ตอนที่ 107 ลำเอียงเกินทน
คำกล่าวของอันหลิงเกอเป็นเหตุให้ฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไปชั่วครู่ แต่ผ่านไปมินานนางก็บ่นอีกครั้ง
“เฉว่เอ๋อเติบโตมาข้างกายข้า นางมีนิสัยเยี่ยงไรข้าย่อมรู้ดี คนที่อ่อนโยนและเรียบง่ายเยี่ยงเฉว่เอ๋อมิมีทางสร้างเรื่องใส่ร้ายผู้อื่นอย่างแน่นอน เรื่องที่สำนักศึกษาจิงตูก็เป็นแค่อุบัติเหตุ เฉว่เอ๋อสำนึกผิดแล้วเจ้าก็อย่าเอาแต่กัดนางมิปล่อยเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการบอกว่าอันหลิงเกอเป็นคนเลวและโหดร้าย มิสามารถปล่อยความผิดเล็กน้อยของผู้อื่นไปได้อย่างนั้นหรือ ?
ทว่าอันหลิงเฉว่วางแผนทำลายใบหน้าของนาง เพียงกล่าวมิกี่ประโยคก็สามารถรอดตัวไปได้ ส่วนนางที่กล่าวความจริงและเผยความรู้สึกแท้จริงของอันหลิงเฉว่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับรู้ กลับกลายเป็นคนมิย่อมให้อภัย ใจร้ายแล้งน้ำใจไปเสียได้
อันหลิงเกอมิเคยรู้มาก่อนว่าเวลาที่ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงจักมีตรรกะราวกับโจร
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น มุมปากของอันหลิงเกอก็ยกยิ้มเย้ยหยันออกมา
“น้องหญิงรองโตมาข้างกายท่านย่า ความผูกพันเยี่ยงนั้นหลานย่อมสู้มิได้อยู่แล้ว แต่หลานคิดว่าแม้ท่านย่าลำเอียงขนาดไหนก็คงมิละเลยความจริงแล้วปล่อยผ่านความผิดตามใจเยี่ยงนี้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
“โอหังนัก ! ”
ฮูหยินผู้เฒ่าตะคอกเสียงดังด้วยความโมโห โยนถ้วยชาในมือไปทางอันหลิงเกอ
นางใช้แรงพอสมควร ขณะถ้วยชาลอยมาทางอันหลิงเกอก็ไร้ทีท่าจักหลบแม้แต่น้อย ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เป็นเหตุให้หน้าผากเรียบเนียนเป็นรอยแดงจากการโดนของแข็งกระแทกและโลหิตก็ไหลลงมาตามหน้าผาก ภาพนี้กระทบจิตใจฮูหยินผู้เฒ่าทำให้นางตกตะลึงทันที
“เหตุใดเจ้ามิหลบ ! ” ความโมโหบนใบหน้าจางหายกลายเป็นความร้อนรน นางรีบเรียกสาวใช้เข้ามา “รีบเชิญท่านหมอมาดูแผลให้เกอเอ๋อ อย่าให้ใบหน้าของนางมีแผลเป็นเด็ดขาด”
เพราะโลหิตสีแดงฉานทำให้ใบหน้าอันงดงามของอันหลิงเกอดูมีสีสันยิ่งกว่าเดิม นัยน์ตาดำขลับดุจดั่งน้ำนิ่งไหลลึก นางเพียงใช้สายตาจับจ้องไปยังฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านย่ารู้หรือไม่ หากวันนี้เกอเอ๋อมิโชคดีก็คงมีสภาพเยี่ยงนี้ในสำนักศึกษาจิงตู แต่ท่านย่ามิเห็นใจในสิ่งที่หลานเผชิญแล้วยังยืนข้างน้องหญิงรองมาตำหนิหลานอีก ทำราวกับทุกคนใจร้ายใจดำและมีเพียงนางที่นิสัยดี ถ้าหลานมิให้อภัยก็จักกลายเป็นคนจิตใจคับแคบ คิดเล็กคิดน้อย มิสนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง”
อันหลิงเกอกล่าวราวกับมองมิเห็นสาวใช้สามถึงห้าคนที่กำลังเดินเข้ามา ยังคงพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “มิใช่ว่าทุกความผิดจักให้อภัยกันได้เพียงขอโทษคำเดียว ก็เหมือนที่ท่านย่าโกรธแล้วทำให้เกอเอ๋อบาดเจ็บ มิว่าผู้ใดก็รู้ว่าท่านย่ามิได้ตั้งใจ แต่เป็นแผลแล้วมันก็คือแผล ถึงตอนนี้ท่านจักเรียกหมอแล้วให้รักษาจนมิเห็นแผลนี้ ก็ใช่ว่ามิเคยมีอยู่เจ้าค่ะ”
