ตอนที่ 136 อธิบาย
เพียงเพราะมู่อ๋องกุมอำนาจทหารอยู่ในมือฮ่องเต้จึงระแวงในตัวเขา แต่ถ้าปล่อยให้ฮ่องเต้กำจัดสกุลอ๋องมู่ออกไป นั่นต่างหากถึงจักเป็นหายนะของต้าโจว !
“แล้วเกิดอันใดขึ้นอีก มีสิ่งใดเกิดกับคุณหนูใหญ่อันหรือไม่ ? ”
ไทเฮาตรัสถามอย่างรีบร้อน พระนางคิดว่าเป็นเพราะฮ่องเต้อยากจัดการจวนอ๋องมู่จึงลงมือเยี่ยงนั้นกับคุณหนูใหญ่อัน
หากเกิดอันใดขึ้นกับคุณหนูใหญ่อัน พระนางจักทำใจได้เยี่ยงไร ?
มู่จวินฮานยกยิ้ม “เสด็จย่าวางพระทัยได้ คุณหนูใหญ่อันเฉลียวฉลาดแม้แต่องค์ชายเจ็ดยังเอาชนะนางมิได้ด้วยซ้ำ นางพูดจนองค์ชายเจ็ดต้องกลับไปพร้อมความล้มเหลว ด้วยเหตุนี้องค์ชายจึงยกเรื่องนี้มาทูลในท้องพระโรงเพราะอยากใช้พระหัตถ์ของฮ่องเต้ลงโทษนาง ต่อมาก็โดนฟู่หวางและท่านโหวขัดขวางไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฟังจบไทเฮาก็รู้สึกสบายพระทัยขึ้นมา แต่แล้วพระนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ “ข้ากำลังถามเจ้าว่าถ้าไปม่อเป่ยแล้วจักทำเยี่ยงไรต่อคุณหนูใหญ่อัน เจ้ายังมิได้บอกข้าเลยแต่กล่าววนไปวนมา ข้าเกือบโดนเด็กเยี่ยงเจ้าหลอกเสียแล้ว”
“เสด็จย่า จวินฮานกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว ด้วยพระปรีชาจักต้องเดาความคิดของหลานออกอยู่แล้ว”
มู่จวินฮานแสดงท่าทางสง่างาม “คราวนี้คุณหนูใหญ่อันต้องมาลำบากเพราะหลาน ครั้งนี้นางรอดไปได้แต่ผู้ใดรับประกันว่านางจักโชคดีอีก หลานลองครุ่นคิดแล้วก็สู้ทำให้การสมรสถูกยกเลิก จักได้หลีกเลี่ยงมิให้องค์ชายเจ็ดคิดเอาพระทัยฝ่าบาทแล้วลงมือกับสตรีเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
การที่เขาตัดสินใจเยี่ยงนี้เพราะนึกได้ว่าตัวเขาควบคุมทุกที่ในเมืองหลวงรวมทั้งในที่ลับตาคนก็ยังมีคนลอบสังหารได้อีก เช่นนั้นก็แสร้งทำเป็นอยากยกเลิกงานสมรสเพื่อลดความหวาดระแวงของฮ่องเต้เสียดีกว่า
เมื่อเป็นเยี่ยงนี้จวนโหวก็มิโดนผลักเข้าสถานการณ์เลวร้ายอีก จวนอ๋องมู่ก็ได้กลับมาสงบสุขบ้าง หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆ สะสมอำนาจของตนเองจนแม้แต่ฮ่องเต้ก็แตะต้องจวนอ๋องมู่และจวนโหวมิได้
นี่คือผลการตัดสินใจที่เขาและอันหลิงเกอได้ปรึกษากันแล้ว ทว่าก็ยังต้องหาข้อแก้ตัวอื่นสำหรับเรื่องนี้หรือต่อหน้าไทเฮา เขาก็ยังมิอาจกล่าวความจริงได้ทั้งหมด
องค์ไทเฮากำลังมิพอพระทัยเพราะอันหลิงเกอคือผู้ที่พระนางเลือกแล้วเลือกอีก ได้เฟ้นหาจากสตรีสูงศักดิ์ทั่วเมืองหลวงที่เหมาะสมกับจวินฮานที่สุด หากเพียงเพราะความหวาดระแวงของฮ่องเต้แล้วทำให้จวินฮานพลาดสมรสครั้งนี้ไป มิน่าเสียดายไปหน่อยหรือ ?
