ตอนที่ 138 จุดเปลี่ยน
เนื่องจากสงครามที่ม่อเป่ย ฮ่องเต้จึงตัดสินพระทัยส่งมู่จวินฮานไปเฝ้ารักษาชายแดนและกังวลจักทำให้อันหลิงเกอเสียเวลารอ ดังนั้นจึงตัดสินพระทัยยกเลิกการหมั้นหมายและปลอบใจนางโดยการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่
เมื่อได้ฟังราชโองการ แววตาของอันหลิงเฉว่ก็หวาดหวั่นและแข็งทื่อ นางมองขันทีที่ประกาศราชโองการผู้นั้นด้วยสายตามิอยากเชื่อ
ฮ่องเต้มีราชโองการมาถึงสองฉบับติดต่อกันทำให้ทุกคนในจวนโหวเข้าใจแล้วว่าการอยู่นรกครู่หนึ่งกับสวรรค์ครู่หนึ่งเป็นเยี่ยงไร
อันหลิงเฉว่รู้สึกเหมือนเมื่อครู่เพิ่งปีนพ้นก้อนเมฆ แต่ความรู้สึกมีความสุขในใจก็อยู่ได้เพียงมินาน นางโดนราชโองการฉบับนี้ผลักตกมาที่พื้นอย่างแรง
“ใต้เท้าเจ้าคะ ท่านกล่าวจริงหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเฉว่รีบเอ่ยถาม ตอนนี้ตัวนางตื่นเต้นกว่าอันหลิงเกอที่โดนแต่งตั้งเสียอีก
ขันทีประกาศราชโองการผู้นั้นเหลือบมองนางเล็กน้อย เมื่อเห็นนางมิได้ยืนอยู่ข้างกายอันอิงเฉิงแต่ยืนอยู่ข้างหลังอันอิงคังก็ทราบฐานะของนางในทันที น้ำเสียงจึงเย็นชาขึ้นหลายส่วน “นี่คือพระประสงค์ของฮ่องเต้ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว หรือเจ้าคิดว่าข้าประกาศพระราชโองการเท็จ ? ”
ราชโองการเท็จมีโทษสถานหนัก แม้แต่ขันทีที่นำสารมาส่งก็ต้องโดนลงโทษด้วย
อันหลิงเฉว่เผยแววตาอับอายเล็กน้อย แต่บนใบหน้ายังเผยรอยยิ้มแห้งออกมา “จักเป็นเยี่ยงนั้นได้หรือเจ้าคะ ข้าก็แค่ตกใจกับข่าวนี้จนเกินไปจึงมิค่อยอยากเชื่อเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
นางมิกล้าเชื่อเพราะก่อนหน้านี้อันหลิงเกอยังเป็นสตรีอัปยศที่โดนฮ่องเต้สั่งถอนการหมั้นหมายอยู่เลย ต่อมากลับโดนแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ มิเพียงได้รับบาดแผลจากเรื่องนี้แต่ยังมีฐานะสูงส่งกว่าเดิม !
อันหลิงอียืนอยู่ข้างหลี่ซื่อก็ขบกรามแน่นจนแทบหัก เพียงแค่ฐานะบุตรีภริยาเอกของอันหลิงเกอก็กดหัวนางไว้แล้ว ตอนนี้ยังถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แล้วต่อไปนางยังมีโอกาสเหยียบย่ำอันหลิงเกอได้อีกหรือ ?