“เจ้าจักพูดมากเพื่ออันใด ? รักษาแผลบนหน้าต่างหากคือเรื่องสำคัญที่สุด ! ” ฮูหยินผู้เฒ่าร้อนใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วชี้นิ้วใส่สาวใช้ “พวกเจ้ายังมิรีบพาคุณหนูใหญ่ไปทำแผลอีก ถ้าใบหน้าเกอเอ๋อมีแผลเป็นขึ้นมา ข้าจักเอาผิดพวกเจ้า ! ”
พวกสาวใช้เหลือบมองรอยเลือดบนใบหน้าอันหลิงเกอก็มิกล้าพูดมากอีกต่อไป รีบเดินเข้ามาข้างกายอันหลิงเกอแล้วพูดด้วยความเคารพ “คุณหนูใหญ่ รีบไปทำแผลก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ทว่าอันหลิงเกอยังยืนอยู่ที่เดิมมิขยับไปไหน ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิสามารถเปลี่ยนใจนางได้จึงถอนหายใจออกมายาว ๆ “ข้ารู้ว่าวันนี้เฉว่เอ๋อทำผิด แต่เจ้าเอาใบหน้าตนมาล้อเล่นเยี่ยงนี้มิได้ เกอเอ๋อเชื่อย่าเถิด ไปให้ท่านหมอทำแผลก่อน ส่วนเรื่องสำนักศึกษาจิงตูค่อยมาว่ากันทีหลัง”
ค่อยมาว่ากันทีหลัง สุดท้ายมันก็เป็นแค่ข้ออ้างอยู่ดี
สายตาของอันหลิงเกอยังมิเปลี่ยน น้ำเสียงนุ่มนวลแต่เปี่ยมความหนักแน่น “ท่านย่า เกอเอ๋อเพียงต้องการคำสัญญาจากน้องหญิงรองและต้องการคำขอโทษจากใจจริงของนาง มิใช่ผลักความคิดสกปรกทั้งหมดไปไว้อีกด้านหนึ่งเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวจบก็กัดริมฝีปากแน่นคล้ายลังเลอันใดสักอย่าง จากนั้นก็ละสายตาจากฮูหยินผู้เฒ่าแล้วจ้องมองอันหลิงเฉว่ “น้องหญิงรอง วันนี้ข้าจักถามเจ้าแค่ข้อเดียวว่าเจ้าอยากได้มู่ซื่อจื่อจึงจงใจใส่ร้ายข้า แต่สุดท้ายก็โยนหินใส่เท้าตนเอง ตอนนี้เจ้าสำนึกผิดจริงหรือไม่ ? ”
อันหลิงเฉว่เห็นอันหลิงเกอกล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าสาวใช้จึงแสร้งทำท่าทีอ่อนแอ ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ทำตัวน่าสงสารและกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่หยุดเถิดเจ้าค่ะ เฉว่เอ๋อมีบาดแผลขนาดนี้แล้ว ท่านยังมิยอมให้อภัยเฉว่เอ๋ออีกหรือเจ้าคะ ? ”
นางกล่าวจบแล้วหลับตาลงทั้งน้ำตา ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “หรือพี่หญิงต้องให้ข้าตายต่อหน้าจึงจักยอมให้อภัย ? ”
คำกล่าวนี้คล้ายกำลังบอกว่าอันหลิงเกอเป็นคนเลือดเย็น เพียงเพื่อเรื่องเล็กน้อยกลับบีบให้น้องสาวฆ่าตัวตาย
อันหลิงเกอเห็นว่าจนถึงตอนนี้อันหลิงเฉว่ยังปัดความรับผิดชอบก็มิรู้สึกแปลกใจอันใด นางกระตุกยิ้มมุมปาก เผยสีหน้าเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย “น้องหญิงรองกล่าวเลี่ยงว่าตนมิได้รับความเป็นธรรม บอกว่าข้าบีบให้เจ้าไปตาย ถ้าผู้อื่นมาเห็นคงคิดว่าข้ารังแกเจ้า”
อันหลิงเกอหยุดไปครู่หนึ่ง นางเห็นท่าทางของสาวใช้เหล่านั้นอยู่ในสายตาทั้งหมด “แต่เจ้ากล้าพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนมู่ซื่อจื่อต่อหน้าข้า และลากข้าไปชมดอกไม้เพราะอยากผลักข้าเข้าพุ่มหนาม จักให้ข้าอภัยโดยง่ายได้เยี่ยงไร ? ”
มีเรื่องเยี่ยงนี้ด้วยหรือ ?
