ตอนที่ 135 ไร้สาระ
ตำหนักซือหนิงอันเงียบสงบ ปรากฏควันธูปหอมลอยพลิ้วไปตามแรงลมอ่อน ๆ เพียงมองจากที่ห่างไกลก็ทำให้ใจสงบได้
มู่จวินฮานเพิ่งเดินมาถึงหน้าทางเข้าตำหนักซือหนิงก็มีขันทีน้อยมากรอยยิ้มเข้ามาต้อนรับ และมีขันทีอีก 1 คนรีบวิ่งไปรายงานให้ไทเฮาได้รับทราบ
“จวินฮานมาแล้ว ข้ามิได้เจอเจ้าตั้งนาน”
องค์ไทเฮามีพระชนมายุย่างเจ็ดสิบชันษาแล้ว ในราชวงศ์โจวถือเป็นผู้มีอายุยืนยาวผู้หนึ่ง
เมื่อพระนางทอดพระเนตรมู่จวินฮาน พระพักตร์ก็มีความเบิกบานปรากฎขึ้น แม้ตอนนี้จักเห็นพระเกศาสีขาวแล้วก็ยังสามารถมองเห็นความอ่อนเยาว์จากดวงเนตรคู่นั้น
หากมองจากที่ไกลจักพบว่าดวงเนตรเฉียบคมมีส่วนคล้ายคลึงกับมู่จวินฮานพอสมควร
แววตาของมู่จวินฮานอ่อนโยนทันที เขาเดินเข้าไปข้างไทเฮาพร้อมรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็ช่วยประคองพระกรเอาไว้
“เสด็จย่าดำเนินช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่จวินฮานประคองไทเฮาเข้ามาในตำหนัก จากนั้นก็ย่อตัวนั่งลงเก้าอี้
นางกำนัลยกชาชั้นดีมาต้อนรับ นางเหลือบสายตาขึ้นมองโดยมิได้ตั้งใจจึงบังเอิญเห็นใบหน้าหล่อเหลาของมู่จวินฮาน ทันใดนั้นใบหน้านางก็มีสีแดงระเรื่อและรีบก้มหน้าซ่อนความเขินอาย จากนั้นก็เดินออกจากตำหนักไปอย่างเงียบ ๆ
“เจ้าเด็กคนนี้ หากข้ามิบอกให้เจ้าเข้าวัง เจ้าก็มินึกถึงข้าสักครั้ง วันนี้กลับทำตัวแปลกเพราะมาหาข้าเสียเอง”
ไทเฮาพร่ำบ่นออกมา ดวงเนตรเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าพระนางโปรดปรานมู่จวินฮานมากเพียงใด
มู่จวินฮานฉีกยิ้มสดใสเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม “เสด็จย่าเข้าพระทัยจวินฮานผิดไปแล้ว ถึงแม้หลานมิได้เข้าวังบ่อย แต่ก็ยังนึกถึงพระองค์เสมอพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างกะล่อนเสียจริง ดูมิเป็นผู้ใหญ่แม้แต่น้อย” ไทเฮาถลึงพระเนตรใส่มู่จวินฮาน แต่ก็มิได้โมโหจริง ๆ
หลังจากนั้นพระนางก็ยกชาขึ้นจิบชา วางถ้วยชาลงและตรัสด้วยสุรเสียงเป็นห่วงออกมา “ตอนนี้เจ้าก็อายุมิน้อยแล้วถึงวัยสร้างครอบครัว เมื่อมินานมานี้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ควรหยุดนิสัยเยี่ยงนี้บ้าง จักเอาแต่ทำตัวลอยไปลอยมาเยี่ยงนี้มิได้”
ไทเฮารักมู่จวินฮานจากพระทัยจริง อาจเพราะมู่จวินฮานเป็นหลานชายของน้องสาวจึงเป็นเหมือนหลานของพระนางเอง หรือเพราะหน้าตาของมู่จวินฮานดูคล้ายน้องสาวของพระนางอยู่หลายส่วน แต่มิว่ากล่าวเยี่ยงไรพระนางก็รักมู่จวินฮานจริงๆ
มู่จวินฮานยกมือคำนับแสดงท่าทางขอความเมตตา “เสด็จย่าปล่อยหลานไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ หลานกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี ถ้ามิได้ออกไปชนไก่ขี่ม้าแล้วจักมีความหมายอันใด ? ”
“เจ้า…”
ไทเฮารู้สึกโกรธจนลมหายใจติดขัด อยากต่อว่ามู่จวินฮานสักสองสามประโยคแต่ก็พบว่าตนมิรู้จักต่อว่าอันใดออกไป
“เสด็จย่าวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่หลานเพียงล้อเล่นเท่านั้น” มู่จวินฮานกล่าวด้วนท่าทีจริงจัง “เมื่อครู่ฮ่องเต้รับปากหลานแล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกมิกี่วันหลานก็ได้ไปเป็นรองแม่ทัพที่ม่อเป่ยและร่วมกันปกป้องชายแดนกับทหารที่ม่อเป่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเรื่องจริงหรือ ? ”
ทันใดนั้นสีพระพักตร์ของไทเฮาก็เปลี่ยนไปทันที ความอ่อนโยนถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยและอารมณ์ที่อธิบายได้ยากก็ผุดขึ้นในแววพระเนตร
มู่จวินฮานพยักหน้ารับ “นี่คือสิ่งที่หลานทูลขอจากฮ่องเต้มาอย่างยากลำบาก ต้องเป็นเรื่องจริงอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าทำเรื่องนี้มิได้เด็ดขาด” สุรเสียงของไทเฮาเคร่งขรึม ตรัสเด็ดขาดโดยมิสงสัยแต่อย่างใด
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือโอรสแท้ ๆ ของพระนาง ทรงเฝ้ามองฮ่องเต้เจริญชันษาทุกคืนวัน ทรงเห็นเขาสู้รบกับพี่น้องและก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มังกรด้วยสองเนตร พระนางจักมิเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ได้เยี่ยงไร ?
เดิมทีคิดว่าการที่พระนางขอให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสแก่มู่จวินฮาน แล้วฮ่องเต้จักเลิกกังวลเรื่องอำนาจของทั้งสองจวนไปชั่วขณะ มิกล้าแตะต้องจวนอ๋องมู่ง่าย ๆ แต่พระนางจักคิดได้เยี่ยงไรว่าฮ่องเต้ต้องการให้มู่จวินฮานไปออกรบ !
ม่อเป่ยอยู่ใกล้ชนเผ่าเป่ยตี๋ บ่อยครั้งต้องเผชิญกับการรุกรานของชาวเป่ยตี๋และมีการต่อสู้ตลอดทั้งปี จวินฮานมิเคยเข้าสนามรบมาก่อน แล้วการที่ฮ่องเต้ออกคำสั่งเยี่ยงนี้มิได้เป็นการส่งจวินฮานไปตายหรอกหรือ ?
มู่จวินฮานเก็บรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้า ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหล่าเปื้อนไปด้วยความร้ายกาจพอสมควร “เสด็จย่า จวินฮานทราบว่าพระองค์เป็นห่วง แต่ฮ่องเต้สงสัยพวกอ๋องมากขึ้นทุกวัน หากจวนอ๋องมู่และจวนโหวเกี่ยวดองกัน ฮ่องเต้มิเพียงระแวงพวกเรา ทว่าจักยิ่งหวาดกลัวกว่าเดิมและคิดหาวิธีกำจัดพวกเราทุกวัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สู้ทำตามความปรารถนาของฮ่องเต้ให้ส่งหลานไปยังม่อเป่ยอันห่างไกลแล้วทำให้ฝ่าบาทเลิกหวาดระแวงต่อจวนอ๋องมู่ ก็ดีแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“นี่เจ้ากำลังกล่าวไร้สาระอันใดอยู่ ! ”
ไทเฮาตรัสด้วยความตกพระทัยแต่ก็ยังลดเสียงลง
พระนางยังคงหวาดหวั่นพอสมควร เมื่อหันไปทอดพระเนตรโดยรอบแล้วมิมีผู้ใดอยู่ พระนางถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แม้เป็นตำหนักซือหนิงก็ยังเลี่ยงมิได้ที่จักมีหูมีตาของผู้อื่นแฝงอยู่
หากผู้อื่นได้ยินคำกล่าวของมู่จวินฮานจักต้องกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน
ทว่าท่าทางของมู่จวินฮานมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย “นอกจากขันที 2 คนที่อยู่หน้าโถงแล้วก็มิมีผู้ใดอยู่อีกพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าวางพระทัยได้”
ขันทีข้างกายพระนางคือคนสนิท แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเปิดปากล้วงความลับจากพวกเขามิได้
ทว่าสิ่งที่ฮองไทเฮากำลังคิดอยู่มิใช่เรื่องนี้ การตัดสินว่าในหรือนอกห้องมีคนอยู่กี่คนต้องใช้กำลังภายในอันลึกล้ำจึงสามารถทำได้
พระนางครุ่นคิดเรื่องพวกนี้แล้วกลับเกิดความรู้สึกซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
พระนางทราบมาโดยตลอดว่ามู่จวินฮานมีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่มิเคยคิดมาก่อนว่าเขาจักมีวรยุทธร้ายกาจถึงเพียงนี้
การที่มู่จวินฮานกล่าวเยี่ยงนี้ออกมาก็เพราะแอบส่งสัญญาณให้ไทเฮาว่าเขามีความสามารถเพียงพอในการป้องกันตัวตอนอยู่ที่ม่อเป่ยและจักมิทำให้ไทเฮาทรงเป็นกังวล
ไทเฮามิรู้ว่าควรดีใจหรือประหลาดใจดี หลังจากนั้นพักใหญ่ถึงถอนหายใจออกมา “ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าจักกล่าวอันใดได้อีก แต่หากเจ้าไปม่อเป่ย แล้วคุณหนูใหญ่อันแห่งจวนโหวจักทำเยี่ยงไร ? ”
“ที่จวินฮานมาเฝ้าเสด็จย่าก็เพราะอยากทูลปรึกษาเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เห็นท่าทีของมู่จวินฮานแล้วไทเฮาก็รู้สึกถึงลางมิดีขึ้นมา
ลางสังหรณ์ของพระนางเพิ่งเกิดขึ้น มู่จวินฮานก็กล่าวว่า “เมื่อสองวันก่อนองค์ชายเจ็ดพาคนไปที่จวนโหวและค้นเจอสมุนไพรจำนวนมากในเรือนของคุณหนูใหญ่อัน เขาคิดใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานเพื่อเอาผิดคุณหนูใหญ่อันในข้อหากบฏพ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้สาระ ! ” ฮองไทเฮาตบโต๊ะ พระพักตร์เต็มไปด้วยโทสะ
เพียงแค่ในเรือนของอันหลิงเกอมีสมุนไพรจำนวนมาก จ้าวหลานหยู่ก็ยัดโทษฐานกบฏให้แล้ว หากยึดตามคำกล่าวเยี่ยงนั้น ราษฎรกว่าครึ่งของต้าโจวก็เป็นกบฏกันไปหมด !
มู่จวินฮานกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “องค์ชายเจ็ดทำตัวไร้สาระและยังกล้ากล่าวเรื่องนี้ในท้องพระโรง เพราะเขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้จึงอยากใช้เรื่องนี้โจมตีจวนโหว มิแน่ว่าอาจลากจวนอ๋องมู่ไปเกี่ยวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างทางมาตำหนักซือหนิง คนที่เขาให้แฝงตัวอยู่ในวังได้ยืนยันเรื่องนี้ว่าเป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงสามารถหยิบยกมาเกลี้ยกล่อมไทเฮาได้อย่างพอดิบพอดี
หางพระเนตรกระตุกอย่างแรง นี่ฮ่องเต้จักทอดทิ้งสกุลมู่เช่นนั้นหรือ ?
เมื่อดำริได้เยี่ยงนั้น พระนางก็รู้สึกเศร้าพระทัยพอสมควรเพราะมิว่าผู้ใดก็มองออกว่าอ๋องมู่มิได้มีใจคิดกบฏ