ตอนที่ 131 มาตรการรับมือ
มู่จวินฮานและซูม่อออกจากจวนอ๋องมู่โดยมิได้นั่งรถม้า พวกเขาเปลี่ยนเป็นชุดสีดำสนิทและเดินเท้ามายังจวนโหวราวกับเป็นคนสัญจรทั่วไป
บนถนนฉางอาน ผู้คนเดินกันขวักไขว่ พ่อค้าหาบเร่หรือพ่อค้าแม่ขายตลอดสองข้างทางคนก็ตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกลูกค้า
แม้ยังมิถึงฤดูร้อนแต่เมืองหลวงก็เริ่มอบอุ่นแล้ว มีผู้คนจำนวนมิน้อยเปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง ส่วนเด็กหลายคนก็มิได้ออกจากบ้านเพราะลมหนาวที่รุนแรงตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บัดนี้จึงออกมาวิ่งเล่นตามท้องถนนอย่างสนุกสนาน
ผู้เฒ่าที่ขายสุราหัวเราะอย่างมีความสุขในขณะรินสุราใส่จอก ทางด้านบัณฑิตรูปร่างผอมบางก็ตั้งแผงข้างถนน เขากำลังรับจ้างเขียนจดหมายให้ใครสักคน เมื่อมองอีกมุมก็เห็นหญิงสาวแต่งตัวสะอาดสะอ้านผู้หนึ่งกำลังต่อรองราคากับพ่อค้า ในที่สุดเมืองหลวงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
มู่จวินฮานกวาดสายตามองไปโดยรอบเพียงครู่เดียว
บัดนี้เมืองหลวงดูเหมือนมีชีวิตชีวาก็จริง แต่แท้ที่จริงกำลังมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่เพราะฮ่องเต้กังวลว่าอำนาจของพระองค์จักถูกโค้นล้มจึงระแวงอ๋องสกุลต่าง ๆ มาโดยตลอดและสนับสนุนพวกขุนนางหน้าใหม่
ในเวลานี้พวกอ๋องชนชั้นสูงและขุนนางใหม่กำลังทำสงครามการเมือง ส่วนทางองค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดก็จับกลุ่มต่อสู้กันอย่างลับ ๆ ทั้งที่รู้แก่ใจดีแต่ก็แสร้งทำตัวสงบเสงี่ยมหลอกลวงชาวบ้านตาดำ ๆ ว่าสถานการณ์ยังปกติ
มุมปากของมู่จวินฮานยกยิ้ม ทว่าในดวงตาเฉียบคมคู่นั้นเปื้อนไปด้วยความเย้ยหยัน
ซูม่อเดินตามหลังมู่จวินฮานและพยายามเบียดคนที่เดินเข้ามาคนแล้วคนเล่า
“คุณชายขอรับ คุณชายรอบ่าวด้วยขอรับ”
เขาเปลี่ยนคำเรียกขานเพื่อจงใจปิดบังฐานะมู่จวินฮาน ขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ วิ่งตามเจ้านาย
มู่จวินฮานได้ยินก็เริ่มเดินช้าลง ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเห็นหน้าเขาแล้วรีบก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังตรอกด้านข้างทันที
การกระทำลับลับล่อล่อของคนผู้นี้ ทำให้มู่จวินฮานเปล่งแววตาสงสัยออกมา แต่เขาก็มิได้ติดตามไป
เมื่อมาถึงจวนโหว ซูม่อก็ดึงป้ายในแขนเสื้อออกมาให้คนเฝ้าประตูดูครู่หนึ่งแล้วเก็บเข้าที่เดิมทันที
คนเฝ้าประตูคิดคำนับ แต่ซูม่อรีบยกมือปราม “ซื่อจื่อมิอยากให้ผู้อื่นรับรู้ถึงการมาเยือนในครานี้ เจ้าไปเรียนคุณหนูใหญ่ว่าซื่อจื่อมีเรื่องสำคัญจักคุยด้วย”
คนเฝ้าประตูจึงรีบพามู่จวินฮานมายังโถงด้านหน้าและกล่าวด้วยความเคารพ “ท่านมู่ซื่อจื่อรอสักครู่ขอรับ ข้าน้อยจักรีบไปรายงานคุณหนูใหญ่เดี๋ยวนี้”
มู่จวินฮานขานรับสั้น ๆ ส่วนคนเฝ้าประตูก็รีบหมุนตัวเดินออกไปรายงานที่เรือนฉีอู๋
…..
