ตอนที่ 123 จับได้
สาวใช้คนใหม่กล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจัง “แต่บ่าวทราบดีว่าตนเป็นคนโง่เขลา มิเอาไหน ฝีมือก็มิดี กลัวจักทำตัวไร้ประโยชน์ต่อคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
“ข้ามิกลัวเจ้าไร้ประโยชน์หรอก” อันหลิงอีกล่าวออกมาพร้อมเก็บสายตาเย็นชาเอาไว้ “ตอนนี้ข้าอารมณ์มิดี เจ้าออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อข้าหน่อย”
สาวใช้มิกล้ารอช้าจึงรีบเดินตามอันหลิงอีไปด้านนอกทันที
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมด้วยความมืดทั่วทุกพื้นที่ ดวงจันทร์ลอยเด่น ดวงดาวมากมายทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ จวนโหวที่เงียบสงัดแม้แต่บ่าวรับใช้ที่ลาดตระเวนและรักษาประตูยามราตรีก็ยังมิเห็นแม้แต่เงา
อันหลิงอีพาสาวใช้เดินรอบจวน ท้ายที่สุดมิรู้เพราะอันใดนางจึงวกกลับมาที่เรือนฉีอู๋ของอันหลิงเกอ
“คุณหนูสาม นี่เป็นเรือนของคุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ”
สาวใช้เตือนเสียงเบา แต่อันหลิงอีถลึงตาใส่นาง “ข้ารู้อยู่แล้วว่านี่คือเรือนของอันหลิงเกอ เจ้าคิดว่าข้ามิเคยมาหรือเยี่ยงไร ? ”
ย่อมมิใช่ เพียงแต่เวลานี้คุณหนูใหญ่คงเข้านอนแล้ว ถ้าคุณหนูสามอยากหาเรื่องคุณหนูใหญ่ก็ควรรอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยว่ากันอีกที
สาวใช้แอบบ่นในใจ แต่นางกลับเห็นเรือนของอันหลิงเกอยังมีแสงไฟอยู่ ทันใดนั้นก็มีร่างของใครบางคนเดินออกมาจากด้านในเรือน
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นอันหลิงอีก็รีบถอยไปข้างหลังพร้อมดึงตัวสาวใช้ให้มาซ่อนตัวในเงามืดด้วยกัน “ดึกถึงเพียงนี้ อันหลิงเกอยังมินอน อีกทั้งคนที่ออกมาจากเรือนก็ดูเหมือนเป็นหมิงซินสาวใช้ของนาง”
อันหลิงอีบ่นพึมพำเบา ๆ เมื่อเห็นหมิงซินเดินออกจากประตูเรือน ความสงสัยของนางก็เพิ่มขึ้นอีก หลังจากนั้นอันหลิงอีก็หันมาสั่งสาวใช้ข้างกายแล้วตามหมิงซินไปเงียบ ๆ
หมิงซินถือโคมไฟเดินไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็หันมองรอบข้างตลอดเวลา ท่าทางมีลับลมคมในเยี่ยงนี้ เป็นเหตุให้อันหลิงอีรู้สึกว่าต้องมีอันใดซ่อนอยู่ นางจึงเดินตามหลังหมิงซินไปโดยเว้นระยะมิใกล้มิไกลจนเกินไป
ผ่านไปมินานหมิงซินก็เดินมาถึงประตูจวน อันหลิงอีที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ก็ค่อย ๆ ยื่นหน้าแอบมอง
นางเห็นเพียงหมิงซินคุยกับคนเฝ้าประตูแค่มิกี่ประโยค จากนั้นก็หยิบเงินจากในกระเป๋าแขนเสื้อส่งให้อีกฝ่ายที่คลี่ยิ้มแล้วเปิดประตูออกเบา ๆ
มีเรื่องลับลมคมในจริง ๆ ด้วย !
