ตอนที่ 162 มิเชื่อ
“เรื่องวิธีแก้เมื่อครู่ข้าก็กล่าวไปแล้ว” นักพรตกล่าวพร้อมลูบเครา แสร้งทำตัวเดาทางยาก “คุณหนูใหญ่มีดวงอัปมงคล ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมาก ร่างกายอ่อนแอจึงได้รับผลกระบทจากนางง่ายที่สุด หากมินำตัวคุณหนูใหญ่ออกห่างจากฮูหยินผู้เฒ่า ในมิช้าก็เร็วเกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจักถูก…”
พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเยี่ยงนั้น สายตาก็หยุดอยู่ที่อันหลิงเกอ
หากเกอเอ๋อเป็นตัวอัปมงคลในชีวิตนางจริง หรือแม้แต่ทำให้นางตายอย่างอนาถ ถึงแม้เกอเอ๋อมีฐานะเป็นจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งก็ต้องส่งตัวออกจากจวนโดยเร็วที่สุด
ทว่าเกอเอ๋อมิเคยทำผิดอันใดมาก่อน หากให้ส่งตัวออกจากจวนเพราะคำกล่าวเพียงมิกี่ประโยคของนักพรตก็คงมิยุติธรรม
เพียงครู่เดียวฮูหยินผู้เฒ่าก็คิดไปต่าง ๆ นานา แต่บนใบหน้ามิได้แสดงท่าทีอันใดออกมา สายตาที่ใช้มองอันหลิงเกอยังดูอ่อนโยนและเมตตาดังเดิม “เกอเอ๋อ เจ้าคิดว่าคำกล่าวของนักพรตผู้นี้น่าเชื่อถือหรือไม่ ? ”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าถามประโยคนี้ออกมา แววตาหลี่ซื่อก็เปล่งประกายเล็กน้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มเพราะคิดว่าแผนการที่วางไว้ใกล้สำเร็จ
ถ้าอันหลิงเกอบอกว่าเชื่อคำกล่าวของนักพรต ก็ยอมรับว่าตนเป็นตัวอัปมงคล แต่ถ้าฉลาดหน่อยก็อาจหาเหตุผลย้ายออกไปจากจวนโหวเองเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้คนในจวนเดือดร้อน
หากอันหลิงเกอบอกว่านักพรตกล่าววาจาเหลวไหล ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมคิดว่านางเห็นแก่ตัวมิสนใจความปลอดภัยของทุกคนในจวน
มิว่าอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงไรก็ถูกลิขิตให้ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น หลี่ซื่อก็เลิกคิ้วคู่งามขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ดวงตาที่จ้องมองอันหลิงเกอก็แฝงไปด้วยความชั่วร้าย
รอให้อันหลิงเกอโดนฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจ ถ้าไร้ฮูหยินผู้เฒ่าคอยให้ท้ายแล้ว การจัดการนางก็เป็นเรื่องง่าย
อันหลิงเกอกวาดสายตามองหลี่ซื่อราวกับสามารถอ่านความคิดของอีกฝ่ายออก พร้อมกันนั้นดวงตาคู่งามก็จับจ้องหลี่ซื่ออย่างเยือกเย็น
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง อันหลิงเกอก็กล่าวว่า “คำกล่าวของท่านนักพรตน่าเชื่อถือหรือไม่ จักให้หลานตัดสินมิได้หรอกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างตกใจต่อคำตอบของอันหลิงเกอ แววตาเฉียบคมมองอันหลิงเกอด้วยความประหลาดใจ “เกอเอ๋อหมายความเยี่ยงไร ? ”
“หลานเพียงคิดว่าแม้ท่านนักพรตทำนายดวงชะตาของหลานได้ แต่ก็มิอาจแน่ใจได้ว่าเขาเก่งกาจและน่าเชื่อถือจริงเจ้าค่ะ”
ดวงตาคู่งามของอันหลิงเกอเปล่งประกาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเยี่ยงนั้นทำให้หลี่ซื่อรู้สึกใจคอมิดีจึงรีบกล่าวว่า “เมื่อครู่เกอเอ๋อก็เห็นความสามารถของท่านนักพรตแล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังสงสัยในสามารถของท่านนักพรตอีกเล่า ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดว่าอันหลิงเกอหาข้ออ้างเพื่อแก้ตัว สีหน้าจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป แต่แล้วก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ต้องทำเยี่ยงไรเจ้าถึงเชื่อในความสามารถของท่านนักพรต ? ”