“หากเจ้าไปม่อเป่ยข้าก็มิห้าม ทว่าคุณหนูใหญ่อันมีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกโดดเด่นมาก…”
“เสด็จย่า แม้คุณหนูใหญ่อันมีรูปร่างหน้าตาหรือบุคลิกดีเพียงใดก็หลบลูกธนูหรืออาวุธลับมิได้หรอก ถ้านางถูกคนสังหารแล้วเสด็จย่าทำใจได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
แน่นอนว่ามิได้อยู่แล้ว
ไทเฮาลบความคิดในใจมิได้ ส่งผลให้ระหว่างคิ้วของพระนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
หรือเป็นเพราะฮ่องเต้ จวินฮานจึงต้องเป็นโสดไปทั้งชีวิต หากกล่าวตามความหมายของฮ่องเต้แล้วคงประสงค์ให้จวินฮานแต่งกับสตรีสามัญที่ไร้อำนาจและแรงสนับสนุน เพื่อให้ผู้คนในเมืองหลวงหัวเราะกันอย่างสนุกปาก จากนั้นก็คอยมองจวนอ๋องมู่ตกต่ำหรือ ?
“ภายนอกรู้เพียงว่าเจ้ารูปงามไร้ที่ติ แต่ผู้ใดรู้บ้างว่าเจ้าลำบากไปเสียทุกด้าน” ยิ่งไทเฮาคิดเท่าไรพระนางก็ปวดพระทัยขึ้นมากเท่านั้น
เมื่อเทียบกับบุตรหลานแท้ๆ ของพระนางแล้ว พระนางชอบความฉลาดมีไหวพริบและมิแก่งแย่งชิงดีของมู่จวินฮานมากกว่า แต่คนที่ควรได้มีชีวิตอิสระเยี่ยงนี้ต้องถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ อยากทำอันใดสักอย่างก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะมิอาจทำให้คนทั้งจวนเดือดร้อนไปด้วย
เมื่อได้ฟังที่ไทเฮาตรัส ดวงตามู่จวินฮานก็หวั่นไหวเล็กน้อย แม้อีกฝ่ายเป็นพี่สาวของท่านย่า ทว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้เขามิต่างจากย่าแท้ ๆ ในเวลานี้เมืองหลวงมิสงบ ฮ่องเต้หวาดระแวงเหล่าอ๋อง องค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดแบ่งกันเป็นพรรคพวกจึงมีบางเรื่องที่เขามิอาจทูลไทเฮาได้
“เสด็จย่าวางพระทัยได้ รอให้หลานเจอสตรีที่ชอบแล้วต้องพามาเข้าเฝ้าเสด็จย่าแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮายอมพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มและน้ำพระเนตรก็ถูกพระนางอดกลั้นเอาไว้ “เยี่ยงนั้นข้าจักรอให้เจ้าพาสตรีมาให้ดู ส่วนคุณหนูใหญ่อัน ถ้าเจ้ากลัวทำให้นางลำบากไปด้วยก็ล้มเลิกงานแต่งเสียเถิด ด้านฮ่องเต้…”
“เสด็จย่า ตอนที่ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยส่งหลานไปม่อเป่ยก็รับปากว่าจักยกเลิกงานแต่งนี้แล้ว อีกเดี๋ยวพอออกจากวัง หลานจักส่งคนไปอธิบายต่อท่านโหว เขาจักได้มิติดใจอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีมู่จวินฮานก็ปรึกษาเรื่องนี้กับอันหลิงเกอเรียบร้อยแล้ว ทางอันหลิงเกอจึงมิมีปัญหาอันใด
ส่วนท่านโหวขอเพียงได้รับพระราชโองการก็มิมีทางต่อต้านได้อยู่แล้ว
ได้ยินเยี่ยงนั้นไทเฮาก็รับทราบ พระนางสั่งให้นางกำนัลยกผลไม้สดสองสามชนิดและขนมหอมหวานอีกสองสามอย่างมา เมื่อมองมู่จวินฮานทานอย่างเอร็ดอร่อยแล้วพระนางจึงยอมให้เขาออกจากตำหนัก
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ประกาศราชโองการอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่ามู่จวินฮานเปลี่ยนใจ มู่จวินฮานยังมิทันออกจากวัง ฮ่องเต้ก็มีราชโองการสองฉบับ ฉบับหนึ่งถูกส่งไปที่จวนอ๋องมู่และอีกฉบับถูกส่งไปที่จวนโหว
หน้าประตูจวนโหว อันอิงเฉิงพาคนในจวนมาคุกเข่าที่พื้นเพื่อฟังราชโองการที่ขันทีประกาศออกมา
เมื่อขันทีผู้นั้นกล่าวจบ อันอิงเฉิงยังค่อนข้างมึนงงอยู่เล็กน้อย
เหตุใดงานสมรสระหว่างจวนโหวและจวนอ๋องมู่จึงโดนยกเลิก ?
