ตอนที่ 177 ของขวัญ
“แม่เห็นอันหลิงเกอมาตั้งแต่เด็ก นางเป็นคนเยี่ยงไรแม่รู้ดี ต้องโทษจางโมโม่ที่ต่อหน้าทำตัวภักดีต่อพวกเรา ทว่าลับหลังเข้าข้างคนชั้นต่ำอันหลิงเกอ เพื่อให้นางเติบโตมาอย่างปลอดภัยจึงแสร้งแสดงละครใส่เรา”
พอนึกถึงจางโมโม่ ใบหน้างดงามของอันหลิงอีก็แข็งกร้าวขึ้นมา แววตาก็มืดมน
ถ้าจางโมโม่มิทำตัวเป็นก้างขวางคอในเวลานั้น แสร้งทำเป็นหันมาหาที่พึ่งกับมารดาแล้วกล่อมให้ท่านแม่ไว้ชีวิตอันหลิงเกอ พวกนางก็คงมิลำบากคิดแผนการหรือทุ่มเทแรงกำจัดอันหลิงเกอเช่นนี้ มิต้องหาเรื่องใส่ตัวหลายต่อหลายครั้ง
“บ่าวชั้นต่ำสมควรตายที่กล้าหลอกลวงท่านแม่ แม้นางตายไปสักหมื่นครั้งก็ยังขจัดความแค้นภายในใจลูกมิได้”
ถ้ามิมีจางโมโม่ อันหลิงเกอก็คงหลงอุบายของมารดาตั้งแต่เด็กและมีจุดจบด้วยการป่วยตาย จักโดนแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ที่สง่างามเยี่ยงทุกวันนี้ได้หรือ ?
หลี่ซื่อเห็นท่าทางของอันหลิงอีก็ปลอบนางเบา ๆ “จางโมโม่ก็เป็นแค่บ่าวผู้หนึ่ง แม้ฉลาดเยี่ยงไรเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่ก็ยังต้องยอมจำนนอยู่ดี แม้นางกล้าทรยศ แม่ก็สามารถเอาชีวิตนางไปได้อย่างง่ายดาย แต่กับอันหลิงเกอมิเหมือนกัน เดิมทีนางก็เป็นบุตรสาวของฮูหยินใหญ่อัน ฐานะสูงกว่าเจ้าขั้นหนึ่งอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่อีก หากเราคิดจัดการนางจักต้องหาแผนการที่แยบยลให้ได้เสียก่อน”
อันหลิงอีแสดงแววตาเกลียดชังออกมา ถ้ามิมีบุตรีภริยาเอกเยี่ยงอันหลิงเกอ ผู้ที่ถูกกำหนดให้แต่งเข้าจวนอ๋องมู่ก็ต้องเป็นนาง คนที่ได้หมั้นหมายกับมู่ซื่อจื่อก็คือนาง แล้วสุดท้ายคนที่ฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ก็เป็นนาง !
จวิ้นจู่เป็นตำแหน่งที่ใครหลายคนอยากเป็น หากนางได้ตำแหน่งเยี่ยงนั้นบ้าง อันหลิงเกอยังกล้าใช้อำนาจของบุตรีภริยาเอกมาข่มนางอีกหรือไม่ ?
ขอแค่นางกำจัดอันหลิงเกอที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจให้พ้นทางออกไป นางก็จักกลายเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่สุดในจวนโหว แล้วยังต้องกลัวอันหลิงเฉว่อีกหรือ ?