คำกล่าวนี้บ่งบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อนักพรตไปแล้ว หลี่ซื่อจึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา
ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อท่านนักพรตก็พอ ส่วนอันหลิงเกอเชื่อหรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดอันหลิงเกอจักโดนฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจอยู่ดี
อันหลิงเกอมองหลี่ซื่ออย่างเย็นชา สุดท้ายมุมปากก็ยกยิ้มอย่างได้ใจ
“ในเมื่อนักพรตผู้นี้เป็นคนที่หลี่อี๋เหนียงเชิญมาดูฮวงจุ้ยให้จวนโหวก็ขอเชิญท่านนักพรตช่วยดูภูเขาหินลูกนี้ให้ข้าหน่อยว่าฮวงจุ้ยของมันดีหรือร้าย”
นักพรตผู้นี้มีความสามารถจริงหรือไม่แค่ลองก็รู้แล้ว
รอยยิ้มมุมปากของอันหลิงเกอในเวลานี้ดูน่ารัก ท่าทางเหมือนคุณหนูผู้อ่อนโยนไร้พิษภัย มิว่าหลี่ซื่อคิดเยี่ยงไรก็คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักกล้าทำเยี่ยงนี้
ถ้าอันหลิงเกอยังกล่าวเรื่องชะตาชีวิต หลี่ซื่อก็มีคำกล่าวเป็นหมื่นเป็นพันที่จักอ้าง
แต่เมื่ออันหลิงเกอกล่าวถึงเรื่องฮวงจุ้ย หลี่ซื่อก็จนปัญญาขึ้นมาทันที ได้แต่หวังว่านักพรตจักใช้ทักษะที่เคยหลอกลวงผู้คนมาเอาตัวรอดได้
ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนธรรมดาที่มิรู้ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าและอันหลิงเกอก็คงมิต่างกันมากนัก
ขอแค่นักพรตฉลาดหน่อยก็คงมิทำให้แผนนี้ล้มเหลว
นักพรตก็รู้สึกหวาดหวั่นที่ต้องมารับมือกับอันหลิงเกอโดยมิทันตั้งตัว
ทว่าต่อจากนั้นมินานเขาก็เผยรอยยิ้มที่ดูลึกลับและคาดเดาได้ยากออกมา “ในเมื่อคุณหนูใหญ่สงสัยในความสามารถของข้า เยี่ยงนั้นข้าจักกล่าวเรื่องฮวงจุ้ยของจวนให้ฟังสักหน่อย มิเช่นนั้นพวกท่านคงมิยอมเชื่อคำกล่าวของข้า”
นักพรตแสดงความมั่นอกมั่นใจเพราะก่อนหน้านี้เขาเคยทำพิธีให้จวนอื่นมาก่อน ดังนั้นการพูดโป้ปดเพียงมิกี่ประโยคย่อมมิถือว่าเป็นเรื่องยากอันใด
“กล่าวกันว่าฟ้ามีห้าดาว ดินมีห้าธาตุ ฟ้าแบ่งกลุ่มดาว ดินแบ่งหุบเขาและสายธาร
พลังขึ้นกับดิน ความงามขึ้นกับฟ้า ฟ้าดินเชื่อมโยง มนุษย์มิอาจเลี่ยง นี่ก็คือฮวงจุ้ยและฮวงจุ้ยที่ดีสามารถส่งเสริมให้ครอบครัวมั่งมี ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง ตระกูลใช้ชีวิตอิ่มเอม ตรงกันข้าม ถ้าฮวงจุ้ยมิถูกต้องก็อาจทำร้ายชีวิตของตนหรือแม้แต่เป็นภัยกับคนรอบตัว”
หลี่ซื่อเห็นเยี่ยงนั้นก็วางใจได้ในที่สุดแล้วหันไปมองอันหลิงเกออย่างเหยียดหยาม
แม้อันหลิงเกอเจ้าเล่ห์แค่ไหนก็มิมีทางทำลายแผนการในวันนี้ได้
ทว่าอันหลิงเกอมิหันมามองนางแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังพยักหน้าให้นักพรตผู้นั้นและใบหน้างดงามก็แสดงออกว่าเห็นด้วย “ท่านนักพรตกล่าวถูกแล้ว นี่คือหลักการที่ดีของฮวงจุ้ยในการหล่อเลี้ยงคนให้เป็นสุข แต่ข้ากำลังถามเรื่องฮวงจุ้ยของจวนโหว ท่านนักพรตพูดหลงประเด็นไปหรือไม่ ? ”
เหตุใดสตรีผู้นี้จึงจัดการยากเย็นนักนะ !
