ตอนที่ 164 หลี่ซื่อพ่ายแพ้
คำพูดของอันหลิงเกอราวกับเสียงฟ้าร้อง มันดังก้องในหูของนักพรตจนใบหน้าซีดเผือดทันที
ในเวลาเดียวกันใบหน้าของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามีใบหน้ามืดมน นางก็กระวนกระวายใจและเผยแววตาแห่งความกังวลออกมาอย่างปิดมิมิด
มิทันได้ส่งสายตาให้นักพรต หลี่ซื่อก็รีบกล่าวว่า “ข้ารู้มาโดยตลอดว่าเกอเอ๋อมิชอบข้า แต่เจ้าจักทำเพราะเกลียดข้าแล้วมาสงสัยในตัวนักพรตที่ข้าเชิญมามิได้”
หลี่ซื่อกล่าวว่าการที่อันหลิงเกอทำเช่นนี้มีสาเหตุเพราะอันหลิงเกอมิชอบนางและยังมีความหมายแอบแฝงให้ฮูหยินผู้เฒ่ารับรู้ว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของเด็กคนหนึ่ง จักให้ฮูหยินผู้เฒ่าเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังมิได้
ฮูหยินผู้เฒ่ามองนักพรตผู้นั้นออกอย่างชัดเจนแล้ว มุมปากของนางก็ยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มแสนเย็นชา “ข้าใช้ชีวิตมานานถึงเพียงนี้ก็เพิ่งเคยเห็นนักพรตที่มิสามารถดูฮวงจุ้ยได้ หลี่ซื่อ เจ้าควรอธิบายให้ข้าฟัง”
คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าขมวดเป็นปม แฝงไปด้วยความดุดันและความโกรธซึ่งท่าทางโมโหเยี่ยงนั้นทำให้หัวใจหลี่ซื่อสั่นสะท้าน
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าโดนหลี่ซื่อหลอกก็รู้สึกเหมือนตนเป็นลูกลิงที่โดนผู้อื่นจับเล่นอย่างสนุกมือ
ชั่วชีวิตนี้ของนางยังมิเคยอับอายหรืออัปยศถึงเพียงนี้มาก่อน !
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ามีเพลิงโทสะลุกโชน แววตาเยี่ยงนี้ทำให้หลี่ซื่อรู้สึกกลัวสุดหัวใจ รับรู้ได้ทันทีว่าฮูหยินผู้เฒ่ามิมีทางเชื่ออีกแล้ว
ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าในมือก็ถูกบีบจนยับย่น เห็นได้ชัดว่าหลี่ซื่อกำลังกระวนกระวาย
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าแค่เชิญนักพรตมาดูฮวงจุ้ยเท่านั้น ส่วนเรื่องวิชาแกร่งกล้าหรืออ่อนหัด ข้าเองก็มิรู้เพราะอยู่แต่ในเรือน ! ”
หลี่ซื่อตะโกนเสียงดังลั่น ส่วนอันหลิงเกอได้แต่ยกยิ้มมุมปากเย้ยหยันออกมา “ท่านย่าเจ้าคะ ในเมื่อทราบแล้วว่านักพรตผู้นี้หลอกลวงก็ยุติเรื่องนี้เถิดเจ้าค่ะ อย่าให้เรื่องในวันนี้กระทบจิตใจท่านอีกเลย”
