ตอนที่ 132 เชื่อหรือไม่
อันหลิงเกอเพิ่งเขียนจดหมายเสร็จ คนเฝ้าประตูที่มารายงานก็มาถึงเรือนฉีอู๋
“เรียนคุณหนูใหญ่ ท่านมู่ซื่อจื่อให้ข้าน้อยมาเชิญ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องโถงเรือนหน้าแล้วขอรับ”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมายังจวนโหวจักมิมีทางได้เข้ามาโดยง่ายเช่นนี้
ทว่าฐานะของมู่จวินฮานสูงส่งและยังเป็นว่าที่สามีของอันหลิงเกอ คนเฝ้าประตูจึงมิกล้าละเลยเขา
อันหลิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วแต่ก็มิได้เชื่องช้าอันใด นางรีบวางพู่กันในมือลง
“ไปเถิด อย่าให้มู่ซื่อจื่อรอนาน”
ปี้จูออกไปจัดการเรื่องส่งจดหมาย หมิงซินจึงต้องเดินตามอันหลิงเกอเพียงคนเดียว
เมื่ออันหลิงเกอมาถึงห้องโถงเรือนหน้าก็เห็นเพียงมู่จวินฮานกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สีแดง เขาใส่ชุดสีดำสนิทและในมือเรียวยาวกำลังถือถ้วยชาลวดลาย*นกสี่เชวี่ยเกาะกิ่งไม้ แม้ชุดที่เขาสวมใส่เป็นชุดสีดำธรรมดา แต่ด้วยหน้าตาทรงเสน่ห์และหล่อเหลาก็ทำดูโดดเด่นยิ่งนัก
จากนั้นอันหลิงเกอก็เดินเข้าไปอย่างมิรีบร้อนแล้วคำนับให้มู่จวินฮาน
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อยและยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ
ทว่าซูม่อที่อยู่ด้านหลังกลอกตาให้อันหลิงเกอ ท่าทางรำคาญน่าดู
หมิงซินที่เห็นการกระทำของอีกฝ่ายก็โกรธเคืองและได้แต่คิดในใจว่าผู้ติดตามคนนี้ของมู่ซื่อจื่อช่างไร้มารยาทเสียจริง กล้ากลอกตาใส่คุณหนู มิเคารพคุณหนูแม้แต่น้อย !
จากนั้นนางจึงถลึงตาใส่ซูม่อ ใช้สายตาบอกซูม่อว่าให้เก็บท่าทางไร้มารยาทของเขาเอาไว้
ซูม่อมองท่าทางโมโหของหมิงซินด้วยความสนใจ แต่สุดท้ายก็เผยท่าทางน่านับถือออกมาแทน
“เกอเอ๋อ มิได้พบกันนานเลย”
มู่จวินฮานเอ่ยทำลายบรรยายเงียบงัน ดวงตาเฉียบคมที่จ้องมองอันหลิงเกอแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
อันหลิงเกอเองก็คลี่ยิ้ม แต่มิได้ดูกระตือรือร้นขนาดนั้น
เพราะเรื่องที่องค์ชายเจ็ดมาเอาผิดถึงจวนส่งผลกระทบต่อจิตใจนางมิน้อย ทำให้ในเวลานี้มิว่าทำอันใดนางก็รู้สึกไม่สนุกเอาเสียเลย
เพียงแค่พริบตาเดียว มู่จวินฮานก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอันหลิงเกอ “เจ้าเจอปัญหาอันใดมาหรือ ? ”
ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าอันหลิงเกอหดหู่เพราะเรื่องที่องค์ชายเจ็ดก่อไว้ แต่เขามิได้กล่าวออกมาตามตรง เพราะมีบางเรื่องที่อันหลิงเกอต้องกล่าวด้วยตนเองจึงจักเป็นสิ่งที่เหมาะสม
