ตอนที่ 150 พบเจอ
ในยามที่อันหลิงเกอถามกลับ ใบหน้างดงามก็ดูสดใสมิร้อนรนแม้แต่น้อย
ทำให้สายตาของทุกคนค่อย ๆ เปลี่ยนไป หรือคนที่คุยกับคุณหนูใหญ่อันที่ทะเลสาบเป็นอันหลิงจุนน้องชายของนางจริง
อันหลิงเฉว่ได้แต่ขบกรามแน่น ที่นางจงใจพูดอย่างคลุมเครือเพราะต้องการให้คนพวกนี้คิดไปในทางมิดี แต่ตอนนี้อันหลิงเกอถามนางว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร สุดท้ายก็เป็นนางเองตกที่นั่งลำบาก
หากนางบอกว่าบุรุษผู้นั้นคือมู่ซื่อจื่อ ทุกคนในสำนักศึกษาก็จักคิดว่าทั้งสองคนเคยหมั้นหมายกันมาก่อน ดังนั้นการสนทนาตามลำพังมิกี่ประโยคก็มินับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด ยิ่งไปกว่านั้นมู่จวินฮานยังได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ อีกมินานก็จักเดินทางไปม่อเป่ยแล้ว หากคุณหนูใหญ่อันคิดถึงมิตรภาพแล้วบอกให้เขาระวังตัวหรืออวยพรให้ปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องสมควร
หรือถ้านางเอ่ยชื่อบุรุษสักคนออกมา นางก็จักถูกอันหลิงเกอเปิดโปงทันที
อันหลิงเกอเจ้าเล่ห์เสียจริง ! ยกอันหลิงจุนมาอ้างและยังทำให้นางกล่าวอันใดมิออก
แต่อย่าได้คิดว่าเรื่องนี้จักจบโดยง่าย !
เมื่อเห็นสายตาทุกคนมาหยุดอยู่ที่ตน อันหลิงเฉว่ก็ฝืนยิ้มออกมา “ข้าเพิ่งกลับมาอยู่เมืองหลวงได้มินาน แล้วจักรู้จักรูปร่างหน้าตาของบุรุษได้เยี่ยงไร ? พี่หญิงทำให้ข้าลำบากใจแล้ว หากท่านให้ข้าพูดก็คงพูดมิได้หรอกเจ้าค่ะ”
คำกล่าวเหล่านี้ละเอียดอ่อนมาก อันหลิงเฉว่จึงบอกมิได้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่ความหมายทั้งในและนอกบ่งบอกชัดเจนว่ามีบุรุษคนหนึ่งและบุรุษคนนั้นก็แปลกหน้าจนนางจำมิได้
อันหลิงเกอหันไปมองอันหลิงเฉว่ด้วยแววตาล้ำลึก แม้แต่หางตาก็แผ่ความเย็นชาออกมา “เหตุใดน้องหญิงรองจึงชอบกล่าววาจาเลื่อนลอยเสมอ หากผู้อื่นมาได้ยินเข้าก็จักเข้าใจผิดว่าข้าลอบนัดพบบุรุษ ที่เจ้าจำรูปร่างของจุนเกอร์เอ๋อมิได้ก็เพราะจุนเกอร์เอ๋อเพิ่งกลับมาอยู่จวนได้มินาน เขากลับมาอยู่ช้ากว่าเจ้าหน่อย ต่อไปกล่าววาจามิชัดเจนเช่นนี้อีกมิได้ เพราะมันทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหายและทำลายมิตรภาพระหว่างพี่น้อง”
ระหว่างพวกนางจักมีมิตรภาพพี่น้องอันใดหลงเหลืออยู่อีก ?