แต่ทันใดนั้นเว่ยซื่อก็เผยใบหน้าโกรธจัด “คุณหนูใหญ่มิเข้าใจ เห็นอยู่ว่านักพรตทำอันใดมิได้สักอย่าง แต่สะใภ้หลี่กลับเชิญเขาเข้ามาในจวน ดังนั้นต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นพอเหยียบเข้ามาก็บอกว่าคุณหนูใหญ่มีดวงอัปมงคล เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาร้ายคืออยากให้คุณหนูใหญ่โดนทุกคนรังเกียจ ส่วนใครได้ผลประโยชน์ ข้าคงมิต้องเอ่ยมากแล้ว คุณหนูใหญ่เป็นคนจิตใจดี แต่จักปล่อยให้ผู้อื่นรังแกอยู่เยี่ยงนี้ตลอดไปมิได้ ! ”
ส่วนคนที่เว่ยซื่อบอกว่ารังแกอันหลิงเกอ ทุกคนในที่นี้ย่อมรู้ดีแก่ใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าละสายตาจากหลี่ซื่อแล้วมาจับจ้องที่นักพรตผู้นั้นแทน “โจรโอหัง กล้าหลอกลวงพวกเราจวนโหว พวกเจ้ารีบมาลากตัวมันไปส่งให้ทางการ ! ”
สาวใช้และทหารยามที่อยู่ด้านข้างกำลังสับสนเพราะฮวงจุ้ยเหล่านั้น แต่พอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งก็ขานรับเป็นเสียงเดียวแล้วพุ่งเข้าหานักพรตทันที
“ฮูหยินผู้เฒ่าไว้ชีวิตด้วย ! ”
นักพรตเห็นว่าตนโดนจับได้แล้ว ใบหน้าที่สูงส่งจึงจางหายไปในพริบตา
ในเวลานี้ทหารยามพร้อมดาบกำลังเดินเข้ามาหาทีละก้าว แต่ละคนมิได้มองด้วยสายตาเคารพผู้สูงส่งแล้ว คิ้วเหยียดตรง แววตาดุดัน ทำให้เขาตกใจจนคุกเข่าลงพื้นแล้วรีบคำนับฮูหยินผู้เฒ่าโดยโขกหน้าผากกับพื้นหลายครั้ง
“ข้าน้อยตาบอดไปชั่วขณะ รับเงินที่มิควรถึงได้กล้าใส่ร้ายคุณหนูใหญ่ ข้าน้อยถูกคนบงการ ฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ! ”
ยังมิรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปซักถาม เขาก็ยอมสารภาพออกมาแล้ว ทำให้หลี่ซื่อโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ริมฝีปากก็สั่นเล็กน้อย
ตอนนางส่งคนไปเรียกเขาเข้าจวนก็ตกลงกันไว้แล้วโดยบอกว่าถ้าทำมิสำเร็จก็ห้ามเผยว่านางเป็นคนสั่งการเด็ดขาด
เจ้านักพรตก็รับปากดิบดี อีกทั้งยังตบหน้าอกบอกว่าหลอกคนมานานมิเคยล้มเหลวมาก่อน ยิ่งมิเคยสารภาพถึงนายจ้างเลยสักครั้ง ที่แท้เขาก็หลอกนาง !
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแย่กว่าหลี่ซื่อ แม้คาดเดาบางอย่างได้แล้ว พอได้ยินนักพรตกล่าวออกมาเยี่ยงนั้น นางก็โมโหยิ่งกว่าเดิม
ต่อหน้าคนรับใช้เรือนชิงเฟิงมากถึงเพียงนี้ นางยอมเชื่อคำกล่าวหลี่ซื่ออย่างโง่งมและโดนนักพรตจอมปลอมไร้การศึกษาหลอกในชั่วพริบตา หากผู้อื่นรู้เข้าแล้วจักมิหัวเราะว่านางโง่เขลาเยี่ยงนั้นหรือ ?
แค่นึกถึงเรื่องนี้นางก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดบอดและแทบอยากย้อนเวลากลับไป นางจักมิมีทางเชื่อเรื่องนกกระเรียนมงกุฎแดงเด็ดขาดและมิเชื่อเรื่องดวงอัปมงคลอันใดด้วย !
เว่ยซื่อรีบเดินเข้ามาหาฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมเอื้อมมือไปลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อปลอบให้ใจเย็น
“ท่านแม่อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่กล่าวถูกว่าท่านจักทำร้ายสุขภาพเพราะเรื่องนี้มิได้เด็ดขาด นี่เป็นเพราะเจ้าคนต่ำทรามมีเจตนาร้าย หากท่านโมโหจนล้มป่วย จักมิเท่ากับนำความผิดของผู้อื่นมาทำให้ตนลำบากหรือเจ้าค่ะ ? ”
มิว่าความหมายใด เว่ยซื่อก็คิดเพื่อฮูหยินผู้เฒ่า แต่มันก็บ่งบอกชัดเจนว่านี่เป็นแผนการของหลี่ซื่อเพื่อกำจัดอันหลิงเกอ
อันหลิงเกอมองเว่ยอี๋เหนียงด้วยความแปลกใจ นางคิดว่าเว่ยอี๋เหนียงแม้อยู่ภายใต้เงื้อมมือหลี่ซื่อก็ยังปลอดภัยมาโดยตลอด ย่อมต้องเป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่งแน่นอน
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่าเว่ยอี๋เหนียงที่ดูเกียจคร้านไปวัน ๆ จักกล้าเอ่ยวางยาหลี่ซื่อต่อหน้าตนและฮูหยินผู้เฒ่า หรืออีกฝ่ายตัดสินใจสู้กับหลี่ซื่อและมิซ่อนความสามารถไว้อีกแล้ว ?
เว่ยอี๋เหนียงสังเกตเห็นสายตาของอันหลิงเกอจึงหันมาฉีกยิ้มให้และมีเพียงอันหลิงเกอที่เข้าใจความหมายลึกซึ้งในดวงตานั้น
ก่อนหน้านี้นางโดนหลี่ซื่อกดขี่จนจำใจย้ายไปอยู่เรือนเพียนและใช้ชีวิตเงียบ ๆ แต่แม้เป็นเยี่ยงนั้นนางก็ยังทานมิอิ่มนอนมิอุ่น สุดท้ายคุณหนูใหญ่เอ่ยเรื่องนางต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำให้นางได้มารับใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าโดยมิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนและบุตรชาย ทั้งยังสามารถอยู่ในจวนโหวได้อย่างเปิดเผย มิต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนอีกแล้ว
ตอนนี้นางรับรู้ว่าหลี่ซื่อตั้งใจทำร้ายคุณหนูใหญ่ อีกทั้งหลักฐานยังพร้อมสรรพ นางจึงคิดใช้โอกาสนี้ทำให้หลี่ซื่อสูญเสียความเชื่อใจจากฮูหยินผู้เฒ่าไปชั่วชีวิต หรือทางดีที่สุดคือทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจัดการกับหลี่ซื่อจนสูญเสียศักดิ์ศรีไปเลย
เว่ยซื่อเก็บสายตา มีเพียงมุมปากที่ยกยิ้มเท่านั้นที่บอกว่านางมีความสุขแค่ไหน
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็โกรธยิ่งกว่าเดิม นางเข้าใจมาโดยตลอดว่าตนเป็นคนฉลาด ช่วงวัยสาวก็ได้เรียนรู้ความอิจฉาของบรรดาพี่น้องที่มีต่อนาง หลังแต่งกับท่านโหวแล้วก็จัดการเหล่าอนุของท่านโหวได้อย่างราบคาบ แม้แต่ตอนท่านโหวเสียไปแล้ว นางยังทำให้บุตรชายคนโตให้รับตำแหน่งโหวต่อได้
นางใช้ชีวิตอย่างราบรื่นมาโดยตลอดและยังมิเคยเจอคนวางแผนใส่เช่นนี้มาก่อน !
แววตาฮูหยินผู้เฒ่าดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “พวกเจ้าคนหนึ่งบอกข้าอย่าเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ส่วนอีกคนก็บอกว่าอย่าโมโหเดี๋ยวจักส่งผลต่อสุขภาพ แต่มีคนที่ทนมิไหว มิอยากให้ข้ามีชีวิตสงบสุขจึงสร้างเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นมา ! ”
“เจ้านักพรตนี่กล่าวถูกเรื่องหนึ่งคือข้ามีชีวิตราบรื่นมาโดยตลอด แต่พอถึงบั้นปลายชีวิตต้องลำบากเพราะคนรุ่นหลัง”