ตอนที่ 167 คร่ำครวญ
เมื่อเสร็จการร่วมประชุมประจำราชสำนัก อันอิงเฉิงก็ไปแจ้งเรื่องโจรภูเขาเมื่อวานนี้ให้ทหารหน่วยลาดตระเวนรับทราบ
ท่านโหวแห่งต้าโจวโดนโจรภูเขาดักปล้นในเมืองหลวงย่อมมิใช่เรื่องเล็ก
หน่วยลาดตระเวนเมืองหลวงจึงตอบรับเรื่องนี้ด้วยความหวั่นเกรง “ท่านโหววางใจได้ขอรับ เมืองหลวงอยู่ภายใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ โจรภูเขาพวกนั้นใจกล้าคิดปล้นท่านโหว ข้าน้อยต้องจับตัวกลับมาเพื่อคืนความสงบสุขให้เมืองหลวงแน่นอนขอรับ”
“รบกวนใต้เท้าจางแล้ว”
อันอิงเฉิงกล่าวอย่างสุภาพแต่ก็ทิ้งท้ายเพื่อกระตุ้นใต้เท้าจางอีกว่า “ในเมืองหลวงมีโจรเหี้ยมโหดพรรค์นี้ ราษฎรต้องได้รับความยากลำบากไปด้วย หวังว่าใต้เท้าจางจักจับโจรพวกนั้นได้โดยเร็ว ข้าจึงวางใจได้ส่วนราษฎรก็จักได้สบายใจเช่นกัน”
“ขอรับ ข้าน้อยต้องยุติเรื่องกลุ่มโจรนี้โดยเร็วที่สุด” ขุนนางหน่วยลาดตระเวนตกปากรับคำ ส่วนอันอิงเฉิงที่กล่าวได้มิกี่คำก็เดินออกจากหน่วยลาดตระเวนไป
เขาเพิ่งมาถึงจวน เก้าอี้ที่นั่งยังมิทันร้อน สาวใช้เรือนหลี่ซื่อก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมเรียนว่า “นายท่านเจ้าคะ ท่านรีบไปดูฮูหยินรองเถิด นางหมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เกิดอันใดขึ้น ? ”
อันอิงเฉิงขมวดคิ้ว ใบหน้ามิพอใจพอสมควร
เดิมทีช่วงหลายวันนี้เขาก็งานยุ่งอยู่แล้ว เมื่อวานยังเจอโจรภูเขาอีก เขาจึงยุ่งกับการส่งคนไปบอกทางการให้ออกจับโจรภูเขาพวกนั้น แม้แต่เวลาจิบชายังมิมี แล้วหลี่ซื่อยังมาหมดสติในเวลานี้อีกหรือ ?
คนที่มาส่งข่าวเป็นเพียงสาวใช้กวาดเรือนหลี่ซื่อเท่านั้น นางมิมีคุณสมบัติได้อยู่รับใช้ข้างกายหลี่ซื่อ แล้วนางทราบเรื่องที่เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร ?
เมื่อเห็นสีหน้าของอันอิงเฉิงดูมิดีเท่าไร สาวใช้ผู้นั้นก็ตกใจจนมิกล้าหายใจแรง นางทำได้เพียงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้อันอิงเฉิงฟัง
“หลังจากฮูหยินกลับถึงเรือน ยังมิทันเดินเข้าไปในห้องก็หมดสติล้มไปแล้วเจ้าค่ะ
บ่าวเองก็มิทราบว่าเกิดอันใดขึ้น แต่พี่เถ่าหงให้บ่าวมาตามนายท่าน ดูจากสีหน้านางแล้วเหมือนอาการของฮูหยินร้ายแรงมากเจ้าค่ะ”
คำกล่าวของสาวใช้ทั้งรวดเร็วทั้งกังวลเพื่อทำให้นางรอดตัวโดยเร็วที่สุด
เมื่อนางย้อนนึกกลับไปคือนางเห็นหลี่ซื่อเรียกเถ่าหงไปหาด้วยตานางเอง ทว่ากล่าวกับเถ่าหงได้มิกี่ประโยคหลี่ซื่อก็หมดสติ สัญชาตญาณบอกนางว่าเรื่องนี้ต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเถ่าหงเป็นคนส่งนางให้มาทำเรื่องนี้ แต่อันอิงเฉิงจักไปหรือมิไป มันก็มิได้ขึ้นอยู่กับนาง
สีหน้าอันอิงเฉิงในเวลานี้เคร่งขรึมจนน่ากลัว ดวงตาแฝงไปด้วยความขุ่นมัว