ตอนแรกเขายังเข้าใจผิดว่าจักได้เกี่ยวดองกับจวนอ๋องมู่และแอบดีใจอยู่นาน ทว่าราชโองการของฮ่องเต้ในเวลานี้ทำให้ความรู้สึกดีใจมลายหายไปในพริบตา
“อ๋องอัน รับราชโองการ”
ขันทีที่มาประกาศราชโองการมีรูปร่างค่อนข้างอวบ ผิวขาว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เพียงแต่สายตาดูเย้ยหยันพอสมควร
อันอิงเฉิงลุกจากพื้นแล้วเอื้อมมือไปรับราชโองการ ขณะเดียวกันพ่อบ้านที่อยู่ด้านข้างก็รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วยัดเงินจำนวนมากใส่มือของขันที
“ใต้เท้า มิทราบว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงมีราชโองการเยี่ยงนี้ ? ตอนนั้นงานสมรสนี้ฝ่าบาทก็พระราชทานให้เอง ทว่าตอนนี้…”
อันอิงเฉิงมิได้กล่าวคำที่เหลือออกมาเพราะมิกล้าตำหนิฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คน
ทว่าขันทีผู้นั้นมิเข้าใจสิ่งที่อันอิงเฉิงกล่าวได้เยี่ยงไร เขามองเงินในมือแล้วมุมปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย “อ๋องอัน บ่าวเยี่ยงข้าจักล่วงรู้ความคิดของฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ? แต่ข้าเห็นมู่ซื่อจื่อไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทที่ห้องทรงพระอักษร หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ให้ข้ามาประกาศราชโองการ”
คำกล่าวนี้หมายความว่าการที่ฮ่องเต้เปลี่ยนความคิดต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่จวินฮานอย่างแน่นอน
อันอิงเฉิงได้ยินเยี่ยงนั้นสายตาก็หยุดอยู่ที่ตัวอันหลิงเกอเพราะคิดว่าอาจได้คำตอบบางอย่างในตัวนาง
ใบหน้าของอันหลิงเกอมีเพียงความประหลาดใจและความผิดหวัง พร้อมกันนั้นยังแฝงไปด้วยความอับอายและความอัปยศ
ดูเหมือนเกอเอ๋อมิรู้เห็นกับเรื่องนี้จริง ๆ
อันอิงเฉิงนิ่งคิดแต่มิแสดงท่าทีอันใดออกมา
ส่วนขันทีผู้นั้นก็ฉีกยิ้ม “ในเมื่อท่านโหวมิมีเรื่องอื่นแล้ว ข้าขอตัวกลับไปทูลรายงานฮ่องเต้ก่อน”
“เจ้าจงไปส่งใต้เท้า” อันอิงเฉิงออกคำสั่งให้พ่อบ้านที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็พาทุกคนกลับเข้าจวน
เมื่อเข้ามาในจวน ใบหน้าของอันอิงเฉิงก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
ด้านหลี่ซื่อมองไปทางอันหลิงเกอตลอดและมิอาจเก็บรอยยิ้มที่มุมปากเอาไว้ได้