เนื่องจากมู่จวินฮานเคยช่วยอันหลิงเกอหลายครั้งแล้ว นางจึงมิคิดปิดบัง “ เมื่อวานนี้องค์ชายเจ็ดพาคนมาที่จวนแล้วตรัสว่าข้ากักตุนยาสมุนไพรเพราะคบคิดกับศัตรู จึงอยากมาเอาโทษข้าเจ้าค่ะ”
“ข้าเองก็พอได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว”
คำกล่าวของมู่จวินฮานมิได้ปิดบังว่าตนมีหูมีตาในจวนโหว ส่วนที่อันหลิงเกอมิปิดบังก็เพราะเชื่อใจมู่จวินฮาน ดังนั้นการที่เขาเปิดเผยเรื่องบางอย่างต่อนางก็ถือเป็นการแสดงความเชื่อใจต่ออีกฝ่ายเช่นกัน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อันหลิงเกอก็ยกยิ้มมุมปาก เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจเจตนาของมู่จวินฮาน
“แต่เกอเอ๋อเป็นคนฉลาดยิ่งนัก ถึงกับทำให้องค์ชายเจ็ดถอยกลับไปได้ แล้วเจ้ายังมีอันใดต้องกังวลอีกเล่า ? ”
นัยน์ตาเฉียบคมของมู่จวินฮานจ้องไปยังอันหลิงเกอพร้อมกล่าวบางอย่างออกมา “เมื่อมิกี่วันก่อนคนของข้าพบว่ามีผู้ลักลอบกักตุนยาสมุนไพรในเมืองหลวง ข้าจึงส่งคนไปสืบ ทว่าคนพวกนั้นทำตัวลึกลับเกินไปจึงมิได้ข่าวอันใดกลับมา”
“พอนึกถึงการกระทำขององค์ชายเจ็ด ข้าก็ฉุกคิดบางอย่างได้ว่าเกอเอ๋อส่งคนออกไปกว้านซื้อสมุนไพรพวกนั้นใช่หรือไม่ ? ”
แม้ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย แต่ดูจากท่าทางแล้วบ่งบอกอย่างชัดเจนว่ามั่นใจในสิ่งที่ตนคิด
อันหลิงเกอตกตะลึงเพราะคิดมิถึงว่าจักมีผู้อื่นทราบนอกจากหลี่อี๋เหนียง แม้แต่มู่จวินฮานก็ยังสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉู่หยูและลู่จิงหยูด้วย
อันหลิงเกอพยักหน้ารับแต่ยังกล่าวข้ออ้างเดิม “เพราะข้าอยากซื้อสมุนไพรมาศึกษาการปรุงยาเจ้าค่ะ ต่อไปจักได้ทำยาบำรุงให้ท่านย่าได้บ้าง คาดมิถึงเลยว่าทำให้มู่ซื่อจื่อและองค์ชายเจ็ดตื่นตูมไปได้”
“เกอเอ๋อ เจ้ากำลังโกหกข้าอยู่”
ข้ออ้างเยี่ยงนี้หากจ้าวหลานหยู่มิยอมเชื่อ มู่จวินฮานก็ต้องมิเชื่อเช่นกัน
อันหลิงเกอเผยรอยยิ้มกว้างออกมาและทำท่าทีอยากเชื่อหรือมิเชื่อก็ตามใจ “ข้ากักตุนยาสมุนไพรเพราะเรื่องนี้จริง ๆ หากมู่ซื่อจื่อมิเชื่อก็ช่างเถิดเจ้าค่ะ”
นางมิได้มีเจตนาโกหกมู่จวินฮาน เพียงแต่นางมิรู้ควรอธิบายเยี่ยงไรหรือบอกเขาว่าตนกลับชาติมาเกิดใหม่จึงรู้ว่าจักมีโรคระบาดเกิดขึ้นที่ต้าโจว ดังนั้นจึงเตรียมกักตุนสมุนไพรไว้ล่วงหน้าเพราะกลัวโรคระบาดลุกลามทำร้ายประชาชนจำนวนมาก
ถ้านางกล่าวเยี่ยงนี้ต่อมู่จวินฮานจริง ๆ เขาอาจเห็นนางเป็นคนเสียสติ