อันหลิงอีกำลังคิดว่าจักพุ่งออกไปจับตัวหมิงซินไว้ แต่แล้วนางก็เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ออกจากจวน ทว่ามีคนรูปร่างผอมสูงเดินเข้ามาในจวนแทน
ฝีเท้าของอันหลิงอีหยุดลง สาวใช้ที่ตามหลังก็มิกล้าส่งเสียงได้แต่มองตามอันหลิงอีจึงเห็นผู้ชายคนหนึ่งหอบห่อผ้าห่อใหญ่เข้ามาในจวนแล้วเดินตามหลังหมิงซินตรงไปยังเรือนฉีอู๋
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ” อันหลิงอีพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนข้างดูถูก แต่นางมิได้รีบจับเป้าหมายทันที ทว่ายังเดินตามหลังหมิงซินและผู้ชายคนนั้นจนพวกเขาเข้าไปในเรือนฉีอู๋ พลันมุมปากของอันหลิงอีจึงยกยิ้มขึ้น
“อันหลิงเกอ คราวนี้สาวใช้ของเจ้าทำเรื่องไร้ยางอายก็อย่าโทษว่าข้าใจร้ายแล้วกัน”
หลังจากนั้นอันหลิงอีก็ออกคำสั่งกับสาวใช้ให้ไปดึงดูดความสนใจพวกบ่าวลาดตระเวนในจวนจนละเลยการตรวจเรือนฉีอู๋ พอถึงเวลานั้นก็บอกว่าอันหลิงเกอเกลียดความเหงาจนลอบคบชู้กับชายอื่น หากจวนอ๋องมู่ทราบเรื่องจักต้องรังเกียจหญิงสกปรกเยี่ยงอันหลิงเกอจนถอนหมั้นกับนาง
ทว่าหมิงซินมิได้ไปที่เรือนของอันหลิงเกอแล้วพาผู้ชายคนนั้นไปที่เรือนคนใช้แทน
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้นอันหลิงอีก็แอบขบกรามแน่น ต่อให้บ่าวลาดตระเวนมาในตอนนี้
ก็มิสามารถสาดโคลนใส่อันหลิงเกอได้
นางกระทืบเท้าด้วยความโมโห แต่หางตาก็เหลือบไปมองห่อผ้าใบนั้น นางจึงออกคำสั่งให้สาวใช้แอบตามไปดูว่าในห่อผ้ามีสิ่งใดอยู่
หมิงซินและชายผู้นั้นเข้าไปในห้อง แม้สาวใช้ค่อนข้างหวาดกลัวแต่ก็มิกล้าขัดคำสั่งของนายจึงได้แต่งัดความกล้าออกมาแล้วแอบอยู่นอกเรือนคนใช้โดยเจาะรูตรงหน้าต่างเพื่อมองสถานการณ์ด้านใน
หมิงซินที่อยู่ในห้องแกะห่อผ้าออก เผยให้เห็นสมุนไพรเต็มไปหมด สาวใช้คนใหม่มิกล้าแอบมองนานจึงรีบกลับออกมารายงานอันหลิงอี
“เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่ามีอันใดอยู่ในห่อผ้า ? ” อันหลิงอีเอ่ยถาม
สาวใช้พยักหน้าแล้วกล่าวด้วยท่าทางตื่นกลัว “เรียนคุณหนูสาม เมื่อครู่บ่าวมองดีแล้วจึงเห็นว่าในห่อผ้าคือสมุนไพรเจ้าค่ะ”
สมุนไพรน่ะหรือ ?
อันหลิงอีขมวดคิ้วมุ่น มิรู้ว่าบุรุษผู้นั้นเอาสมุนไพรมาตั้งมากมายเพื่อสิ่งใด
อันหลิงอีค่อนข้างผิดหวังและมิมีความคิดอื่นอีกจึงพาสาวใช้กลับเรือน
เช้าวันถัดมา หลี่ซื่อเรียกอันหลิงอีมาพบและกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “อีเอ๋อ เมื่อวานนี้แม่ส่งคนเข้าวังเพื่อมอบจดหมายให้หลี่กุ้ยเฟย เดิมทีคิดให้นางช่วยสืบข่าวว่าฮ่องเต้คิดเยี่ยงไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาจิงตู แต่คาดมิถึงว่าหลี่กุ้ยเฟยบอกว่าช่วงนี้ฮ่องเต้ยุ่งมากจึงมิได้มาหานางนานแล้ว นางจึงช่วยหาข่าวให้มิได้”
“เป็นไปได้หรือเจ้าคะ ? ” อันหลิงอีมิได้เป็นห่วงตนเองเพราะมิว่าอย่างไรสาวใช้คนสนิทก็รับโทษแทนไปแล้ว ผู้ใดยังจับผิดนางได้อีก ?