สาวใช้มิกี่คนที่ได้รับฟังก็ใจเต้นแรงแล้วเงยหน้ามองไปทางอันหลิงเฉว่โดยมิรู้ตัว พวกนางเห็นเพียงใบหน้าอับอายของคุณหนูรองที่กำลังหลบสายตาของทุกคน
ท่าทางร้อนตัวเช่นนี้ทำให้พวกสาวใช้มั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าคุณหนูรองอยากได้ว่าที่พี่เขยและอยากทำลายโฉมของคุณหนูใหญ่ คนที่มีใจคิดร้ายเยี่ยงนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็มิมีใครให้อภัยโดยง่ายทั้งนั้น !
ทว่าในเวลานี้ พวกสาวใช้มองใบหน้าเศร้าหมองของคุณหนูรอง มันกลับเป็นเหมือนการขอโทษจากใจจริงของคุณหนูรอง แต่เรื่องนี้ก็ยากที่คุณหนูใหญ่จักให้อภัย
อันหลิงเฉว่คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักกล่าวเรื่องพวกนี้ต่อหน้าสาวใช้ สายตาประหลาดใจ เย้ยหยันและดูถูกเหยียดหยามพวกนั้นทำให้นางรู้สึกปวดร้าวไปทั้งกาย ราวกับมีคนเอาเข็มมาทิ่มลงบนตัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าขาวซีดของนางเริ่มปรากฏสีแดง มิรู้ว่าเพราะอับอายหรือโทสะ แล้วก็เอาแต่ร้องไห้ออกมา “เหตุใดพี่หญิงต้องพูดจาหยาบคายเช่นนี้ มู่ซื่อจื่อคือมังกรในหมู่ผู้คน ข้าก็แค่มองเขามิกี่ครั้งเท่านั้น ท่านกลับบอกว่าข้าอยากได้เขา ข้าเติบโตมาข้างกายท่านย่า ได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านย่า เรื่องคุณสมบัติทั้งสี่ของสตรีข้าย่อมรู้ดี”
ฮูหยินผู้เฒ่าก็คาดมิถึงว่าในเวลานี้อันหลิงเฉว่จักใช้นางเป็นเกราะกำบัง ทว่านางรักและเอ็นดูอันหลิงเฉว่มาโดยตลอดจึงมิอาจพูดขัดหลานรักต่อหน้าทุกคน นางจึงได้แต่ปิดปากมิกล่าวอันใดออกมา
อันหลิงเกอเหลือบมองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าที่มิกล่าวอันใดเลย นางยกยิ้มมุมปากอีกครา “ในเมื่อน้องหญิงรองบอกว่ารู้เรื่องคุณสมบัติทั้งสี่ของสตรี ข้าก็จักเห็นแก่หน้าท่านย่าแล้วปล่อยเรื่องนี้ไป แต่ถ้ามีครั้งหน้าข้าจักไปทวงความยุติธรรมต่อหน้าท่านพ่อ แม้ท่านย่าจักเข้ามาขวาง ข้าก็มิยอม”