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่อันหลิงอีเข้ามาขวางกลุ่มโจรภูเขาตรงหน้า เขาจึงคิดว่าหลี่ซื่อเสียแรงสอนบุตรสาวให้ดีไปมิน้อย เขาจึงเค้นเสียงดัง ฮึ แล้วกล่าวต่อ “พาข้าไปดูนาง”
สาวใช้รีบพยักหน้ารับแล้วพาอันอิงเฉิงออกไปทันที
เมื่อเข้ามายังเรือนหลี่ซื่อ อันอิงเฉิงก็เห็นนางนอนอยู่บนเตียง ข้างกายมีเถ่าหงที่กำลังป้อนยาด้วยใบหน้าวิตกกังวล
“หลี่ซื่อเป็นอันใดไป ? ”
เมื่อได้กลิ่นยาโชยมาตามลม คิ้วของอันอิงเฉิงก็ขมวดมุ่น
หลี่ซื่อเข้ามาอยู่ในจวนโหวหลายสิบปีแล้ว แม้นางมีใบหน้าอ่อนหวานงดงามแต่ร่างกายแข็งแรงมาก ในปีหนึ่งป่วยน้อยครั้งแล้วในเวลานี้จักหมดสติโดยไร้สาเหตุได้เยี่ยงไร ?
เถ่าหงได้ยินเยี่ยงนั้น ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ กัดริมฝีปากและก้มหน้าราวกับมิได้รับความเป็นธรรม “ฮูหยินรองเป็นโรคลมแดด นางหมดสติไปนายแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นลมแดดแค่นั้นหรือ
อันอิงเฉิงนึกถึงฮูหยินที่หมดสติล้มอยู่กลางถนนบนหุบเขาและแน่นอนว่าต้องมิเชื่อคำกล่าวของเถ่าหงอยู่แล้ว
เนื่องจากฮูหยินผู้นั้นเดินบนหุบเขาที่มีแสงแดดร้อนจึงเป็นลมแดด แต่หลี่ซื่ออยู่ในจวน มีสาวใช้และโมโม่กลุ่มหนึ่งคอยรับใช้ แล้วนางจักเป็นลมแดดได้เยี่ยงไร ?
“เกิดอันใดขึ้นแน่ เจ้ารีบเอ่ยความจริงมาเดี๋ยวนี้ ! ” อันอิงเฉิงสั่งเสียงเข้มแล้วขมวดคิ้ว จ้องมองเถ่าหงด้วยสายตาดุดัน
ราวกับโดนอันอิงเฉิงทำให้ตกใจกลัว ดวงตาของเถ่าหงจึงมีน้ำตาร่วงหล่นลงมาทันที
หลังจากนั้นนางก็คุกเข่าแล้วยกมือเช็ดน้ำตา “ฮูหยินรองคิดว่าช่วงนี้เกิดเรื่องกับจวนโหวอยู่บ่อยครั้งจึงเชิญนักพรตผู้หนึ่งมาดูฮวงจุ้ยรอบจวนโหวเจ้าค่ะ ”
“แต่ใครจักรู้ว่าพอนักพรตผู้นั้นเห็นคุณหนูใหญ่ เขาก็บอกว่าคุณหนูใหญ่มีดวงอัปมงคลแล้วยังสาปแช่งฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องตายอย่างอนาถเจ้าค่ะ”
เถ่าหงร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอย่างต่อเนื่อง
นางเผยใบหน้าเศร้าหมองราวกับรู้สึกมิเป็นธรรมแทนหลี่ซื่อ น้ำเสียงก็เศร้าสร้อย “ทำให้คุณหนูใหญ่และฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นธรรมดา แต่มิรู้ว่าคุณหนูใหญ่เรียนศาสตร์ฮวงจุ้ยมาจากที่ใด เพียงถามแค่มิกี่ประโยคก็เปิดโปงตัวตนจอมปลอมของนักพรตได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันมาสงสัยในตัวฮูหยินรอง คิดว่านางเป็นคนซื้อตัวนักพรตมาทำร้ายคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
“น่าเสียดายที่เป็นความหวังดีของฮูหยินรอง แต่เพราะนักพรตพึ่งพามิได้ผู้นี้จึงทำให้ฮูหยินรองลำบากเสียเอง มิเพียงโดนฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งให้คนตบปาก ก็ยังต้องคุกเข่าอยู่หน้าเรือนฮูหยินผู้เฒ่าอีกหลายชั่วยาม จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงมีคนพากลับมาที่เรือน ฮูหยินรองที่โดนทรมานจึงหมดสติไปตั้งแต่ยังมิทันได้เดินเข้าเรือนเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงมองท่าทางร้องไห้ด้วยความปวดใจของนาง เขาก็โบกมือให้นางลุกขึ้น “เป็นเยี่ยงนั้นจริงหรือ ? ”