ทว่าท่านตาของนางเป็นขุนนางตัวเล็ก ๆ จึงมิได้มีอันใดให้พึ่งพิง การได้อยู่ในจวนโหวอย่างมีหน้ามีตาถึงเพียงนี้ก็เพราะหลี่กุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ พวกนางจึงมีบารมีตามไปด้วย
หากหลี่กุ้ยเฟยโดนฮ่องเต้ทอดทิ้ง อันหลิงเกอและอันหลิงเฉว่จักมิมากดหัวนางและเป็นเหตุให้นางทุกข์ทรมานชั่วชีวิตเลยหรือ
หลี่ซื่อเล่าเรื่องที่รู้ออกมา “หลี่กุ้ยเฟยบอกว่าช่วงนี้แคว้นชิงเยว่มารุกรานชายแดนโดยเคลื่อนกองทัพหมายทำสงคราม ฮ่องเต้จึงวุ่นวายเพราะเรื่องนี้แล้วจักมีพระทัยที่ไหนไปสนใจวังหลัง”
ชายแดนฝั่งนี้ถูกกั้นด้วยหุบเขาและแม่น้ำหลายพันแห่ง อันหลิงอีมิได้เกิดในตระกูลขุนศึกย่อมมิเข้าใจเรื่องพวกนี้
“แล้วลูกพี่ลูกน้องของลูกล่ะเจ้าคะ ท่านพี่มักได้รับข่าวสารบางอย่างจากฮ่องเต้อยู่เสมอ”
หลี่ซื่อถอนหายใจ “จักง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เรื่องงานสมรสของเจ้ากับจวนอ๋องอี้ก็ได้องค์ชายเจ็ดเป็นคนออกหน้าปฏิเสธให้ แต่เพราะเรื่องนี้องค์ชายเจ็ดจึงผิดใจกับจวนอ๋องอี้ และฮ่องเต้ก็ตำหนิเขาเพราะเรื่องนี้”
อันหลิงอีมิเคยรู้มาก่อนว่าฮ่องเต้ทรงตำหนิองค์ชายเจ็ดเพราะจวนอ๋องอี้ เพราะนั่นเป็นถึงโอรสของหลี่กุ้ยเฟยที่ทรงโปรดปราน !
“หากท่านพี่จับตัวสายลับของแคว้นชิงเยว่ได้ในเวลานี้ ฮ่องเต้จักทอดพระเนตรท่านพี่ใหม่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” อยู่ ๆ อันหลิงอีก็โยงสองเรื่องเข้าด้วยกันและความกังวลบนใบหน้าก็จางหายไป มุมปากยกยิ้มอย่างชั่วร้าย
หลี่ซื่อเห็นท่าทางของนางก็รู้ทันทีว่าต้องมีความคิดบางอย่างซ่อนอยู่ “จักเอาเรื่องนี้มากล่าวเล่นมิได้ หรือเจ้ามีข่าวของสายลับนั้นแล้ว ? ”
การส่งสายลับเข้าไปแทรกซึมระหว่างแคว้นมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแค่มีคนน้อยมากที่จักสงสัยและจับตัวพวกเขาได้
อันหลิงอีขยับเข้าใกล้หลี่ซื่อ จากนั้นก็ยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อวานข้าเห็นสาวใช้ของอันหลิงเกอลอบพาชายหนุ่มเข้าเรือนยามค่ำคืน อีกทั้งเขายังหอบห่อผ้าใบใหญ่และในนั้นก็เต็มไปด้วยสมุนไพรเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อเงียบไปครู่หนึ่งและก็เข้าใจความหมายของอันหลิงอีทันที “จักบอกว่าชายผู้นั้นดูน่าสงสัยใช่หรือไม่ ? ”