ตอนที่ 120 ความคิดของหลี่ซื่อ
“พี่หญิงขอรับ ท่านโดนอันหลิงอีลอบทำร้าย แต่ท่านย่าปล่อยนางไปโดยง่าย ทำเกินไปจริง ๆ ข้าจักไปสั่งสอนนางแทนท่านเดี๋ยวนี้”
ใบหน้าเรียวผอมของอันหลิงจุนเต็มไปด้วยโทสะ อันหลิงอีมีสิทธิ์อันใดวางแผนสังหารพี่หญิงของตน สุดท้ายยังให้สาวใช้คนสนิทรับโทษแทนและยังมิโดนตำหนิหรือโดนลงโทษแม้แต่น้อย
อันหลิงเกอเห็นท่าทีของอันหลิงจุนก็ยกยิ้มและส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู นางกล่าวปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าอย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลย เรื่องผลักความผิดให้สาวใช้นางนั้นก็เป็นความคิดของพี่เอง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเพิ่งกลับมาอยู่ที่จวน จึงมิควรมีเรื่องกับอันหลิงอี เพราะจักทำให้ท่านย่าและท่านพ่อรู้สึกแย่ต่อเจ้า”
“ข้ามิเคยอยากได้ความรู้สึกดี ๆ จากพวกเขาเลย” อันหลิงจุนมุ่ยปากมิแยแส เพราะตั้งแต่เขาถูกส่งตัวเข้าวัง ท่านพ่อและท่านย่าก็มิเคยไปเยี่ยมสักคราจนทำให้เขารู้สึกว่าโดนทอดทิ้งไปแล้ว
ถ้ามิได้เป็นเพราะฮ่องเต้ออกราชโองการให้ตั้งสำนักศึกษาจิงตูขึ้นมา เขาก็ยังต้องอยู่ในวังและมิรู้ว่าจักได้ออกมาวันใด
ท่าทีของอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังอันหลิงจุนกล่าวเยี่ยงนั้น นางมองเข้าไปในดวงตาอันหลิงจุนและกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “จุนเกอร์เอ๋อ เจ้าต้องรู้ว่าตนเป็นซื่อจื่อของจวนอ๋องอันแห่งนี้ คำกล่าวและการกระทำทุกอย่างของเจ้าถือเป็นหน้าตาของจวนโหว ถ้าเจ้ามิให้ความสำคัญต่อท่านพ่อและท่านย่า แล้วโดนผู้อื่นเห็นเข้าก็อาจโดนคนต่ำทรามใช้เรื่องนี้มาโจมตีเจ้าได้”
แล้วมันเกี่ยวอันใดกัน ?
อันหลิงจุนกำลังอ้าปากจักเถียงออกมา แต่เห็นใบหน้าของอันหลิงเกอเสียก่อน เขาจึงมิได้กล่าวอันใด
เขาเพียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกลัวพี่หญิงโกรธขึ้นมาจริง ๆ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ต่อไปจักมิทำเยี่ยงนี้อีก ท่านอย่างโกรธข้าเลย”
อันหลิงเกอจักโกรธอันหลิงจุนได้เยี่ยงไร ? นางแค่กังวลว่าอันหลิงจุนอยู่ในวังมานานและความสัมพันธ์ระหว่างทุกคนในจวนยังมิดีอีก ด้วยนิสัยที่หุนหันพลันแล่นและหงุดหงิดง่ายเช่นนี้จึงง่ายต่อการโดนผู้อื่นเอาเปรียบ
ทว่าเรื่องเยี่ยงนี้มิว่านางกล่าวเยี่ยงไร จุนเกอร์เอ๋อก็คงมิมีทางจดจำใส่ใจ
นางถอนหายใจ ใบหน้าที่เคยสงบนิ่งมาโดยตลอดก็ฉายความเศร้าสร้อยและหดหู่ออกมา “เจ้ากลับเรือนเถิด เมื่อครู่ท่านย่าอนุญาตให้พี่หยุดเรียนสองสามวัน และพี่จักใช้โอกาสนี้ออกไปเดินเล่นเสียหน่อย”
อันหลิงจุนยังอยากกล่าวอันใดบางอย่าง แต่พอเห็นอันหลิงเกอมิอยากกล่าวแล้ว เขาก็ปิดปากเงียบและบอกลาอันหลิงเกอเพื่อกลับเรือน
