ตอนที่ 113 อันตราย
ณ จวนอ๋องมู่ องค์ชายสี่จ้าวจิงห่าวกำลังตรัสหยอกเย้ามู่จวินฮาน “คาดมิถึงว่าจวินฮานจักใส่ใจคุณหนูใหญ่จวนโหวถึงขั้นบอกให้ข้าไปทูลขอยาชั้นดีมาจากเสด็จย่า นี่เจ้าหลงรักนางเข้าแล้วหรือ ? ”
มู่จวินฮานหยุดมือที่กำลังถือหมากสีดำไว้กลางอากาศ จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและค่อย ๆ วางหมากลงบนกระดานด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เดิมทีนางก็เป็นคู่หมั้นของข้าอยู่แล้ว การที่ข้าเป็นห่วงนางก็ถือว่าสมควร”
นิสัยเจ้าแปลกจักตายไป เมื่อก่อนยังหน้าหลบสตรีที่พุ่งเข้าหาแบบจักเป็นจักตาย ทว่าในเวลานี้มาเอาใจสาวน้อย นี่ผิดวิสัยของเจ้าอย่างเห็นได้ชัด
จ้าวจิงห่าวพร่ำบ่นในใจแต่ดวงพักตร์ยังวางมาดองค์ชายผู้อ่อนโยนดังเดิม “ถ้าเยี่ยงนั้นงานอภิเษกที่ฟู่หวงเลือกให้ก็ทำให้เจ้าสมหวังไปโดยปริยาย”
เมื่อกล่าวจบจ้าวจิงห่าวก็หยุดครู่หนึ่ง พลันในดวงตาก็เคร่งขรึมขึ้น รอยยิ้มขี้เล่นก่อนหน้านี้ก็มลายหายไป “ในตอนนี้อำนาจของบรรดาอ๋องกำลังแผ่ขยายขึ้นเรื่อย ๆ การที่ฟู่หวงให้จวนอ๋องมู่และจวนอ๋องอันเกี่ยวดองกันเพราะอยากทดสอบทั้งสองตระกูล ตัวเจ้าเองต้องระวังไว้ให้มาก อย่าโดนจับจุดอ่อนได้เล่า”
มู่จวินฮานยกยิ้มมุมปาก ในดวงตาคล้ายมีดวงดาวนับพันแพรวพราวอยู่ในนั้น ใบหน้าหล่อเหลาทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกริษยา
“ฮ่องเต้ต้องการลดอำนาจของอ๋องที่มิใช่เชื้อพระวงศ์ในแต่ละตระกูล มิเพียงปราบปรามอำนาจในที่ลับและที่แจ้งแล้ว พระองค์ยังสนับสนุนให้ลู่เทียนหยาเป็นแม่ทัพคุมทหารม้า เป้าหมายคือให้อำนาจทางทหารมาอยู่ในมือของพระองค์เพื่อป้องกันอ๋องนอกเชื้อสายราชวงศ์ก่อกบฏ”
“คงมีแค่เจ้าเท่านั้นที่กล้ากล่าวเยี่ยงนี้” จ้าวจิงห่าวตรัสพร้อมถอนหายใจออกมา จักมีผู้ใดในราชสำนักที่มิเข้าใจความคิดเยี่ยงนี้ของมู่หวง ทว่าอำนาจของอ๋องสกุลต่าง ๆ ก็มีมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้ไท่จูและเติบโตไปพร้อมกับราชวงศ์ซึ่งการกำจัดอำนาจเหล่านั้นต้องใช้เวลา จักทำเพียงกล่าวว่าให้อำนาจนั้นหายไป มันก็หายไปทันทีมิได้
หากนึกถึงตอนที่ราชวงศ์ต้องเผชิญกับอำนาจของอ๋องแต่ละสกุลขึ้นมา แผ่นดินต้าโจวคงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่และต้องมีประชาชนอีกเท่าไรเดือดร้อนไปกับสงครามนี้
น่าเสียดายที่พระองค์เป็นเพียงองค์ชายที่มิได้รับความโปรดปราน อย่างมากสุดในอนาคตก็คงถูกฟู่หวงแต่งตั้งเป็นอ๋องและอยู่ในเขตที่ดินศักดินาไปจนแก่เฒ่า ส่วนเรื่องในราชสำนักก็มิมีทางได้เข้าร่วมแน่นอน
มู่จวินฮานเงยหน้ามองจ้าวจิงห่าวที่นิ่งเงียบไป เขายิ้มอย่างเปี่ยมความนัย “ข้าเพียงกล่าวออกมามิกี่คำ ทว่าภายในพระทัยองค์ชายสี่คงมีความคิดอื่นอยู่กระมัง”
สำหรับเชื้อพระวงศ์ คำว่าความคิดอื่นยังหมายถึงอันใดได้อีก ?
