ตอนที่ 16 คาดไม่ถึง
“เจ้ารีบกระโดดออกไปเร็วเข้า ! ”
อันหลิงเกอผลักหน้าต่างออก จากนั้นก็เอ่ยบอกให้ปี้จูกระโดดออกไป
“ไม่เจ้าค่ะ คุณหนูออกไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
ปี้จูจับมือคุณหนูของตนไว้แน่น นางเอาตัวบังไว้ให้นายของตนอยู่ด้านหลัง
เสียงขู่ฟ่อของบรรดางูหลากสีดังใกล้เข้ามา เป็นเหตุให้หน้าผากของอังหลิงเกอมีเหงื่อผุดพรายขึ้นมา เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นนางจึงคว้าเทียนในมือของปี้จูมาถือ จากนั้นดึงฉากกั้นด้านข้างออก แล้วโยนเทียนไปบนฉากกั้นนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว
เมื่อเทียนตกลงบนฉากกั้น เป็นเหตุให้เปลวไฟก็ลุกโชนและพุ่งสูงขึ้นตามแรงลม เผาไหม้ฉากกั้นทั้งบานอย่างรวดเร็ว แม้แต่งูตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ดิ้นพล่านอยู่ในกองเพลิง จนสุดท้ายก็ถูกเผาจนไหม้เกรียม
“ไป ! ”
และในขณะที่อันหลิงเกอกำลังจะดึงมือของปี้จูเพื่อจะกระโดดออกไปด้านนอกนั้น จู่ ๆ ก็มีงูตัวหนึ่งห้อยลงมาจากคานและตกลงบนหน้าของปี้จู เป็นเหตุให้นางตื่นตกใจเป็นอันมากและกรีดร้องออกมา จากนั้นก็สลบไป อันหลิงเกอจ้องมองไปที่งูตัวนั้น ภายในใจรู้สึกตื่นกลัวยิ่งนัก แต่ยังคงข่มกลั้นความกลัวเอาไว้ แล้วยื่นมือออกไปเพื่อจับงูตัวนั้น
“โอ๊ย ! ”
นางจับมิโดนจุดตายของงู แต่กลับถูกงูกัดเข้าจนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โง่เสียจริง”
เสียงอันก้องกังวานของบุรุษดังขึ้น พร้อมกับเงาของร่างหนาและสง่างามร่างหนึ่งปรากฎตัวขึ้นแล้วนั่งลงใกล้ ๆ อันหลิงเกอ จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว กดลงไปที่จุดตายของงูอย่างแม่นยำ แล้วจึงโยนร่างของงูตัวนั้นออกไปด้านนอกทันที
หลังจากนั้นเขาก็ก้มลงไปดูตรงรอยงูกัดขนาดเล็กบนข้อมืออันขาวเนียนของอันหลิงเกอ เป็นเหตุให้ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มเย้ยหยันถากถางยามนี้กลับนิ่งขรึมลง
ส่วนงูตัวอื่น ๆ คล้ายกับว่าพวกมันถูกยั่วโมโห จึงต่างพุ่งเข้ามา แยกเขี้ยวที่มีพิษสงร้ายกาจและอันตรายออกมา แต่มู่จวินฮานมิได้สนใจอีกต่อไป
เมื่อมีแสงกระทบกับคมมีดที่พื้นก็ปรากฏร่างของงูที่นอนตายเกลื่อนพื้น จากนั้นเขาก็คว้างูที่ตายแล้วโยนออกไปด้านนอกทันที อีกทั้งยังดับไฟที่ไหม้อยู่บนฉากกั้นอีกด้วย
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ” หลังจากเห็นงูที่น่ากลัวเหล่านั้นถูกทำลายจนสิ้นแล้ว อันหลิงเกอจึงได้ถอนหายใจออกมา แล้วมองไปยังบุรุษที่สง่างามเบื้องหน้าด้วยสายตาหวาดระแวง
สายตาที่ระมัดระวังของนางซึ่งมองมายังมู่จวินฮาน เป็นเหตุให้มู่จวินฮานถึงกับชะงัก ภายในใจรู้สึกอัดอึดขึ้นมาทันทีอย่างบอกมิถูก
“วัดชิงอวิ๋นเป็นสถานที่ ที่มีคนมาเที่ยวชมมากมาย ข้าจะมาชมวิวทิวทัศน์บ้างมิได้หรือเยี่ยงไร”
