ตอนที่ 151 วัฏจักรชีวิต
อันหลิงเกอหันมามองอันอิงเฉิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน “ท่านพ่อเจ้าคะ เมื่อมิกี่วันก่อนลูกเพิ่งได้เรียนวิชาแพทย์มาบ้าง สตรีผู้นั้นคงป่วย ลูกจึงไปดูว่าสามารถช่วยนางได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของแม่เจ้า อย่าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นเลย”
อันอิงเฉิงมิเห็นด้วย เพราะบุตรสาวเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งและเป็นเพียงผู้เดียวในราชวงศ์โจวที่ได้รับเกียรตินี้ นางจักไปรักษาสามัญชนได้เยี่ยงไร ? หากกล่าวออกไปคงเสียชื่อเสียงมาก
อันหลิงเกอส่ายหน้า “เพราะวันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่ ลูกจึงอยากไปช่วยนาง หากช่วยได้หนึ่งชีวิตแล้ว วิญญาณของท่านแม่บนสวรรค์คงดีใจเจ้าค่ะ”
ในเมื่ออันหลิงเกอลากฮูหยินใหญ่อันมาอ้าง อันอิงเฉิงจึงมิมีอันใดให้กล่าวอีกต่อไป เขาเดินตามอันหลิงเกอไปด้วย
อันอิงเฉิงคิดในใจว่าวิชาแพทย์ของอันหลิงเกอคงมิดีสักเท่าไร
ในมุมมองของเขา นางก็เป็นแค่เด็กน้อยที่เรียนมาเพียงผิวเผิน คิดอยากช่วยคนก็ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
มิว่าอันอิงเฉิงคิดเยี่ยงไร อันหลิงเกอก็มิได้สนใจแม้แต่น้อย เพราะในเวลานี้นางเดินไปถึงเบื้องหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนแล้ว ใบหน้าที่คุ้นเคยของฮูหยินผู้นี้ทำให้แววตาของอันหลิงเกอสั่นไหว ทันใดนั้นนางก็รีบคุกเข่าแล้วเอื้อมมือไปจับชีพจรของอีกฝ่ายทันที
เด็กน้อยสองคนเมื่อเห็นคนอื่นเดินเข้ามาและเป็นสตรีหน้าตาสวยงามยิ่งนัก ทำให้พวกเขาลืมร้องไห้ไปในทันที
เจียงเล่อเล่อได้สติกลับมาคนแรก ขณะมองอันหลิงเกอจับชีพจรให้มารดา ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายเผยความหวังออกมาพอสมควร “ท่านเป็นหมอหรือขอรับ ? ”
อันหลิงเกอพยักหน้าแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ข้าเป็นหมอ แม่เจ้าป่วยแล้ว ข้าขอตรวจนางสักหน่อย”
“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านรักษาแม่ข้าได้หรือไม่ ? ” เสียงของเจียงชิงฮวนยังแฝงไปด้วยความสะอึกสะอื้น เวลาพูดยังสูดน้ำมูกไปด้วย
“ต้องได้อยู่แล้ว” อันหลิงเกอพยักหน้า นางพอเข้าใจอาการป่วยของเซิ่นเจียวเจียวแล้ว
อันหลิงเกอพลิกตัวอีกฝ่าย จากนั้นก็เอื้อมมือไปกดหลังแล้วบอกให้ปี้จูนำเข็มมาที่นี่ จากนั้นสั่งให้หมิงซินประคองตัวเซิ่นเจียวเจียวเอาไว้พร้อมจัดท่าให้เซิ่นเจียวเจียวอยู่ในท่านั่ง อันหลิงเกอหยิบเข็มออกมาแล้วฝังไปตรงตำแหน่งแผ่นหลังและหัวใจของเซิ่นเจียวเจียว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็ดึงเข็มออกแล้วออกแรงกดจุดอีกฝ่ายจนได้ยินเสียงไอของเซิ่นเจียวเจียวและลืมตาในที่สุด
“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็ฟื้น ! ” เจียงชิงฮวนร้องออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็รีบกล่าวขอบคุณอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอมองสามคนตรงหน้า แววตาปรากฎรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เมื่อชาติก่อนนางโดนหลี่อี๋เหนียงและอันหลิงอีหลอกลวง ภายนอกทำดีอย่างโน้นอย่างนี้ แต่พอลับหลังก็สั่งให้จางโมโม่ริบเบี้ยหวัดนาง ให้คนครัวมิส่งอาหารมา แม้แต่ถ่านหินในฤดูหนาวก็ยังเป็นถ่านหินที่คุณภาพด้อยกว่าคนรับใช้
เสียดายที่ในเวลานั้นนางอ่อนแอและขี้ขลาด โดนคนรังแกแล้วมิกล้าพูด ได้แต่เชื่อว่าหลี่อี๋เหนียงมิทราบเรื่องเหล่านี้
ต่อมานางไปเยี่ยมหลุมศพมารดาในช่วงเทศกาลชิงหมิง ( เช็งเม้ง ) นางก็พบกับเซิ่นเจียวเจียวโดยบังเอิญ
ในเวลานั้นเซิ่นเจียวเจียวสวมใส่อาภรณ์เนื้อดี ส่วนตัวนางใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ เมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงอีที่แต่งตัวอย่างสวยงาม นางก็มิต่างอันใดจากสาวใช้
ใครจักคิดว่าคุณหนูใหญ่บุตรีภริยาเอกแห่งจวนโหวจักแต่งตัวโทรมยิ่งกว่าบุตรีอนุภริยา
ในเวลานั้นเซิ่นเจียวเจียวชี้แนะนางโดยบอกว่าหลี่ซื่อสองแม่ลูกมีใจคิดร้าย นางต้องระวังให้มาก
แต่นางโดนหลอกจนหน้ามืดตามัว เห็นจิ้งจอกร้ายเป็นคนดีและมิรับรู้ถึงความหวังดีของเซิ่นเจียวเจียว
หากในเวลานั้นนางเลือกเชื่อคำกล่าวของเซิ่นเจียวเจียว นางอาจมิโดนอันหลิงอีสังหารและมิต้องเห็นปี้จูตายตามต่อหน้าต่อตา
“ท่านช่วยข้าไว้หรือเจ้าคะ ? ” เซิ่นเจียวเจียวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คำนับอันหลิงเกออย่างซาบซึ้ง
อันหลิงเกอรีบหลบเลี่ยงการคำนับของนาง เพราะเมื่อชาติก่อนเซิ่นเจียวเจียวมีบุญคุณจากการให้คำชี้แนะ ดังนั้นนางจึงมิกล้ารับการคำนับจากอีกฝ่าย
ทว่าตอนที่เห็นเซิ่นเจียวเจียวในชาติก่อนคือเป็นบุตรสาวของฮูหยินหมิงจูชัด ๆ แล้วเหตุใดตอนนี้จึงตกต่ำจนเป็นเยี่ยงนี้เล่า ?
“มิทราบว่าเหตุใดฮูหยินท่านนี้จึงมาสลบอยู่บนทางขึ้นหุบเขาได้ ? ”
รอยยิ้มของเซิ่นเจียวเจียวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ทรงคิ้วก็ดูอ่อนโยน หลังจากนั้นเซิ่นเจียวเจียวก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง “พวกเราไปทำความสะอาดสุสานให้สามีที่ล่วงลับ ตอนเดินทางกลับน่าเสียดายที่สุขภาพข้ามิค่อยดีจึงหมดสติไป ทำให้บุตรทั้งสองตกใจเยี่ยงนี้”
เมื่ออันหลิงเกอได้ฟังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย ที่แท้สามีของเซิ่นเจียวเจียวก็เสียชีวิตไปนานแล้ว ก็ว่าเหตุใดนางจึงมิได้ยินเรื่องของเขามาก่อน
อันหลิงเกอพยักหน้ารับพร้อมกล่าวกับเซิ่นเจียวเจียวว่า “คราวนี้ท่านเป็นโรคลมแดด ต่อไปเวลาเดินทางขึ้นเขาต้องหาที่ร่มสักแห่งแวะพักบ้าง”
นี่เพิ่งเข้าฤดูร้อนอากาศก็ค่อนข้างร้อนมากแล้ว แต่เซิ่นเจียวเจียวมิเคยคิดมาก่อนว่าตนจักเป็นโรคลมแดด
นางบอกอันหลิงเกอว่าจักจำเอาไว้ หลังจากนั้นก็ถามชื่อแซ่อันหลิงเกอ “ข้าน้อยมีนามว่าเซิ่นเจียวเจียว ขอขอบคุณที่คุณหนูใหญ่อันช่วยชีวิตข้าไว้ หากวันหน้ามีโอกาสข้าต้องตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ข้าต่างหากที่ต้องตอบแทน
อันหลิงเกอคลี่ยิ้ม คิดว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกยิ่งนัก เมื่อชาติก่อนเซิ่นเจียวเจียวมีบุญคุณชี้แนะนาง ชาตินี้นางสามารถช่วยชีวิตเซิ่นเจียวเจียว นี่อาจเป็นวัฏจักรชีวิตกระมัง
เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคนด้านข้าง นางจึงลองหยั่งเชิงถาม “มิทราบว่าฮูหยินหมิงจู..”
“ฮูหยินหมิงจูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ ? ” เซิ่นเจียวเจียวที่อยู่ในเมืองหลวงมาระยะหนึ่งแล้วย่อมเคยได้ยินชื่อของฮูหยินหมิงจู
อันหลิงเกอครุ่นคิดถึงชาติก่อน เหมือนว่าฮูหยินหมิงจูประกาศให้คนนอกรู้ว่าบุตรสาวของนางสูญหายอยู่นอกจวนมานานหลายปีและหาตัวกลับมาอยู่จวนได้อย่างยากลำบาก
ในเวลานี้ได้ยินคำเรียกของเซิ่นเจียวเจียวแล้วอันหลิงเกอก็รู้ทันทีว่า ฮูหยินหมิงจูยังมิได้รับเซิ่นเจียวเจียวกลับจวน
นางคลี่ยิ้มแล้วซ่อนความคิดไว้ในใจ “อ่อ ข้าเห็นท่านมีหน้าตาคล้ายฮูหยินหมิงจูหลายส่วน จึงคิดว่าท่านเป็นเชื้อสายรุ่นใดของฮูหยินหมิงจู ที่แท้ข้าก็เข้าใจผิดไปเอง”
อันหลิงเกอกล่าวเพียงเท่านี้ เพราะหากกล่าวให้ชัดเจนเกินไปก็มิรู้จักอธิบายเยี่ยงไร
หวังว่าเซิ่นเจียวเจียวจักเข้าใจความหมายที่นางต้องการสื่อ
ทั้งสองสนทนากันอีกเล็กน้อย ทางฝั่งอันอิงเฉิงก็เข้ามากระตุ้นเตือน นางจึงพูดกับเขาสองสามประโยค ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมอันอิงเฉิงได้ เขาจึงให้คนลงจากรถม้าคันหนึ่งเพื่อนำรถม้าไปส่งเซิ่นเจียวเจียวที่ตีนเขา
ลู่จ้านที่ผ่านทางมาก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี
“คาดมิถึงว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวจักมีวิชาแพทย์ดีถึงเพียงนี้”
เขากล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ทว่าสายตาจับจ้องมาที่ร่างของอันหลิงเกอจนกระทั่งนางขึ้นรถม้าและเดินทางออกไปไกลแล้ว เขาจึงได้ละสายตา จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
“คุณหนูใหญ่อันผู้นี้มีจิตใจดียิ่งนัก”
ฉากเมื่อครู่ที่ท่านโหวต่อต้านมิให้นางช่วยฮูหยิน ลู่จ้านก็เห็นเต็มสองตา
แต่อันหลิงเกอมิสนว่าคนที่นอนสลบอยู่เป็นแค่สตรีสามัญชน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนึกย้อนไปตอนโจวหมิงคุณชายจวนเจิ้นกั๋วกงใช้รถม้าทำร้ายผู้คน คุณหนูใหญ่อันก็ออกมาแสดงตัวและตำหนิโจวหมิง แม้ในเวลานั้นนางอยู่ในชุดของบุรุษก็ตาม ลู่จ้านยังจำนางได้ดี
จิตใจดีงามเยี่ยงนี่ช่างแตกต่างจากสตรีอื่นในเมืองหลวงเสียจริง