จ้าวจิงห่าวมองมู่จวินฮานด้วยดวงเนตรเบิกกว้าง จากนั้นก็รีบหันไปมองโดยรอบเมื่อเห็นว่ามิมีผู้ใดอยู่ก็สบายใจขึ้นมา “*เปิ่นหวางมิมีอันใดโดดเด่นและไร้ความสามารถ เพียงรอให้ฟู่หวงแต่งตั้งเป็นอ๋อง เพื่อให้ข้าได้มีชีวิตอยู่กับขุนเขาและสายน้ำ ข้ามิกล้ามีความคิดอื่นใดหรอก”
บุรุษทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน จ้าวจิงห่าวมีความคิดแอบแฝง และมู่จวินฮานย่อมรู้ดีแก่ใจ
เมื่อเห็นจ้าวจิงห่าวมิยอมรับ เขาก็มิได้เก็บมาใส่ใจ “คนที่อยู่โดยรอบก็เป็นคนของข้าทั้งนั้น มิมีผู้อื่นได้ยินหรอก”
เมื่อมู่จวินฮานกล้ากล่าวออกมาว่ามิมีคนนอกอยู่บริเวณนี้ จ้าวจิงห่าวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาเพราะกลัวว่าจักมีผู้อื่นได้ยินแล้วอาจทำให้เข้าใจผิดและเกิดเรื่องใหญ่ตามมาภายหลัง หลังจากนั้นเขาก็วางหมากสีขาวในมือลงบนกระดาน มันสามารถกินหมากสีดำได้ “ข้าได้ยินว่าเมื่อมิกี่วันก่อนมู่หวางเฟยหมดสติ เกิดอันใดขึ้นหรือ ? ”
เมื่อนึกเรื่องที่หมู่เฟยเกือบโดนผู้อื่นสังหาร แววตาของมู่จวินฮานก็เย็นชาขึ้นมาทันที “สตรีเรือนตะวันตกอยู่มิสุขจนไปซื้อตัวบ่าวมาวางยาพิษมารดาของข้า”
สตรีเรือนตะวันตกก็คือสนมของอ๋องมู่ ในตอนนั้นนางถือโอกาสตอนที่มู่อ๋องเมาสุราปีนขึ้นเตียงและตั้งครรภ์กับอ๋องมู่อีก 1 คน
เดิมทีอ๋องมู่คิดให้นางทำแท้ง ทว่านางก็เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ใช้ความมีเมตตาของมู่หวางเฟย และตอนที่อ๋องมู่เดินทางเข้าราชสำนัก นางก็วิ่งไปหามู่หวางเฟยเพื่อขอให้ตนได้คลอดบุตรออกมาและเป็นนายของจวนนี้ครึ่งหนึ่ง
จ้าวจิงห่าวพอได้ยินเรื่องนี้มาบ้างและเมื่อได้ฟังมู่จวินฮานกล่าวว่าสตรีผู้นี้จ้างคนลอบทำร้ายมู่หวางเฟย เขาก็อดมิได้ที่จักรู้สึกโกรธขึ้นมา “ในตอนนั้นเพราะมู่หวางเฟยมีจิตใจงดงามจึงยอมให้นางเก็บบุตรไว้ ทว่านางมิรู้บุญคุณก็ว่าไปอย่าง ตอนนี้ยังกล้าให้คนวางยาพิษมู่หวางเฟยอีก ความคิดช่างโหดร้ายเกินไป ! เจ้าจัดการนางเยี่ยงไร ? ”
“เรื่องนี้ยังไร้หลักฐานที่แน่ชัด ข้ามิได้ป่าวประกาศบอกผู้ใด เพียงแค่เตือนหมู่เฟยให้ระวังตนเท่านั้น” มู่จวินฮานให้คนไปสืบเรื่องฟางชิง เขาจึงได้ทราบว่าฟางชิงเข้าจวนมาโดนผ่านทางสตรีเรือนตะวันตก
มู่หวางเฟยเป็นคนจิตใจดีและอ่อนเกินไป นางจึงโดนสาวใช้ที่ปีนขึ้นเตียงเจ้านายรังแกเอาได้
มิเข้าใจว่าเหตุใดมู่หวางเฟยที่จิตใจงดงามจึงให้กำเนิดมู่จวินฮานที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อีกทั้งยังโหดเหี้ยมจนจับมิได้ไล่มิทัน
จ้าวจิงห่าวเข้าใจก็ได้แต่พยักหน้ารับและเมื่อสายตามองลงที่กระดานหมาก เขาก็ค้นพบว่าหมากสีขาวโดนกินจนย่อยยับ แสดงว่าตนพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
“เฮ้อ ฝีมือเล่นหมากล้อมของเจ้าดีมิเปลี่ยน” เขากล่าวอย่างตกใจพร้อมถอนหายใจยาวเหยียด พอดีกับท้องฟ้ามืดแล้วเขาจึงบอกลามู่จวินฮาน “พรุ่งนี้เป็นวันทดสอบของสำนึกศึกษาจิงตู พอถึงเวลานั้นถ้าข้าได้แข่งขันกับเจ้า เจ้าก็ต้องออมมือให้ข้าบ้าง”
มู่จวินฮานทำเพียงคลี่ยิ้มให้และเดินไปส่งจ้าวจิงห่าวที่หน้าประตูจวน
……
การทดสอบของสำนักศึกษาจิงตูจักบอกว่าง่ายก็ง่าย แต่หากบอกว่ายากก็ยาก
สำหรับบุตรหลานขุนนางแล้ว การทดสอบหกทักษะเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยเรียนในสำนักศึกษามาก่อน แม้ทำคะแนนได้มิสูงลิ่ว ทว่าก็สามารถสอบผ่านได้อย่างสบาย
แต่สำหรับสามัญชนแล้ว การที่พวกเขาได้เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ก็ถือว่ามิใช่เรื่องง่าย แล้วจักมีเงินเหลือมาเรียนศาสตร์แขนงอื่นเช่นขี่ม้ายิงธนูได้อย่างไร ?
บรรดาอาจารย์ในสำนักศึกษาจิงตูก็มิได้สนใจว่าศิษย์เหล่านั้นเคยหรือมิเคยเรียนมาก่อน พวกเขาสนใจแค่ทำตามบัญชาของฮ่องเต้และดำเนินการทดสอบไปทีละขั้นเท่านั้น
“ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าการทดสอบของสำนักศึกษาจิงตูในวันนี้แบ่งการทดสอบออกเป็นหกศาสตร์ ได้แก่ศาสตร์มารยาททั้งห้า ศาสตร์ดนตรีทั้งหก ศาสตร์ยิงธนูทั้งห้า ศาสตร์การควบอาชาทั้งห้า ศาสตร์อักษรทั้งหกและสุดท้ายคือศาสตร์แห่งการคำนวณทั้งเก้า” อาจารย์บนแท่นทำการป่าวประกาศ จากนั้นก็กล่าวต่อ “นอกจากนี้ยังมีศาสตร์เฉพาะของลัทธิเต๋าซึ่งฮ่องเต้ทรงมีราชโองการให้เปิดสำนักศึกษาจิงตูเพื่อบ่มเพาะความสามารถให้ต้าโจวของเรา บัดนี้ทุกท่านคงเข้าใจกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาพอสมควรแล้ว ต่อไปจักเริ่มการทดสอบเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้นสืบไป”
บรรดาศิษย์ที่นั่งอยู่จักมีผู้ใดสนใจคำกล่าวทางการของอาจารย์บ้าง พวกเขาแค่กำลังประหม่าและตื่นเต้นกับการทดสอบที่กำลังจักเกิดขึ้นเท่านั้น
ในตอนนี้อันหลิงอีนั่งอยู่ด้านข้างอันหลิงเกอ เมื่อได้ยินว่าศาสตร์แรกที่ทดสอบคือการขี่ม้ายิงธนู ดวงตาของอันหลิงอีก็ฉายแววดีใจขึ้นมาทันที นางก้มหน้าซ่อนสายตาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นอันหลิงเกอขึ้นไปบนหลังม้า นางก็ขยิบตาให้คนด้านข้างและมุมปากก็ยกยิ้มอย่างย่ามใจ
การทดสอบในครานี้ ม้าที่เหล่าคุณหนูใช้ทดสอบย่อมดุดันมิเท่าม้าที่พวกบุรุษใช้ อย่างมากสุดก็เป็นลูกม้าที่ยังมิโตเต็มวัยจึงเชื่องมาก ทว่าอันหลิงเกอที่เพิ่งขึ้นไปนั่งบนหลังม้าก็ทำให้มันส่งเสียงดังขึ้นมา หลังจากนั้นอาชาก็ยกเกือกม้าขึ้นพร้อมพุ่งตัวออกไปด้านหน้าทันที
ม้าตัวนี้วิ่งเร็วมากจนเกินความคาดหมายของคนรอบข้าง มันวิ่งขึ้นไปบนภูเขาหลังสำนักศึกษาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่าด้านหลังของภูเขาเป็นหน้าผา !
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น ใบหน้าของมู่จวินฮานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบควบอาชาตัวหนึ่งไล่ตาม ขณะควบอาชาเขาก็ยิงธนูไปด้วยและในเสี้ยวเวลาต่อมาลูกธนูสีดำก็ปักเข้าที่ดวงตาของม้าตัวที่อันหลิงเกอควบอยู่
ม้าตัวนั้นกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด อันหลิงเกอจึงใช้โอกาสนี้หันศีรษะอาชาเพื่อเลี้ยวหลบอันตรายจากการตกหน้าผามาได้ ทว่าม้าตัวนั้นก็พุ่งเข้าหาฝูงชนแทน
…
*เปิ่นหวาง คือคำที่เชื้อพระวงศ์ชายใช้เรียกแทนตนเอง