ทว่าหลังจากเขากล่าวจบประโยค ก็สังเกตเห็นมุมปากของอันหลิงเกอเริ่มมีสีเขียวคล้ำเกิดขึ้น แสดงว่าพิษงูเริ่มออกฤทธิ์แล้วสินะ
“เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง”
มู่จวินฮานตำหนินางด้วยเสียงหงุดหงิดออกมา แล้วก็ดึงมือของอันหลิงเกอไปยังริมฝีปากของตัวเอง แล้วทำการดูดพิษให้นางอย่างมิลังเล เขาใช้ริมฝีปากของตัวเองที่เย็นกว่าปกติ ประกบลงบนข้อมืออันอบอุ่นของอันหลิงเกอ ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกชาวาบขึ้นมาทันทีราวกับมีกระแสไฟไหลผ่าน หัวสมองรู้สึกว่างเปล่า
“นั่น..ท่านจะทำอันใด”
ผ่านไปครู่ใหญ่อันหลิงเกอจึงได้สติ ใบหน้าอันกระจ่างใสตอนนี้กลับแดงระเรื่อขึ้นอย่างห้ามมิได้
“ข้ากำลังดูดพิษให้เจ้าอยู่ มิเยี่ยงนั้นเจ้าก็เตรียมตัวลงไปดื่มชากับท่านยมบาลได้เลย”
แม้วาจาของเขายังคงเชือดเฉือนเช่นเดิม แต่การกระทำกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ราวกับว่านางนั้นคือสมบัติล้ำค่า
อันหลิงเกอมองดูท่าทางของมู่จวินฮานที่กำลังตั้งใจดูดพิษให้ตนอยู่ก็บังเกิดความรู้สึกสับสนจนยากที่จะอธิบาย จ้องมองเขาที่ดูดพิษจนเลือดที่มู่จวินฮานคายออกมามิเป็นสีดำอีก อันหลิงเกอจึงชักมือกลับและกล่าวขอบคุณอย่างเก้อเขิน
“เรื่องในวันนี้ต้องขอขอบคุณซื่อจื่อที่ช่วยเหลือ”
“มิเป็นไร เจ้าช่วยข้าหนึ่งครา ข้าช่วยเจ้าหนึ่งครา ถือว่าเราทั้งสองคนมิติดค้างกันแล้วนะ”
หลังจากนั้นมู่จวินฮานก็กลับไปแสดงท่าทีเป็นซื่อจื่อผู้จองหองอีกครา แววตาที่มองมายังอันหลิงเกอแฝงไว้ด้วยการหยอกล้อ
“แต่ว่าข้านึกมิถึงจริง ๆ ว่าบนโลกนี้จะมีคนโง่ที่กล้าจับงูด้วยมือเปล่า อีกทั้งยังมิรู้จักจับที่จุดตายของงู จนถูกกัดจนเกือบตายเข้าอีกด้วย”
“ข้ามิได้โง่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
อันหลิงเกออดมิได้ที่จะแย้งกลับไป
“ข้าตั้งใจที่จะจับจุดตายของมัน เพียงแต่…เพียงแต่มันหลบได้เสียก่อนก็เท่านั้นเอง”
เรื่องน่าอายเช่นนี้กลับถูกมู่จวินฮานรู้เข้า อันหลิงเกอแทบอยากจะให้มีรอยแยกปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางจะได้รีบมุดลงไปให้รู้แล้วรู้รอดนัก
ดวงตาของมู่จวินฮานแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ เป็นเยี่ยงนั้นเองหรอกหรือ”
จากนั้นก็ได้กวาดสายตาไปโดยรอบ ก็เห็นปี้จูที่เป็นลมอยู่ด้านข้าง จึงกล่าวกับอันหลิงเกอว่า “สาวใช้ของเจ้าดูเหมือนจะตกใจมาก แต่เจ้าเป็นถึงคุณหนูผู้สูงส่งกลับใจกล้ามิเบา”
“ข้าต้องใจกล้าอยู่แล้ว มิเช่นนั้นตอนนั้นจะกล้าช่วยซื่อจื่อได้เยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอตอกกลับไปและกล่าวต่อว่า “ดึกมากแล้ว ซื่อจื่อปรากฏตัวอยู่ที่นี่เกรงว่าคงมิเหมาะกระมัง ? ”
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมาย แต่ถ้ามีใครมาพบเข้าในยามนี้คงจะมิดีนัก นี่นางกล้าไล่เขาเยี่ยงนั้นหรือ ?