อันหลิงเฉว่เห็นอันหลิงเกอยืนกรานว่าบุรุษผู้นั้นคืออันหลิงจุน อีกทั้งยังบอกว่านางทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หากยังดึงดันต่อไปนางจักกลายเป็นคนมิรู้จักคิด จงใจใส่ร้ายญาติผู้พี่ของตน
อันหลิงเฉ่วจึงได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แต่แววตาฉายความชั่วร้าย “พี่หญิงกล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ เฉว่เอ๋อมิดูให้ดี ต่อไปจักมิกล่าววาจาเหลวไหลอีกแล้ว”
แม้ปากกล่าวเยี่ยงนั้นแต่ก็เผยใบหน้าน้อยใจน้ำตาคลอเบ้าทำให้หน้าตาที่ดูอ่อนแอของนางน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม หากคนที่มิรู้อันใดมาเห็นก็คงเข้าใจผิดว่าอันหลิงเกอกำลังข่มขู่ นางถึงได้กล่าวเยี่ยงนี้ออกมา
อันหลิงเกอมองอันหลิงเฉ่วอย่างเย็นชาและมิเก็บท่าทางอ่อนแอนั้นมาใส่ใจ
อาจารย์เดินเข้ามาสอนพอดี บรรยากาศในห้องเรียนจึงเงียบทันใด
…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว มินานก็มาถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของฮูหยินใหญ่อัน
อันหลิงจุนเตรียมตัวตั้งแต่เช้าตรู่และมารออยู่ที่รถม้านานแล้ว
หลายวันมานี้เขาดูเติบโตขึ้นมาก เด็กหนุ่มอายุสิบสองย่างสิบสามปีมีส่วนสูงมากกว่าอันหลิงเกอมาก เพียงแต่ร่างกายยังซูบผอมดังเดิม
อันหลิงเกอเดินตามออกมาอย่างรวดเร็ว ปี้จูและหมิงซินที่อยู่ด้านหลังก็รีบเดินตามติด ๆ
อันหลิงเกอเพิ่งชวนอันหลิงจุนสนทนาได้มิกี่ประโยคก็เห็นอันหลิงอีอยู่ในชุดกระโปรงสีแดงฉาน ที่หูยังมีต่างหูสีแดงสด เพียงมองครู่เดียวก็รู้สึกแสบตา
ใบหน้าของอันหลิงจุนดูเย็นชาขึ้นมา เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของมารดา ทว่าลูกอนุภรรยาเยี่ยงอันหลิงอีกลับแต่งชุดสีมงคลถึงเพียงนี้ นางต้องการอันใด ?
“พี่หญิงใหญ่มาเช้าถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ” เมื่อมาถึงอันหลิงอีก็ฉีกยิ้มส่งให้อันหลิงเกอพร้อมเอ่ยทักทายชนิดหาได้ยากยิ่ง ท่าทางอารมณ์ดียิ่งนัก นางชี้ที่ชุดของตนแล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ร้านเฉิงอีฝางเพิ่งส่งมาให้เมื่อวาน ข้าคิดว่าสวยดีแล้วพี่หญิงคิดว่าเป็นเช่นไรเจ้าคะ ? ”
ใส่สีแดงก็แล้วไปเถิด นี่ยังจงใจยั่วโทสะพี่หญิงอีก !
อันหลิงจุนกำหมัดแน่น ใบหน้าซูบผอมเผยให้เห็นความโมโห
แต่อันหลิงเกอตบบ่าเขาเบา ๆ และกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความโกรธ “ชุดของน้องหญิงสามสวยจริง การแต่งตัวสีฉูดฉาดเยี่ยงนี้ช่างเข้ากับเจ้ายิ่งนัก”
ใบหน้าของอันหลิงเกอเรียบง่าย น้ำเสียงก็มิได้ปั่นป่วน ท่าทางมิได้เก็บการยั่วยุของอันหลิงอีมาใส่ใจแม้แต่น้อย
อันหลิงอีกล่าวยั่วยุอันหลิงเกอมิสำเร็จ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายเย้ยหยันว่าแต่งตัวไปเดินตลาด รอยยิ้มบนใบหน้าจึงได้บิดเบี้ยวไปทันที
ในขณะนั้นอันอิงเฉิงและหลี่ซื่อกำลังเดินออกมาพอดี อันหลิงอีจึงกลืนไฟโทสะลงท้องและแสร้งก้มหน้าก้มตาเป็นเด็กดีเพื่อเดินตามหลี่ซื่อขึ้นรถม้า
ในรถม้า สองแม่ลูกสบตากันอย่างมีความหมาย มุมปากยกยิ้มขึ้นพร้อมในแววตายังแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
อันหลิงอีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ การที่นางใส่ชุดสีแดงมิได้เพียงเพราะอยากยั่วโทสะอันหลิงเกอ แต่ชุดนี้ยังมีประโยชน์อย่างอื่นด้วย
ขบวนรถม้าของจวนโหวเดินทางไปยังหุบเขาเขตชานเมืองอย่างมิช้าและมิเร็วจนเกินไป แต่แล้วมันก็หยุดอย่างกะทันหัน
“เกิดอันใดขึ้น ? ”
อันอิงเฉิงมองไปด้านนอกพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม เขาเห็นเพียงบนถนนตรงหน้ามีร่างของสตรีผู้หนึ่งนอนอยู่ นอกจากนี้ยังมีเด็กชายและเด็กหญิงยืนอยู่ข้างกายนางด้วย เสียงร้องไห้ของเด็กทั้งสองลอยมาตามสายลม
“ท่านพี่ ท่านแม่จักตื่นหรือไม่เจ้าคะ ฮือฮืฮฮือ ฮวนฮวนคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่ ท่านตื่นมาเล่นเป็นเพื่อนฮวนฮวนนะเจ้าคะ”
เสียงเด็กหญิงตัวน้อยไร้เดียงเต็มไปด้วยความสะอึกสะอื้น ในอ้อมกอดของนางมีตุ๊กตาผ้าตัวน้อย ดวงตาของเด็กน้อยจ้องมองสตรีที่หมดสติตรงพื้นและร้องไห้ออกมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเด็กชายที่ตัวสูงพอ ๆ กับนาง ใบหน้าซูบผอมก็เปื้อนไปด้วยความกังวล แต่ม่านตาสีดำดูหนักแน่นกว่าเด็กสาว
“ฮวนฮวนมิต้องกลัว ท่านแม่แค่หลับไปเท่านั้น นอนแค่ครู่เดียวก็ดีขึ้น พวกเรารออีกหน่อยเถิด เดี๋ยวท่านแม่ก็ตื่นแล้ว”
“ท่านพี่โกหก ! ”
ทันใดนั้นเจียงชิงฮวนก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม ดวงตาแดงก่ำเหมือนตาของกระต่ายน้อย “ท่านแม่มินอนบนถนนเยี่ยงนี้หรอก หากท่านแม่มิตื่นขึ้นมาตอนนี้ก็จักมิตื่นอีกแล้ว ! ข้ามิอยากให้ท่านแม่ตาย ! ฮือฮือฮือ…”
เจียงชิงเล่อก็ตาแดงขึ้นมาและกำมือน้อย ๆ ของตนไว้แน่น
“ท่านแม่ต้องตื่นขึ้นมา” เจียงชิงเล่อกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา น้ำตาก็รินรดใบหน้าอย่างช่วยมิได้
มิรู้ว่าฮูหยินบ้านไหนพาบุตรขึ้นเขาแล้วหมดสติอยู่ทางบนเขาเยี่ยงนี้ หลังจากมองท่าทีของเด็กน้อยสองคนแล้วฮูหยินผู้นี้ก็คงสลบไปได้พักหนึ่งแล้ว
อันอิงเฉิงคิดได้เยี่ยงนั้นก็เก็บสายตาและกำลังบอกให้องครักษ์ไล่คนพวกนี้ไป แต่อันหลิงเกอเห็นเข้าพอดี
แววตาของนางเปี่ยมความสงสัย คิดเพียงว่าคนพวกนี้ดูคุ้นตาพอสมควรและเมื่อเห็นเด็กชายรู้ความคนนั้นก็ยิ่งทำให้นางนึกถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำเมื่อชาติก่อน
ใช่แล้ว เป็นพวกเขาเอง !
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น ดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายและรีบลงจากรถม้าทันที
“เกอเอ๋อ เจ้าจักทำอันใด ? ” อันอิงเฉิงรีบตะโกนเรียกอันหลิงเกอเอาไว้ เพราะมิอยากให้บุตรสาวไปยุ่งกับชาวบ้านชั้นล่าง