เพิ่งเข้ามานักพรตก็พุ่งเป้าไปที่อันหลิงเกอทันที อีกทั้งยังเป็นพวกหลอกลวง ถ้าเปลี่ยนเป็นอันอิงเฉิงอยู่ตรงนั้นก็ต้องสงสัยว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหลี่ซื่อเช่นกัน
เถ่าหงเห็นท่าทีของอันอิงเฉิง นางก็ร้องไห้อย่างปวดใจกว่าเดิม “แม้แต่นายท่านก็ยังมิเชื่อฮูหยินรองหรือเจ้าคะ ? นางรู้สึกผิดที่เชิญพรตผู้นั้นเข้ามาในจวน นางถึงได้คุกเข่าอยู่ที่หน้าเรือนฮูหยินผู้เฒ่าตั้งหลายชั่วยาม คาดมิถึงว่าแม้แต่นายท่านก็ยังมิเชื่อฮูหยินของบ่าว”
นางร้องไห้จนอันอิงเฉิงรำคาญ แต่เขาเป็นถึงท่านโหวย่อมมิอาจถือสาสาวใช้พวกนี้
ทว่าสีหน้าของอันอิงเฉิงเผยให้เห็นความหงุดหงิดเล็กน้อย “ข้ามิได้บอกว่ามิเชื่อในตัวนาง แต่เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำเกินไป ข้าถึงได้เอ่ยถามให้แน่ใจ”
จนถึงตอนนี้เถ่าหงก็ใช้หลังมือปาดน้ำตา “หากฮูหยินรองรู้ว่านายท่านเชื่อนาง ถึงแม้นางได้รับความมิเป็นธรรม แต่ต้องดีใจแน่นอนเจ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าอุบายของหลี่ซื่อพังมิเป็นท่าจนถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษ แต่พอมาอยู่ที่ปากเถ่าหงก็กลายเป็นหลี่ซื่อโดนใส่ร้ายและโดนรังแกแทน
“เนื่องจากฮูหยินรองยุ่งกับการดูแลจวนมาโดยตลอด แล้วจักไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตได้อย่างไรเจ้าคะ ? นอกจากวันนี้ฮูหยินของบ่าวต้องรับโทษแล้ว แม้แต่อำนาจดูแลจวนก็ต้องยกให้อนุเว่ยด้วยเจ้าค่ะ พวกคนใช้จักคิดเยี่ยงไรกับฮูหยินของบ่าวเจ้าคะ ? ”
ยามที่ร้องไห้เสียใจกับความมิเป็นธรรมที่หลี่ซื่อได้รับ เถ่าหงก็สาดโคลนใส่เว่ยซื่อด้วย จงใจเอาเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ายกอำนาจดูแลจวนให้อีกฝ่ายมาบอกเป็นนัยว่ามีเพียงเว่ยซื่อเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ในวันนี้
ปกติมนุษย์มักคิดว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์เท่านั้นเป็นผู้ร้ายที่วางอุบายชั่วช้า แต่ที่เถ่าหงกล่าวเยี่ยงนี้เพราะจงใจทำให้อันอิงเฉิงสงสัยในตัวเว่ยซื่อ
แม้นางมิได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน แต่คำกล่าวนี้ก็ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในใจอันอิงเฉิงแล้ว
เหตุใดพอถึงตอนท้ายหลี่ซื่อถึงโดนตบหน้า แม้แต่อำนาจดูแลจวนก็ยังยกให้เว่ยซื่ออีกด้วย ?
ยิ่งไปกว่านั้นคือตามที่เถ่าหงกล่าวมา นักพรตก็สารภาพอย่างรวดเร็วว่าหลี่ซื่อเป็นผู้บงการราวกับจงใจใส่ร้ายหลี่ซื่ออย่างไรอย่างนั้น