ตอนที่ 2 : 1/2
พยศใต้เขี้ยวพยัคฆ์
ตอนที่ 2 : 1/2
“รสนิยมห่วยแตก”
ยศพยัคฆ์หัวเราะ มองกลับมาที่ผม นัยต์ตาคู่คมสีน้ำตาลแดงสะท้อนวาวแววราวกับกำลังนึกสนุก
“แล้วจะแปลกใจ ว่ามันแย่ได้ยิ่งกว่านี้อีก”
“…” ผมหลุดเบ้หน้า เผลอยียวนอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้แล้วจึงแสร้งพูดให้สุภาพ
“กลับได้หรือยัง..ครับ?” สุภาพที่สุดแล้ว สำหรับร่างสูงตรงหน้าในวันนี้
“อา..น่าเสียดาย ที่ฉันไม่ว่างเล่นกับเธอต่อ แต่พายัพจะดูแลและส่งเธอกลับ”
สิ้นเสียงของพยัคฆ์ พายัพซึ่งยืนเยื้องอยู่ข้างตัวผม ก็ปรายสายตามามอง พร้อมสบตาผมอย่างเฉยชา ตาชั้นเดียวที่นัยน์ตาเป็นสีดำเข้มคู่นั้น ให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
ก่อนที่ร่างหนาจะยื่นมือมาคว้าต้นแขนข้างหนึ่งของผมเอาไว้ รั้งตัวพาให้เดินก้าวไป ทว่าไม่ใช่ทางประตูบานเดิมที่ผมถูกพาตัวเข้ามา แต่เป็นประตูอีกบานทางด้านขวาของห้อง ถัดจากมุมของชั้นวางเอกสารทำจากไม้ขัดเงาอย่างดี ตรงข้ามกับอีกฝั่งที่เป็นมุมของชุดโซฟาหนังดึงกระดุมสีเข้มมันเงา
“ทางออกอยู่ประตูนั้นไม่ใช่หรือไง!” ผมยื้อตัวเองเอาไว้สุดแรงและร้องถามทันที
แต่ที่พายัพทำคือแค่ใช้มืออีกข้างมาบีบต้นคอผมอย่างกับจับแมว แล้วกึ่งลากร่างผมให้เดินเข้าไปในประตูบานที่ผมรู้สึกระแวง
เมื่อเราก้าวพ้นประตูและมันถูกปิดลงด้วยมือของพายัพ ก็เป็นห้องกว้าง ๆ อีกห้องตรงหน้าผม ซึ่งมันตกแต่งและแบ่งสัดส่วนอย่างสวยงาม สมกับที่ตั้งอยู่ในโรงแรมและคาสิโนขนาดใหญ่ แถมในห้องนี้ยังมีห้องแยกอีกราวสองสามห้องเดาได้จากประตูแต่ละบาน
พอให้ผมแค่ได้มองผ่าน ๆ พายัพก็พาผมเข้าไปให้ห้อง ๆ หนึ่ง มันเป็นห้องนอนห้องใหญ่ใช้หินอ่อนเป็นกำแพงในบางส่วน ใกล้ประตูมีโซนสำหรับนั่งเล่นและโต๊ะชุดเซทชั้นวางทีวีที่ด้านบนเป็นกระจกเก็บขอบอย่างดีด้วยสแตนเลส
ตึง!
พายัพผลักตัวผมให้นั่งลงบนโซฟา แผ่นหลังของผมชนเข้ากับพนักพิงด้วยแรงของเขา ร่างสูงชะงักพอเห็นแบบนั้น เขาทำหน้าอย่างกับไม่รู้ตัวว่าตัวเองแรงเยอะ
“เชื่อเถอะ ว่าต่อให้ไปสู้กับหมี นายก็ชนะ” ผมจึงได้โอกาศพูดแซะ
ไม่เรียกพายัพว่าคุณ เพราะแต่เดิมที่ตั้งใจเรียกพยัคฆ์ออกไปแบบนั้น ก็เพื่อจะเยินยอในฐานะที่รู้ตัวว่าเป็นตัวเองลูกหนี้ กับพายัพเลยเหนื่อยจะประจบแล้ว
และเท่าที่รู้ พายัพคงทำตามคำสั่งของพยัคฆ์ ถึงจะเคืองร่างหนาคงไม่พุ่งเข้ามาบีบคอผมหรอก เพราะคำสั่งจากนายใหญ่ของเขา ถ้าฟังไม่ผิด คิดดูดี ๆ แล้วคือให้ดูแลและไปส่ง
จบประโยคของผม พายัพก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนมุมปากได้รูปจะเผลอยิ้มเหมือนประหม่า ชวนให้ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกและยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปอีกจนต้องลดสายตาลงต่ำมองพื้นฆ่าเวลา เมื่อพายัพคร่อมตัวผ่านร่างผมไปหยิบบางอย่างจากชั้นวางของดีไซน์หรูด้านหลัง
“ฮ่า…” กลิ่นโรลออนโทนเย็นอ่อน ๆ ที่ในตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเป็นของพายัพ ทำให้ผมหายใจติดขัด ผมจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาดันอกแกร่ง พอดีกับที่พายัพกำลังขยับห่างออก เมื่อหยิบกล่องสักอย่างที่มองแล้วคือกล่องปฐมพยาบาลออกมา
ตั้งมันลงบนโต๊ะ ก่อนเปิดออก ให้เห็นยาสำหรับทำแผลทั้งหมดในนั้น ที่ล้วนถูกใช้งานจนปริมาณลดลงไปเกือบครึ่งแล้วแทบทั้งหมด ชวนให้น่าฉงนที่คิดได้ว่ามันล้วนถูกใช้ไปสำหรับการทำแผลให้ใครสักคน
“เงยหน้า” เมื่อหยิบยาแบบหลอดเนื้อครีมอันหนึ่งออกมา ร่างสูงก็หันกลับมาสบตาผมแล้วพูดสั้น ๆ
“อึก..!” ก่อนมือหนาจะยื่นมาเชยคางผมขึ้น แล้วใช้มือข้างเดียวรั้งเสื้อแขนยาวของผมลงพร้อมกับลดสายตามองมัน
บนผิวซีด ๆ พายัพก็เริ่มทายาที่ถือลงบนแผลให้ผม พร้อมไปกับที่ผมพูดจาประชดประชันอย่างไม่ได้รู้สึกประทับใจอย่างที่พูดหรือรู้สึกขอบคุณใด ๆ
“ว้าว ใจดีจัง”
“นายกดฉันไว้ให้เขากับมือเลยนะ เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วนี่เอง”
“ตบหัวแล้วลูบหลัง ฉันว่าฉันคงจำไปจนวันตาย”
“…” พายัพฟังพลางขมวดคิ้ว เขาต่างกับพยัคฆ์หลายอย่าง หนึ่งในนั้นที่ชัดเจนมากคือเขาดูจะเก็บเอาคำพูดไร้สาระของผมไปคิดและอดใจเสมอที่จะโต้ตอบ
แต่หลังจากทายาให้ผมเสร็จ ในขณะที่ร่างสูงหันหลังให้เพื่อจะพาผมก้าวออกไปจากห้องและผมกำลังจัดเสื้อแขนยาวให้เข้าที่ เสียงทุ่มต่ำก็ดังมาให้ได้ยิน
“เราทำไม่ถูก..แทนกาย” เขาใช้คำนามเรียกผมอย่างเป็นกันเองกว่าที่ยศพยัคฆ์เรียก
“เรื่องหนีหนี้น่ะเหรอ?” ผมย้อนถามกลับอย่างไม่คิดอะไร เพราะยังไงก็รอดตัวมาได้แล้วในวันนี้ เรื่องข้อตกลงก็ช่างมันสิ ค่อยหาทางแก้อีกที
ผมคิดตื้น ๆ แค่นั้น
แต่หลังจากได้ยินประโยคต่อมาที่พายัพตอบกลับ ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกครั้งกับเรื่องที่ว่าพวกเขาทั้งคู่ ทั้งพยัคฆ์และพายัพมักพูดเหมือนว่ารู้จักผมดี
“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้”
“…”
“แต่คือหลายเรื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา..”
-NEXT-