เปลือกตาของนักพรตกระตุกอย่างแรง ทำท่าทางลูบเคราเยี่ยงคนอวดรู้ก็หยุดลงและเกือบดึงเคราของตนด้วยความโกรธ
ทว่าหลี่ซื่อส่งสายตาให้เขาทันเวลา เขาจึงนึกถึงเงิน 100 ตำลึงที่รับมาแล้ว ท้ายที่สุดก็งัดความกล้าออกมาและค้นหาสิ่งที่รู้ออกมาจากสมอง
“ในจวนมีคนอาศัยมากมายคือความจริงประการแรก จวนหลังใหญ่ ประตูบานเล็กคือความจริงประการที่สอง กำแพงและตัวเรือนสมบูรณ์พร้อมคือความจริงประการสาม การไหลของน้ำไปทางตะวันออกเฉียงใต้คือความจริงประการสี่ โครงสร้างของจวนสร้างได้ดีมาก สรุปแล้วเป็นสถานที่รวมความสุขเอาไว้”
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนี้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ผ่อนคลายลง จวนที่เปี่ยมพลังย่อมเพาะเลี้ยงร่างกายได้ดี ในเมื่อจวนหลังนี้เป็นสถานที่รวมสุขก็ต้องเป็นสถานที่อยู่อาศัยชั้นยอด นางมิจำเป็นต้องกลัวว่าดวงของอันหลิงเกอจักเป็นอัปมงคลต่อตนแล้วมีจุดจบที่อนาถอีกต่อไป
แต่ทางฝั่งอันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาคู่งามเปื้อนไปด้วยความสงสัย “เหตุใดข้ารู้สึกว่าท่านนักพรตกล่าวมิถูกต้อง ท่านดูเถิดว่าพื้นที่ของจวนหลังนี้เป็นลูกคลื่นขึ้นลง ราวกับมังกรกึ่งหลับกึ่งตื่น อาจมีสักวันที่มังกรบินขึ้นฟ้า แต่ภูเขาหินตรงนั้นทับตำแหน่งหลังของมังกรไว้พอดี มันกดให้มังกรไปไหนมิได้ ติดอยู่กับที่แห่งนี้มิอาจบิน แล้วจักเป็นสถานที่ดีได้เยี่ยงไร ? ”
ฮวงจุ้ยเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างมาก ดังนั้นภูมิศาสตร์จึงเป็นหนึ่งในศาสตร์สำคัญ
อย่างเช่นเรื่องชีพจรมังกรเหล่านั้นต่างก็ยึดหลักภูมิศาสตร์เป็นสำคัญและสุสานของฮ่องเต้ก็ต้องสร้างในฮวงจุ้ยที่ดีเพื่อป้องกันเภทภัยต่าง ๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามนิ้วอันหลิงเกอและเห็นพื้นที่ขึ้นลงเหมือนร่างมังกรจริง ๆ เพียงแต่ตรงนั้นมีภูเขาหินสร้างทับหลังมังกรไว้พอดีจนทำลายพื้นที่ดีงามไปเสียได้
เมื่อนักพรตได้ยินอันหลิงเกอกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ เขาก็รู้สึกตื่นกลัว บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมออกมามิหยุด