองคนแบบนี้ มีหลายครั้งที่คุณจะรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ และก็จะกลายเป็นหลอกตัวเองและผู้อื่นไปอย่างนั้นแทน

ความสัมพันธ์ของตัวเราเอง คนที่มองเห็นและเข้าใจได้อย่างชัดเจนที่สุดก็มีเพียงแต่ตัวเราเท่านั้น

ในตอนที่คุณเกิดความไม่แน่ใจหรือลังเลกับความสัมพันธ์ในระยะหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องสันสน เพราะจะต้องเป็นการที่อีกฝ่ายไม่รักคุณ หรือไม่ก็คุณไม่รักอีกฝ่ายแล้วก็เท่านั้นเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่มั่นคงแน่นอน ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรมากมายเสียขนาดนั้น

เพราะว่าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะจริงจังและมั่นใจเหมือนคุณไหม ดังนั้นคุณจึงลังเล ใจไม่สงบ และทรมานได้…….

ก็เหมือนกับเธอในตอนนี้

เพราะว่าใส่ใจ ถึงได้เสาะเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ คอยวัดระดับความสำคัญของตัวเองที่อยู่ในใจเขา

เซินเหลียงกับกูจื่อหยานเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเสียขนาดนั้น ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้ดำเนินมาถึงสถานการณ์อันเลวร้ายแบบนี้ได้

ยิ่งกับโม่ถิงเซียวที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแบบเซินเหลียงกับกูจื่อหยาน สำหรับเธอแล้ว ในสายตาของโม่ถิงเซียวเธอก็คงเป็นได้แค่ผู้หญิงที่มีหน้าตาคล้ายซูชิงหนิงเพียงเท่านั้นเอง

ที่ผ่านมาโดยตลอด เธอก็เป็นได้เพียงคนที่ถูกมองเลยข้ามผ่านไป

ทว่า เธอก็ยังมีความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่

มู่นวลนวลยื่นมือมาจับที่ตำแหน่งของหัวใจตัวเองเบาๆ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ถ้าไม่สนใจก็จะไม่เจ็บปวด และก็จะไม่เป็นทุกข์อย่างแสนสาหัส

มู่นวลนวลหันกลับไปถามเขา “นายรู้จักผู้กำกับชีด้วยเหรอ”

ขณะนั้นมู่นวลนวลถึงพึ่งสังเกตว่ารถขับไปด้วยระดับความเร็วที่ช้าเป็นอย่างมาก

แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะใจจดจ่ออยู่กับการขับรถอยู่ตลอด แต่ก็มักจะหันมามองเธออยู่บ่อยครั้ง ความเร็วของรถจึงช้าลงด้วยประการฉะนี้

ได้ยินมู่นวลนวลที่ชวนเขาคุยขึ้นมาก่อน ลึกๆ ในดวงตาของโม่ถิงเซียวก็มีประกายแห่งความประหลาดใจโผล่ขึ้นมาอยู่แปลบเดียว “อื้ม”

“อ๋อ”

มู่นวลนวลเพียงแค่เอ่ยถามไปอย่างงั้น และก็ไม่ได้อยากรู้จริงๆ หรอกว่าเขาไปรู้จักกับผู้กำกับชีได้อย่างไร

ความจริงแล้วคนแบบโม่ถิงเซียวจะรู้จักกับตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติเป็นอย่างมาก เพียงแค่ทั้งคู่ดูจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

เมื่อคืนมู่นวลนวลไม่ลงรอยกับเขา แล้วยิ่งด้วยความที่เธอเป็นคนดึงดัน ตัวเขาจึงก็ไม่เคยคิดว่ามู่นวลนวลจะเป็นฝ่ายยอมเอ่ยปากคุยกับเขาก่อนเร็วถึงเพียงนี้

นัยน์ตาของเธอเมื่อคืนนั้นบอกได้ว่าช่างเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด

บอกได้ว่าอารมณ์และน้ำเสียงสื่อออกมานั้นมีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่โม่ถิงเซียวก็รู้สึกว่ามีบางส่วนของมู่นวลนวลที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว

จะให้บอกเจาะจงแน่ชัดว่าเป็นส่วนไหน เขาเองก็ไม่อาจบอกออกมาได้

มู่นวลนวลยังไม่ได้กินข้าว และเวลาตอนที่กลับไปถึงบ้านนั้นก็ยังไม่ดึก บอดี้การ์ดนำกับข้าวไปอุ่นแล้วยกมาเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะกินข้าว มู่นวลนวลและโม่ถิงเซียวก็กินข้าวโดยนั่งหันหน้าเข้าหากัน

มู่นวลนวลคิดเรื่องราวทุกอย่างได้กระจ่างแจ้งแล้ว จึงรู้สึกอยากอาหารเป็นพิเศษ เมื่อเห็นอาหารจานโปรดก็คีบใส่ถ้วยตัวเอง กินอย่างเต็มปากเต็มคำ ดูแล้วท่าทางจะอารมณ์ดีขึ้นมามาก

โม่ถิงเซียวขมวดคิวเป็นปมแน่นขนัด วางตะเกียบลง จากนั้นจู่ๆ ก็เอ่ยปากถามเธอขึ้นมาว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เกิดเรื่องอะไรขึ้น ในเวลาเพียงแค่สั้นๆ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

ผู้อํานวยการที่รักใคร่เมีย

พี่สาวลูกครึ่งของหมู่นวลนวลไม่ต้องการแต่งงานกับคู่หมั้นที่น่าเกลียดและไร้มนุษยธรรม มารดาผู้ให้กำเนิดคุกเข่าขอร้องเธอ:“ พี่สาวของคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า คุณช่วยเธอได้” เขารู้สึกเศร้ามาก แทนพี่สาวแต่งงาน. ในคืนแต่งงาน ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้วและมองมาที่เธอ: "มันน่าเกลียดเกินไป" เธอคิดว่าทั้งสองจะเคารพซึ่งกัน แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะครอบงำเธอโดยตรง: "ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหนเธอก็เป็นผู้หญิงของผมด้วย" เธอจ้องเขา : "คุณ…คุณทำไม่ได้ … " ชายคนนั้นถอดชุดชั้นในของเธอปลอมตัวออก มองใบหน้าที่สวยงามเดิมของเธอ แล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ: "ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกันและกัน"

Comment

Options

not work with dark mode
Reset