เป็นเหตุให้อันหลิงอีแอบกรีดร้องด้วยความมิพอใจและความอิจฉาอยู่ภายในใจอย่างดุร้าย แววตาของนางเริ่มแดงระเรื่อเล็กน้อย
ส่วนตัวฮูหยินผู้เฒ่ามิมีอารมณ์มามองใบหน้าของพวกนางเพียงมิกี่คน เพราะหลังได้ยินข่าวนี้ ความกังวลในใจก็มลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในเวลาเดียวกันก็ถอนหายใจออกมาและรู้สึกภาคภูมิ
แม้ตำแหน่งโหวในอาณาจักรต้าโจวจักสืบทอดต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น แต่มีเพียงธิดาขององค์หญิงเท่านั้นที่สามารถรับตำแหน่งจวิ้นจู่ได้
ในตอนนี้เพื่อชดเชยให้อันหลิงเกอ ฮ่องเต้ถึงกับแต่งตั้งอันหลิงเกอเป็นจวิ้นจู่ และนี่ถือเป็นครั้งแรกในอาณาจักรต้าโจว
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าอย่าถือสาคำกล่าวของนางเลย นางอายุยังน้อยจึงมิรู้ความ คิดอันใดก็กล่าวอย่างนั้น นี่คือน้ำใจเล็กน้อยจากพวกเราและเชิญใต้เท้าเข้าไปดื่มชาก่อนเถิด”
พ่อบ้านรีบยัดเงินใส่มือขันทีที่ประกาศราชโองการผู้นั้นดังเดิม
เมื่อได้รับน้ำใจนี้แล้ว ใบหน้าที่มืดมนของขันทีก็กลับมาสดใสอีกครา “ฮูหยินผู้เฒ่ายังเห็นใจบ่าวรับใช้เยี่ยงพวกข้าเสมอ”
ใบหน้าของขันทีผู้นั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราวกับผู้ที่ถามอันหลิงเฉว่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่มิใช่ตน
อันหลิงเฉว่รู้สึกแค้นอยู่ในใจ ทว่าก็ต้องแสร้งยิ้มออกมา ต่อจากนั้นก็มองขันทีเอ่ยชมอันอิงเฉิงและอันหลิงเกออีกสองสามประโยคจึงขอตัวกลับวัง
“พี่หญิงใหญ่โชคดีเสียจริง”
อันหลิงอีกล่าวด้วยถ้อยคำคลุมเครืออยู่ด้านข้าง แต่น้ำเสียงอิจฉาทำให้อันอิงเฉิงขมวดคิ้ว
หลี่ซื่อสังเกตเห็นสายตาของอันอิงเฉิงจึงรีบกล่าวแทนอันหลิงอี “นี่เป็นเพราะพี่หญิงของเจ้ามีจิตใจเมตตาทำให้ฮ่องเต้เห็นใจนางและแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ผู้เป็นน้องสาวเยี่ยงเจ้าก็ควรเรียนรู้จากพี่หญิงเอาไว้”
อันหลิงอีมุ่ยปาก แต่ก็รู้ว่าคำกล่าวประโยคนั้นทำให้อันอิงเฉิงมิพอใจจึงก้มหน้าก้มตามิพูดมิจาอีก
รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกอันหลิงเกอไปคุยตามลำพังแล้ว อันหลิงอีก็เดินตามหลี่ซื่อกลับมาที่เรือน
ในเรือนของหลี่ซื่อเหลือเพียงสองแม่ลูก ส่วนพวกสาวใช้ถูกไล่ไปตั้งนานแล้ว
“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกมิอยากเห็นคนชั้นต่ำอันหลิงเกอมาอยู่ตรงหน้าแม้แต่วันเดียว”
อันหลิงอีขมวดคิ้วทุกครั้งที่กล่าวถึงอันหลิงเกอ แววตาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังและชั่วร้าย
ทุกครั้งที่เจออันหลิงเกอ นางมักคิดว่าตนเป็นแค่บุตรอนุภรรยา ถึงแม้มารดาควบคุมทั้งจวนโหวไว้แล้ว นางก็ยังรู้สึกต่ำต้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกอ
เมื่อก่อนมิว่าไปงานเลี้ยงที่ใด ฮูหยินเหล่านั้นมักกล่าวถึงแต่อันหลิงเกอที่เป็นบุตรีภริยาเอก แต่มิกล่าวถึงบุตรสาวอนุภรรยาเยี่ยงนางแม้แต่น้อย แล้วอันหลิงอีที่ได้รับความรักจากคนในจวนและยังมีนิสัยหยิ่งผยองจักทนได้อย่างไร
นอกจากนี้การพระราชทานสมรสให้จวนอ๋องมู่และจวนโหวก็ยังตกอยู่กับอันหลิงเกอ ตอนนี้ฮ่องเต้ล้มเลิกการหมั้นหมายนี้แล้ว นางยังมิทันดีใจก็ได้ยินว่าอันหลิงเกอถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ แล้วนางมิรู้สึกอิจฉาได้เยี่ยงไร ?
ทว่าหลี่ซื่อจิบชาอย่างเชื่องช้า ท่าทางมิร้อนรนแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นหลี่ซื่อก็ยิ้มปลอบโยนอันหลิงอี “อีเอ๋อ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดอันหลิงเกอจึงมีชีวิตที่ดีเพียงนี้ ? ”
ก็มิได้เพราะเป็นบุตรีของภรรยาเอกหรือไร
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อันหลิงอีก็รู้สึกมิพอใจในตัวหลี่ซื่อ หากมารดาเกรงกลัวคำดูหมิ่นของผู้อื่นและแต่งไปเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจวนอื่นแทน นางก็คงได้เกิดมามีฐานะเป็นบุตรีภริยาเอกและจักถูกอันหลิงเกอกดหัวได้หรือ ?
ทว่าอันหลิงอีมิได้กล่าวออกมาอยู่แล้ว นางนิ่งคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วกล่าวว่า “หรือเพราะคนชั้นต่ำอันหลิงเกอเป็นคนเจ้าเล่ห์ พวกเราวางแผนกำจัดนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางก็รอดตัวไปได้ทุกครั้งเจ้าคะ”
มิอย่างนั้นอันหลิงเกอก็คงโดนงูพิษชกตายไปนานแล้ว หรือไม่ก็สูญเสียความบริสุทธิ์โดนไล่ให้โกนหัวบวชอยู่ในอารามตลอดชีวิต คงมิลอยหน้าลายตาเยี่ยงทุกวันนี้ได้
“เจ้ากล่าวถูกบางส่วน” หลี่ซื่อส่ายหน้า ท่าทางจริงจัง “ช่วงหลายวันมานี้แม่ลองคิดแล้วจึงได้พบว่าคนในจวนกว่าครึ่งโดนอันหลิงเกอดึงไปเป็นพวก”
ดึงไปเป็นพวกก็เป็นไปสิ จักมีอันใดนักหนา
อันหลิงอีมิใส่ใจเพราะที่ผ่านมารอบตัวนางมีผู้คนรายล้อมมาโดยตลอด ดังนั้นตัวนางมิมีทางไปทำเรื่องดึงใครมาเป็นพวกอย่างแน่นอน
เนื่องจากเป็นอันหลิงอีบุตรสาวของตน หลังจากได้เห็นท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว หลี่ซื่อก็รู้ทันทีว่าบุตรีกำลังคิดอันใดอยู่ นางก็อดกังวลใจมิได้
นางอยู่ในจวนนี้มาหลายสิบปีแล้วเลี้ยงดูอีเอ๋อดีเกินไป ด้วยนิสัยหยิ่งผยองของบุตรีย่อมมิมีทางวางอุบายทันอันหลิงเกอแน่นอน
หากมิสอนอีเอ๋อไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็กลัวอีเอ๋อต้องทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของอันหลิงเกอ
“อีเอ๋อลองคิดให้ดี ตอนราชโองการฉบับแรกมาถึง ท่านย่าของเจ้าบอกว่าจักเลือกสามีให้อันหลิงเกอด้วยตนเองและยังบอกว่าจักเข้าวังไปขอคำอธิบายจากไทเฮาใช่หรือไม่”
อันหลิงอีได้ฟังก็พยักหน้ารับ ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวเยี่ยงนี้จริง และเมื่อนางได้ยินก็รู้สึกโมโหคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงรักอันหลิงเฉว่และอันหลิงเกอ มีแต่ตัวนางเท่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ามิรัก
เมื่อนึกถึงตรงนี้นางก็ทำท่าทีหดหู่ “ใช่เจ้าค่ะ ลูกเผลอคิดว่าท่านย่าลำเอียงรักคนชั้นต่ำอันหลิงเกอได้เพียงแค่วันสองวัน แต่คาดมิถึงว่าเพื่ออันหลิงเกอแล้ว ท่านย่าถึงขั้นจักไปขอคำอธิบายจากไทเฮา”