มู่จวินฮานเลิกคิ้วขึ้นกับคำกล่าวของนาง แต่สตรีที่อยู่เบื้องหน้ากลับดูเหมือนมิสนใจอันใดทั้งสิ้น มีเพียงสายตาที่บ่งบอกว่า ‘เหตุใดท่านยังมิไปอีก’ ที่มองมาเท่านั้น เป็นเหตุให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่มิน้อย
“ข้าใจดีช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับไล่ข้าเยี่ยงนี้น่ะหรือ สตรีไร้น้ำใจ”
พร้อมกับยกมือขึ้นกุมตรงตำแหน่งหัวใจ ทำท่าทางราวกับเจ็บปวดใจยิ่งนัก
อันหลิงเกอถึงกับต้องกลอกตาไปมา
“ถ้าหากข้าจำมิผิด พวกเราสองคนมิมีอันใดติดค้างกันอีก คำพูดนี้ซื่อจื่อเป็นคนพูดเองนะเจ้าคะ”
ดังนั้นท่านรีบไปจากที่นี่สักทีเถอะ
สายตาของอันหลิงเกอประหนึ่งเขียนเอาไว้เยี่ยงนี้
สายตาของมู่จวินฮานฉายแววจำยอม
“ก็ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ แต่ว่า……” “แต่ว่าเยี่ยงไรอีก ? ”
เมื่ออันหลิงเกอหันไปก็มีเงา ๆ หนึ่งเข้ามาบดบังเอาไว้ จากนั้นสัมผัสได้ถึงริมฝีปากของเขาปัดผ่านริมฝีปากของนางไปราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ เป็นเหตุให้จิตใจของอันหลิงเกอสั่นระรัวไปหมด
“ดูแลตัวเองให้ดีล่ะ ว่าที่เจ้าสาวของข้า”
เมื่อกล่าวจบเขาก็กระโดดออกไปทางนอกหน้าต่าง พริบตาเดียวก็หายไปกับแสงจันทร์
อันหลิงเกอกุมใบหน้าที่ร้อนผ่าว ก่อนที่คนบ้านั่นจะพูดประโยคนั้นออกมา นางก็รู้สึกทั้งโกรธทั้งอายอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว
คนผู้นั้นทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน !
หัวใจของนางเต้นแรง อย่างบอกมิถูกว่าโมโหหรือว่าเขินอายกันแน่ อีกทั้งภายในหัวก็สลัดรอยจูบนั้นออกไปมิได้ จนกระทั้งขึ้นไปนอนบนเตียง อันหลิงเกอก็ยังมิรู้สึกง่วง
……
…….
เช้าวันรุ่งขึ้นปี้จูที่ฟื้นคืนสติ รีบมองหาอันหลิงเกอทันที
“คุณหนู ดีจังเลยที่ท่านมิเป็นอันใดนะเจ้าคะ”
นางร้องเรียกด้วยความดีใจ แต่กลับสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาของอันหลิงเกอ ใบหน้าฉายแววสงสัย
“พวกงูเมื่อวานนี้คุณหนูเป็นคนไล่มันไปหรือเจ้าคะ ? ท่านมิได้นอนทั้งคืนเลยใช่ไหมเจ้าคะ สีหน้าท่านดูมิค่อยดีเลย ให้ข้าน้อยไป……”
“มิต้องหรอก”
อันหลิงเกอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว อยากจะตบคนบ้านั่นสักสองทีให้หายโมโหนัก แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญมากกว่ารออยู่
“เจ้าไปบอกท่านเจ้าอาวาสให้ข้าทีว่า เมื่อคืนนี้มีงูหลากสีเข้ามาในห้องของข้า ให้เจ้าอาวาสช่วยค้นหาหน่อย”
นางสั่งปี้จูด้วยแววตาเยือกเย็น
“แล้วก็ให้คนเข้ามาช่วยเก็บกวาดร่างงูพวกนั้นออกไปด้วย”
ใบหน้าของปี้จูฉายแววตกใจ แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
“ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมองตามร่างของปี้จูจนลับไป จากนั้นนางจึงหมุนตัวเดินไปยังห้องของอันหลิงอี
เมื่อทั้งสองพบหน้ากับ อันหลิงอีก็เอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“อันหลิงเกอ เจ้ามิเป็นอันใดเลยหรือ ? ”
อันหลิงอีเมื่อเห็นอันหลิงเกอที่ยังดูปลอดภัยดี ใบหน้าก็แสดงความตกตะลึงงันและผิดหวังออกมาอย่างมิปิดบัง
“เหตุใดเจ้าถึงถามเยี่ยงนี้ ? หรือว่าข้าควรจะเป็นอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
อันหลิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาสีดำสนิท จ้องมองไปทางอันหลิงอีจนอีกฝ่ายรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา