ตอนที่ 160 เล่ห์เหลี่ยม
จนถึงตอนนี้หลี่ซื่อเพิ่งเอ่ยปากบอกที่มาที่ไปของนักพรตผู้นี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่าได้รับรู้ โดยบอกว่านักพรตเก่งกาจเพียงใด เคยทำนายดวงชะตาให้สกุลใหญ่หรือดูฮวงจุ้ยมานักต่อนักแล้ว
เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าก็เผยใบหน้าผ่อนคลายออกมา ท่าทางให้เกียรตินักพรตอยู่บ้าง
“ที่แท้ก็คือนักพรตหวางนี้เอง ข้าเสียมารยาทแล้วหวังว่าท่านจักมิถือสา”
เดิมทีนักพรตผู้นี้ได้รับคำสั่งจากหลี่ซื่อมา เขาย่อมมิมีทางเดินออกไปจริงหรอก
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าให้เกียรติ เขาก็ไหลไปตามน้ำ ใบหน้ายังดูใจดีดังเดิม “ไหนเลยจักกล้าถือสา การที่ฮูหยินผู้เฒ่ายอมเชื่อข้าก็ถือว่าเป็นการเคารพข้าแล้ว”
แต่ใบหน้าของเว่ยซื่อที่อยู่ด้านข้างแปรเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว นางหันไปส่งสายตาให้อันหลิงเกอ
ใบหน้าที่เป็นกังวลของเว่ยอี๋เหนียงตกอยู่ในสายตาอันหลิงเกอทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจและรอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเกอที่ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เว่ยซื่อก็ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม เพราะกลัวว่าอันหลิงเกอจักมิรู้ถึงความร้ายกาจของหลี่ซื่อในเวลานี้
หากอันหลิงเกอโดนกล่าวหาว่ามีดวงอัปมงคลตั้งแต่เกิดจริง ๆ เยี่ยงนั้นนางต้องแบกรับเรื่องนี้ไปทั้งชีวิต มิเพียงคนในจวนโหวจักตีตนออกห่าง พอถึงเวลาที่นางต้องแต่งงานก็จักโดนฝ่ายชายรังเกียจไปด้วย
ใบหน้าที่งดงาม ท่าทางสบายราวกับมิได้เก็บเรื่องราวตรงหน้ามาใส่ใจ ทว่าลึก ๆ เเล้วอันหลิงเกอเป็นผู้ที่เย่อหยิ่งพอควร เกรงว่าถึงเวลาแต่งงานแล้วโดนอีกฝ่ายรังเกียจ ด้วยนิสัยของคุณหนูใหญ่ก็ยอมเอาหัวโขกกำแพงตายเสียดีกว่าต้องแต่งเข้าตระกูลผู้ที่กล้ารังเกียจนาง
มิว่าเว่ยซื่อร้อนใจเพียงใด นอกจากส่งสายตาให้อันหลิงเกอแล้วก็ได้แต่มองนักพรตกล่าวเกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าไปทีละประโยคสองประโยค
“หากข้าคำนวณมิผิด คุณหนูใหญ่น่าจักเกิดปีกระต่าย ในเดือนหก ยามจื่อ ( 23.00 – 0.59 น. ) ”
นักพรตแสร้งหันไปมองอันหลิงเกอพร้อมขยับนิ้วอย่างรวดเร็วและมิกี่คำนั้นออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ตกใจ คาดมิถึงว่านักพรตสามารถบอกเวลาตกฟากของอันหลิงเกอได้จึงเริ่มเชื่อขึ้นมา
“เมื่อครู่ท่านนักพรตบอกว่าเกอเอ๋อมีดวงชะตาอัปมงคล พอจักมีทางแก้หรือไม่ ? ”
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงสะใภ้ใหญ่อันที่ล่วงลับไปตั้งแต่ยังสาว เห็นชัดเจนว่าเวลานั้นสุขภาพแข็งแรงดีและมิค่อยเจ็บป่วย แต่ก็จากไปอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้อื่นมิทันตั้งตัว
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกตื่นกลัว หากอันหลิงเกอทำให้สะใภ้ใหญ่อันสิ้นลมก่อนวัยอันควรจริง ๆ ก็สามารถทำให้พวกตนสิ้นลมโดยมิตั้งตัวได้เช่นกัน
“วิธีแก้ย่อมมีอยู่แล้ว”
นักพรตพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ขอแค่ส่งตัวคุณหนูใหญ่ไปไว้ที่สำนักชี ให้ถือศีลสวดมนต์ หลังจากนั้นอีกสองสามปี กลิ่นอายความชั่วร้ายในตัวนางก็จักหายไปทั้งหมดและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขดังเดิม”
ให้ส่งตัวเกอเอ๋อไปที่สำนักชีน่ะหรือ?
ใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเคร่งขรึมเพราะเกอเอ๋อเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เองแล้วจักให้ส่งตัวไปไว้ที่สำนักชีได้เยี่ยงไร ?
มิต้องกล่าวถึงว่าเกอเอ๋อเต็มใจหรือไม่ เพียงแค่ผ่านด่านของฮ่องเต้ก็มิได้แล้ว
หากฮ่องเต้ทราบว่าจวิ้นจู่ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งโดนส่งไปอยู่ในสำนักชี ฮ่องเต้ต้องเข้าพระทัยผิดว่าจวนโหวมิพอใจในตัวพระองค์จึงทำเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นมา
ในเวลานี้ฮ่องเต้กำลังสงสัยจวนโหวแล้วนางจักทำเรื่องแบบนี้ได้หรือ ?
“มิได้ เกอเอ๋อมีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่ จักไปอยู่ในสำนักชีมิได้เด็ดขาด”
ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิเสธข้อชี้แนะของนักพรตทันที จากนั้นก็หันไปมองอันหลิงเกอที่อยู่ข้างกาย
ตอนเพิ่งกลับมาอยู่จวนโหวใหม่ ๆ หลานสาวผู้นี้เชื่อฟังและรู้ความ อีกทั้งคิดเผื่อนางอยู่บ่อยครั้งทำให้นางรู้สึกซึ้งใจมิน้อยและรักอันหลิงเกอมากพอสมควร
ถ้าอันหลิงเกอเป็นอันตรายต่อจวนโหวแห่งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงปกป้องไว้มิได้
ทว่าในเวลานี้อันหลิงเกอมีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่ แม้นางอยากให้อันหลิงเกอเสียสละเพื่อคนทั้งจวนโหว แต่ก็ต้องนึกถึงฮ่องเต้ด้วย
“ท่านนักพรตมีพลังแกร่งกล้า มิทราบว่ายังมีวิธีอื่นหรือไม่ ? ”
หลี่ซื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าลังเลมิยอมตัดสินใจจึงรีบถามนักพรตทันที
นักพรตขมวดคิ้ว เมื่อผ่านไปเพียงครู่เดียวก็กลับมามีท่าทางเมตตาอีกครั้งราวกับคิดวิธีดี ๆ ได้แล้ว
“ที่จริงก็มิใช่ว่าจักไร้วิธีอื่น”
เมื่อเขากล่าวออกมาเยี่ยงนั้น ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นประกาย “วิธีอันใดท่านนักพรตกล่าวออกมาได้เลย”
“วิธีนี้ง่ายมาก ในเมื่อคุณหนูใหญ่มีดวงชะตาอัปมงคล เพื่อมิให้ดวงของนางทำร้ายหรือเอาชีวิตผู้อื่นก็ให้คุณหนูใหญ่แยกไปอยู่คนเดียว จวนโหวต้องมีที่ดินว่างอยู่แล้ว ดังนั้นให้ส่งตัวคุณหนูใหญ่ไปอยู่ที่นั่น แล้วดวงชะตาของนางก็จักมิส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอีก”
ความหมายของนักพรตคือส่งตัวอันหลิงเกอไปอยู่ไร่อยู่นาจนกระทั่งแก่ตาย
“ทำเยี่ยงนั้นมิได้เด็ดขาดนะเจ้าคะท่านแม่”
เว่ยซื่อรีบแย้งออกมาอย่างร้อนรน “นักพรตผู้นี้พูดจริงหรือโกหก พวกเราก็ยังมิทราบ หากส่งคุณหนูใหญ่ไปอยู่ในไร่ แล้วต้องอยู่เพียงลำพังไร้ญาติขาดมิตรไร้ที่พึ่งพา มันมิเท่ากับบีบให้คุณหนูใหญ่ไปตายหรือเจ้าคะ ? ”
เมื่อได้ฟัง หลี่ซื่อก็เค้นเสียงดัง ฮึ ! ออกมา “เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินท่านนักพรตแล้ว เขาสามารถคำนวณวันเกิดของเกอเอ๋อได้ก็ต้องคำนวณดวงชะตาเกอเอ๋อได้เช่นกัน แล้วจักมีอันใดผิดพลาด ? ”
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่ท่านนักพรตก็กล่าวแล้วว่าสามารถส่งตัวเกอเอ๋อไปที่สำนักชี ผ่านไปเพียงสองถึงสามปีค่อยไปรับนางกลับมา มิได้ส่งผลใหญ่โตอันใดเสียหน่อย หรือในสายตาของเจ้าเห็นว่าชีวิตหลายร้อยคนในจวนโหวเทียบมิได้กับช่วงชีวิตสองสามปีของเกอเอ๋อ ? ”
เว่ยซื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามองด้วยสายตามิพอใจ แววตาเผยให้เห็นความผิดหวังพอสมควร นางจึงส่ายศีรษะพลางกล่าว “ข้ามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น ข้าเพียงคิดว่าอยู่ ๆ คุณหนูใหญ่ก็มีดวงชะตาอัปมงคลทั้งที่มิได้ทำอันใด แต่เพราะคำพูดของนักพรตเพียงมิกี่ประโยค นางต้องแบกรับว่าเป็นตัวอัปมงคลแล้ว อีกทั้งยังโดนขับไล่ออกจากจวนเยี่ยงนี้ ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก”
“ดูเหมือนฮูหยินท่านนี้มิเชื่อคำกล่าวของข้า” นักพรตผู้นั้นส่ายศีรษะทำท่าทางถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาว่า “เยี่ยงนั้นข้าจักทำนายดวงชะตาของท่านว่ามีบุตรชาย 1 คน แม้ท่านมีฐานะต่ำต้อย แต่ต่อมาได้กลายเป็นนายก็ถือเป็นวาสนาสูงสุดแล้ว ถ้ามิเลี้ยงบุตรชายให้ดี เกรงว่าจักมิได้เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่”
สีหน้าของเว่ยซื่อซีดเผือดในทันใด เวลานี้นางอยากกล่าวอันใดบางอย่าง แต่พบว่ากล่าวมิออกเสียแล้ว
ขณะมองท่าทางเสแสร้งของนักพรตผู้นั้น อันหลิงเกอก็พบว่าเขาส่งสายตาให้หลี่ซื่ออยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็แสร้งทำมิมีอันใดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นางจึงรับรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้เป็นคนที่หลี่ซื่อจ้างมา
ทำให้มุมปากของนางยกยิ้มและกล่าวกับนักพรตผู้นั้นด้วยท่าทีเหมือนมิโกรธหรือมิเสียใจแม้แต่น้อย “ที่แท้ท่านนักพรตก็เก่งกาจถึงเพียงนี้ มิทราบว่าท่านช่วยทำนายให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากทราบว่าเวลาตกฟากของหลี่อี๋เหนียงคือวันเวลาใด ? ”
เดิมทีนักพรตกำลังแสดงท่าทีผ่อนคลาย เพราะหลี่ซื่อได้เล่าเรื่องน้อยใหญ่ในจวนโหวแห่งนี้ให้ฟังทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงมิมีเรื่องใดที่เขาทำนายออกมามิได้
ทว่าคำถามของอันหลิงเกอในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกตื่นกลัว
เนื่องจากเวลาตกฟากของหลี่ซื่อมิได้อยู่ในข้อมูลที่นางบอกไว้ !