อีกด้านหนึ่ง หลังจากหลี่ซื่อและอันหลิงอีกลับถึงเรือน พวกนางก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมใบหน้าเปี่ยมด้วยความสุข “ท่านย่ามิเอาความเรื่องนี้แล้ว ดีเสียจริงเจ้าค่ะ”
อันหลิงอีมองไปทางหลี่ซื่อแล้วคว้าแขนมารดาส่ายไปมา นางกล่าวด้วยความสงสัย “ท่านแม่ เหตุใดท่านดูมิค่อยดีใจเจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อกำลังจดจ่อกับความคิดตนเอง เมื่อถูกอันหลิงเกอเรียกสติกลับมาก็ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ว่าแม่มิดีใจ เพียงแต่กำลังคิดเรื่องหนึ่งอยู่”
อันหลิงอีมิได้เอ่ยถามว่าหลี่ซื่อกำลังคิดอันใดอยู่เพราะถ้ามารดาอยากกล่าวก็จักบอกเอง
หลี่ซื่อถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเนียนละเอียดแต้มความเยือกเย็น “แม่คิดแล้วว่าสตรีชั้นต่ำอันหลิงเกอจัดการยากนัก เราวางแผนลอบทำร้ายนางหลายคราแล้ว สุดท้ายนางก็รอดพ้นไปได้และทำให้พวกเราเดือดร้อนเสียเอง”
อันหลิงอีคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็รู้สึกหงุดหงิด อันหลิงเกอเป็นราวกับปีศาจมิมีผิด เพราะ
มิว่าทำเยี่ยงไรก็มิตายเสียที
“ท่านแม่ ท่านกล่าวเยี่ยงนี้หมายความว่ามีแผนจัดการนางแล้วหรือเจ้าคะ ? ” หลังได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเยี่ยงนั้น อันหลิงอีก็รู้ทันทีว่ามารดากำลังคิดอันใดอยู่ นางจึงยกยิ้มมุมปากและตั้งตารออย่างมีความสุข
หลี่ซื่อพยักหน้าช้า ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา “สิ่งที่ฮูหยินใหญ่อันเหลือทิ้งไว้ก็มีแค่คนชั้นต่ำอันหลิงเกอและอันหลิงจุน”
ก่อนหน้านี้อันหลิงจุนมีฐานะซื่อจื่อและถูกส่งเข้าวังเพื่อเป็นเพื่อนเรียนขององค์ชายเก้า แต่ผู้ใดจักมิรู้ว่านี่เป็นข้ออ้างเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วฮ่องเต้มิไว้วางพระทัยจวนโหวจึงให้อันหลิงจุนไปเป็นตัวประกันในวัง
ตั้งแต่สมัยโบราณ คนที่เป็นตัวประกันมิเคยมีจุดจบดีสักคน อันหลิงจุนที่โดนหลี่กุ้ยเฟยวางแผนทำร้ายมาตลอด แล้วชีวิตในวังของเขาจักดีได้เยี่ยงไร
ดังนั้นหลี่ซื่อมิได้เก็บอันหลิงจุนมาใส่ใจ เพราะมิช้าก็เร็วเขาต้องโดนสังหารทิ้งในวัง
ผู้ใดจักคาดคิดว่าฮ่องเต้ลงมือเยี่ยงนี้คือปล่อยอันหลิงจุนออกมาและกลับมาเป็นซื่อจื่อของจวนโหวดังเดิม
ปีนี้เหยียนเกอร์เอ๋อของนางเพิ่งอายุ 8 ขวบ ทว่าก็ถึงวัยที่รู้ความแล้ว เมื่อตอนที่อันหลิงจุนถูกส่งตัวเข้าวัง เว่ยอี๋เหนียงก็พาอันหลิงหยูไปอยู่ที่เรือนเพียน ดังนั้นเหยียนเกอร์เอ๋อจึงกลายเป็นคุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ที่สุดในจวนโหว
ตอนนี้เว่ยอี๋เหนียงถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวรับใช้จึงย้ายจากเรือนเพียนมาอยู่ที่เรือนหลัก ส่วนอันหลิงหยูก็ยกระดับตามไปด้วย ตำแหน่งของเหยียนเกอร์เอ๋อจึงโดนผู้อื่นสั่นคลอน และตอนนี้ยังมีอันหลิงจุนมากดหัวอีก เหยียนเกอร์เอ๋อจึงได้แต่เป็นลูกอนุภรรยาที่มิสามารถออกหน้าออกตาได้
เมื่อนึกได้เช่นนี้แววตาของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวกับอันหลิงอีว่า “อันหลิงเกอเจ้าเล่ห์รับมือยาก แต่ได้ยินคนในวังบอกว่าอันหลิงจุนมีนิสัยโมโหง่าย ขอแค่สร้างกับดักไว้ เขาต้องเข้ามาติดกับแน่นอน จากนั้นพวกเราก็ยืมมืออันหลิงจุนเพื่อโจมตีพี่สาวเยี่ยงอันหลิงเกอแรง ๆ สักที”
“เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ” อันหลิงอีกล่าวพร้อมดวงตาเป็นประกาย จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงอุบายที่จักลงมือด้วยท่าทางที่อดใจรอมิไหว
หลี่ซื่อกดเสียงต่ำ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็สนทนากันพักหนึ่ง อันหลิงอีคลี่ยิ้มชั่วร้ายออกมา “ท่านแม่ วิธีของท่านดีมากเหลือเกิน อันหลิงจุนต้องติดกับพวกเราแน่นอน พอถึงเวลานั้นพวกเราก็ลากอันหลิงเกอตามไปด้วย”
หลี่ซื่อก็มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางอยู่ในจวนโหวมาหลายปีย่อมรู้ดีว่าอันหลิงจุนเคียดแค้นตนมากเพียงใด
ทว่าอันหลิงจุนยิ่งแค้นมากเท่าไรยิ่งดีเพราะนางก็จักลงมือง่ายขึ้นเท่านั้น
……
ทางด้านอันหลิงเกอยังมิทราบว่าความกังวลของตนจักกลายเป็นจริงเมื่อหลี่ซื่อจักลงมือกับอันหลิงจุน
ตอนนี้นางนั่งอยู่ที่โต๊ะและอ่านจดหมายที่ฉู่หยูส่งมา
เรื่องจัดหาตัวยาครั้งก่อนคลี่คลายแล้ว ลู่จิงหยูก็เดินทางไปรอบเมืองหลวงเพื่อเก็บสมุนไพรให้ได้มากที่สุด เดิมทีเงินในมือนางก็มีมิมากอยู่แล้ว แม้ได้มาจากหอจิ่นซิ่วเล็กน้อยแต่ก็มิพออยู่ดี
นี่ยังผ่านไปมิถึงหนึ่งเดือน นางก็ใช้เงินเกือบหมดแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปการกักตุนสมุนไพรของนางก็มิมากนักและถ้าหากเกิดโรคระบาดขึ้นมาก็คงเหมือนการนำน้ำถ้วยเดียวไปดับไฟที่กำลังไหม้ฟืนทั้งกอง
ในขณะที่อันหลิงเกอกำลังครุ่นคิดหาวิธี ปี้จูก็เปิดม่านและเดินเข้ามา “คุณหนูใหญ่ ช่วงนี้คนครัวเริ่มเกียจคร้านอีกแล้ว ซุปเห็ดหูหนูขาวชามเดียวก็ต้องให้ข้าไปกำชับถึงสามสี่รอบ มิเหมือนคนฝั่งห้องเก็บสมบัติที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยมิตกหล่นเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อเป็นคนคุมห้องครัว ส่วนห้องเก็บสมบัติก็มีหวังซื่อจัดการ คนหนึ่งเป็นศัตรูกับนาง ส่วนอีกคนก็คิดดึงนางเป็นพวก แล้วประสิทธิภาพในการทำงานจักเหมือนกันได้เยี่ยงไร
ยิ่งไปกว่านั้น อันหลิงอีลอบทำร้ายตนมิสำเร็จ ทั้งยังดึงสาวใช้คนสนิทมารับผิดแทน ฮูหยินผู้เฒ่าตำหนินางต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น แม้หลี่ซื่อมิกล้าลงมือกับตนโดยตรง แต่การสั่งคนให้สร้างความลำบากแก่ตนก็ทำได้มิยาก
พอกล่าวถึงห้องเก็บสมบัติ ดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายขึ้นมา