ณ เรือนฉีอู๋ หมิงซินกำลังคุกเข่าตรงหน้าอันหลิงเกอ นางมีใบหน้าแห่งความรู้สึกผิดและโทษตนเอง
“คุณหนูใหญ่ เพราะบ่าวทำงานพลาด มิรู้เกิดปัญหาขึ้นตรงไหนจึงทำให้ผู้อื่นรู้เรื่องที่ท่านกำลังกักตุนยาสมุนไพรจนเกือบทำให้ท่านต้องโทษกบฏ เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ ! ”
นางก้มหน้า ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสและกล่าวโทษตนเอง
คุณหนูช่วยชีวิตนางจากฝันร้ายและยังสอนนางอีกหลายสิ่งหลายอย่างด้วยความใส่ใจ คุณหนูอุตส่าห์ไว้ใจให้ทำงานสำคัญ แต่นางมิอาจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังเกือบทำร้ายคุณหนู หากคราวนี้เกิดอันใดขึ้นกับคุณหนู ต่อให้นางตายไปนับหมื่นครั้งก็ยังมิอาจชดใช้
อันหลิงเกอเห็นท่าทีและคำขอโทษของหมิงซินก็โบกมือให้นางและมิมีท่าทีตำหนิแม้แต่น้อย
“เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจใช้เรื่องนี้ทำร้ายข้า เพียงแค่คว้าโอกาสนี้ได้โดยบังเอิญเท่านั้น”
ดวงตาคู่งามของนางก็เปล่งประกายเพราะพอเดาสาเหตุของเรื่องนี้ออกแล้ว “คนที่ทำให้องค์ชายเจ็ดออกโรงจัดการข้าได้ นอกจากหลี่อี๋เหนียงแล้วคงมิมีผู้อื่นทำได้”
“ฮูหยินรองจักทราบเรื่องนี้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ?”
ใบหน้าเล็กกลมของปี้จูเปื้อนไปด้วยความสงสัย สำหรับเรื่องกักตุนยาสมุนไพร ทั้งเรือนฉีอู๋มีแค่พวกนางสามคนที่รู้เรื่อง ส่วนข้างนอกก็มีแค่ฉู่หยูและลู่จิงหยูเท่านั้น
ในเมื่อพวกนางจงใจทำเรื่องนี้อย่างเป็นความลับ หมิงซินเองก็มีนิสัยสุขุมมิน่าปล่อยให้ผู้อื่นจับได้
ความสงสัยของปี้จูมิอาจคลาย ส่วนอันหลิงเกอก็คิดมิตก
ก่อนหน้านี้ในเรือนของนางมีหูมีตาของหลี่อี๋เหนียงมิน้อย ทว่าตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ค่อย ๆ ส่งหูตาของหลี่อี๋เหนียงออกจากเรือนจนทำให้หลี่อี๋เหนียงมิมีทางสืบข่าวอันใดได้จากนาง
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังทำเรื่องกักตุนยาสมุนไพรอย่างลับ ๆ และออกคำสั่งกับหมิงซินเป็นพิเศษว่าให้รับยาจากฉู่หยูและลู่จิงหยูเข้าจวนในตอนกลางคืนเท่านั้น
หรือหมิงซินมิระวังจนทำให้คนของหลี่อี๋เหนียงเห็นเข้า ?