ดวงตาของมู่จวินฮานเปล่งประกาย ริมฝีปากบางโค้งมนอย่างงดงาม “หากเจ้าทำเพื่อเรื่องนี้จริง เหตุใดการกักตุนยาสมุนไพรจึงมิให้จวนโหวออกหน้าเล่า ? ”
อันหลิงเกอเผยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเข้าใจเรื่องราวที่มู่จวินฮานกล่าวทันที “ที่แท้ร้านขายยาเหล่านั้นได้รับคำสั่งจากท่านนี่เอง”
คำกล่าวนี้ของอันหลิงเกอได้ยอมรับว่าตนมีวัตถุประสงค์อื่นจริง ๆ ทำให้มู่จวินฮานยกยิ้มกว้างกว่าเดิม “คนของข้าสืบเรื่องนี้มาโดยตลอด เจ้าจักเอาข้ออ้างไร้สาระที่ใช้กับองค์ชายเจ็ดมาหลอกข้ามิได้หรอก คุณหนูใหญ่อัน”
อันหลิงเกอหันไปกล่าวกับหมิงซินสองสามประโยค จากนั้นหมิงซินก็รีบเดินออกไป
นี่คือสัญญาณว่านางต้องการสนทนากับมู่จวินฮานเพียงสองคน
มู่จวินฮานจึงส่งสายตาให้ซูม่อที่จำใจออกไปรอข้างนอกกับหมิงซิน
“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว เกอเอ๋อจักบอกเหตุผลที่แท้จริงได้หรือยัง?”
ถึงตอนนี้อันหลิงเกอจึงลดเสียงต่ำแล้วเล่าสาเหตุที่แท้จริงออกมา
นางมิได้บอกว่าตนกลับชาติมาเกิดใหม่ เพียงบอกว่าคาดเดาในอนาคตอาจมีโรคระบาดเกิดในต้าโจวจึงเตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ
มู่จวินฮานอดมิได้ที่จักหัวเราะออกมา เดิมทีแค่ขยับปาก แต่ต่อมาดวงตาก็โค้งรับราวกับดอกไม้ผลิบาน
“เกอเอ๋อ เหตุผลข้อนี้ของเจ้าเหลวไหลยิ่งกว่าเมื่อครู่อีก คงมิได้กำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ ? หรือจักบอกว่าคุณหนูเยี่ยงเจ้ามิอยากเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหว คิดอยากเป็นเทพเซียนแทนหรือ ? ”
เขากล่าวพลางเข้ามาใกล้อันหลิงเกอและก้มหน้าลงใกล้ ลมหายใจอุ่นก็สัมผัสใบหน้าอันหลิงเกอทำให้นางรู้สึกอายเล็กน้อย
นางรีบถอยหลบเพื่อเว้นระยะห่างจากตัวเขาแล้วกล่าวต่อ “เรื่องโรคระบาดต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้ามู่ซื่อจื่อเชื่อข้าก็มาร่วมกักตุนยาสมุนไพร แต่หากท่านมิเชื่อก็ถือเสียว่าข้ามิเคยกล่าวก็แล้วกัน”
อันหลิงเกอกล่าวพร้อมเผยใบหน้าที่ผ่อนคลาย คำกล่าวที่ชวนขำขัน แต่มู่จวินฮานมิรู้เป็นอันใดถึงมิรู้สึกสงสัยในตัวนางเลย
“เจ้าเป็นว่าที่ภรรยาของข้า ข้าต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” ทันใดนั้นใบหน้าของมู่จวินฮานก็กลับมาเป็นปกติ “แต่องค์ชายเจ็ดทราบเรื่องที่เจ้ากักตุนยาสมุนไพรแล้ว หากคิดทำอันใดอีกก็คงมิใช่เรื่องง่ายในการรอดพ้น”
ใช่แล้ว นี่ก็คือเรื่องที่อันหลิงเกอกังวล ดังนั้นนางจึงเขียนจดหมายถึงหลงจู๊หอจิ่นซิ่วโดยหวังว่าอีกฝ่ายจักช่วยนางซุกซ่อนยาสมุนไพร
…
*นกสี่เชวี่ย คือนกกางเขน