เมื่อครุ่นคิดแล้วก็มีทางนี้ทางเดียวที่เป็นไปได้มากสุด
อันหลิงเกอถอนหายใจ บนใบหน้ามิได้เผยให้เห็นความผิดหวังหรือความวิตกกังวล
“บางทีเราอาจมิทันระวังแล้วโดนคนของหลี่อี๋เหนียงเห็นเข้าก็ได้ นางคิดกำจัดข้าอยู่แล้วจึงนำเรื่องนี้ไปทูลองค์ชายเจ็ดเพราะอยากให้องค์ชายมาจับตัวข้าในโทษฐานกบฏ”
ถ้านางโดนจับเข้าคุกจริง ๆ แล้วหลี่อี๋เหนียงคิดทำอันใดขึ้นมา นางก็คงมิมีแรงโต้กลับ
หมิงซินยังคุกเข่ามิยอมลุก “คุณหนูเจ้าคะ เรื่องนี้บ่าวผิดเอง มิต้องปกป้องบ่าวหรอกเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกดหน้าลงต่ำแล้วแสร้งทำโมโห “ข้าบอกว่าเรื่องนี้เจ้ามิได้เป็นคนผิด เจ้าจักคุกเข่ามิยอมลุกเพราะอยากขัดคำสั่งข้าใช่หรือไม่ ? ในสายตาเจ้ายังมีนายเยี่ยงข้าคนนี้อยู่หรือไม่ ? ”
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ” หมิงซินรีบส่ายหน้า ลังเลพักหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน
ส่วนปี้จูขยิบตาให้หมิงซินอยู่ด้านข้าง ตาคู่นั้นกะพริบจนแทบเป็นตะคริวอยู่แล้ว ทว่าหมิงซินก็มั่วแต่ก้มหน้าก้มตามิเห็นการกระทำของนางด้วยซ้ำ
หมิงซินสังเกตเห็นใบหน้าของปี้จูหลังจากยืนขึ้น “ปี้จูเป็นอันใดไปหรือ ฝุ่นเข้าตาเจ้าหรือ ? ให้ข้าช่วยเป่าออกหรือไม่ ? ”
“มิต้อง” ใบหน้าของปี้จูเผยให้เห็นความมิพอใจ
นางอุตส่าห์ส่งสายตาให้หมิงซินเพื่อให้เลิกเอาความผิดเข้าตัว
แม้คุณหนูดูเป็นคนเย็นชาทำตัวสนิทสนมด้วยยาก แต่แท้ที่จริงก็เป็นคนอ่อนโยนมาก ขอแค่หมิงซินมิคิดทรยศ คุณหนูก็มิมีทางเอาโทษอย่างแน่นอน
อันหลิงเกอย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหลเล็กน้อยของปี้จู สุดท้ายก็พอใจที่สาวใช้สองคนของตนสนิทกันเพราะดีกว่าพวกนางทะเลาะหรือวางแผนทำร้ายกัน
“ตอนนี้ผู้อื่นทราบเรื่องกักตุนยาสมุนไพรแล้ว หมิงซินพาคนไปจัดการสมุนไพรพวกนั้นก็แล้วกัน”
อันหลิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหาสถานที่ดี ๆ ได้
ตอนนั้นหลี่อี๋เหนียงยกร้านภายใต้ชื่อมารดาให้นางดูแล นางยังเคยไปดูที่หอจิ่นซิ่วและ *หลงจู๊ของที่นั่นยังซ่อนความลับไว้มิน้อยทีเดียว
ถ้าขนสมุนไพรไปไว้ที่นั่นก็มิน่ามีปัญหาอันใด
“ตอนนี้ข้าจักเขียนจดหมาย ปี้จูให้คนส่งถึงหลงจู๊หอจิ่นซิ่ว ถ้ามิมีอันใดผิดพลาดก็ขนสมุนไพรพวกนี้ไปไว้ที่หอจิ่นซิ่ว”
ปี้จูได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ หลังจากรอให้อันหลิงเกอเขียนจดหมายเสร็จแล้วนางก็รีบบอกคนนำไปส่งทันที
…
*หลงจู๊ คือ ผู้จัดการ