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น ดวงตาของอันหลิงอีก็เป็นประกายขึ้นมา นางยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ จากนั้นก็หันมาปรึกษาแผนการบางอย่างกับหลี่ซื่อ
หลังจากนั้นครู่ใหญ่อันหลิงอีก็เลิกคิ้วอย่างอารมณ์ดี ดวงตาโค้งมนด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านย่ารักอันหลิงเกอมาก คราวนี้ก็ให้ท่านย่าได้ลงโทษคนชั้นต่ำด้วยตนเอง ลูกจักดูว่านางยังกล้าทำตัวโอหังอยู่หรือไม่ ! ”
แผนการชั่วร้ายของพวกนางทำให้อันหลิงเกอที่อยู่ห่างไปถึงเรือนฉีอู๋ต้องจามออกมา
ปี้จูรีบเดินไปปิดหน้าต่างพร้อมปากที่พร่ำบ่นถึงสายลมในฤดูร้อนแล้วก็บ่นมาถึงให้อันหลิงเกอดูแลร่างกายดี ๆ
“ข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้นที่ไหน” ในเมื่อปี้จูเห็นนางเป็นเด็กน้อยที่มิรู้จักดูแลตนเอง อันหลิงเกอก็อดกล่าวและหัวเราะออกมาอย่างลืมตัวมิได้
ปี้จูได้ยิน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ดวงตาสีดำเข้มเบิกกว้าง ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเปิดขึ้น “มิแน่หรอกเจ้าค่ะ คนที่ป่วยเพราะลมในฤดูร้อนเยี่ยงนี้มีเยอะมาก มิแน่อาจเพราะตากลมจากหน้าต่างแล้วป่วยก็ได้เจ้าค่ะ”
ในเวลาปกติปี้จูเป็นคนพูดมิเก่ง แต่พอเอ่ยให้อันหลิงเกอดูแลร่างกายก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ปากร้ายขึ้นมาทันทีและหากมิกล่าวถึงชาถ้วยสุดท้ายก็มิมีทางหยุด
หมิงซินที่แอบลอบยิ้มอยู่ทางด้านหนึ่งจนอันหลิงเกอรู้สึกได้ จึงรีบหันมาส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากนาง
คุณหนูเป็นคนหนักแน่นมาโดยตลอด ราวกับตริตรองเรื่องทุกอย่างที่จักเกิดขึ้นได้ ในเวลาปกติมักแสดงรอยยิ้มอ่อนโยน แต่มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่ทำตัวเหมือนสาวน้อยอายุ 15 ปีที่มิจำเป็นต้องสวมหน้ากากไปเผชิญหน้ากับคนใจโฉดเหล่านั้นอีก
หมิงซินแสดงแววตาเอ็นดูออกมาเล็กน้อย ผสานกับความดีใจที่กล่าวมิถูก แต่พอยกเปลือกตาขึ้นนางก็เก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้ดังเดิม
“ไอหยา ปี้จู เหตุใดเจ้าทำตัวเป็นคนแก่ขี้บ่นเยี่ยงนี้ คุณหนูรู้วิชาแพทย์ก็ย่อมรู้จักวิธีดูแลตนเองอยู่แล้ว”
เสียงของนางเพิ่งเงียบลงเท่านั้น คิ้วของปี้จูก็ขมวดมุ่นกว่าเดิม “มีคำกล่าวที่ว่าหมอรักษาผู้อื่นได้ แต่รักษาตนเองไม่…”
ขณะเห็นปี้จูกำลังเริ่มร่ายยาวอีกครั้ง อันหลิงเกอและหมิงซินก็ได้แต่หันมาสบตากันและฟังปี้จูบ่นอย่างเงียบ ๆ
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ทางร้านเฉิงอีฝางส่งเสื้อผ้าประจำฤดูนี้มาเจ้าค่ะ”
พร้อมกันนั้นเสียงลูกปัดกระทบกันก็ดังขึ้น ขัดจังหวะการบ่นของปี้จูทันที
สาวใช้เปิดม่านแล้วเดินเข้ามาทำมือคำนับตรงหน้าอันหลิงเกอด้วยความเคารพ ในมือยังถือถาดไม้และด้านบนก็มีเสื้อผ้าวางซ้อนกันหลายตัว
ปี้จูเห็นคนนอกเข้ามาจึงรีบหยุดกล่าวและหันไปจ้องมองสาวใช้ผู้นั้นแทน
“หลันซิน เจ้าส่งผ้ามาให้ข้าก็ได้แล้วนี่”
ปี้จูเอื้อมมือไปรับถาดไม้มาจากมือหลันซิน แต่อีกฝ่ายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ให้ข้าทำเองเถิด ข้ามิกล้ารบกวนพี่ปี้จูหรอก”
ในเรือนฉีอู๋ของอันหลิงเกอมีปี้จูและหมิงซินเป็นผู้รับผิดชอบ พวกนางมีฐานะเป็นสาวใช้ข้างกายอันหลิงเกอ ทำให้ในเรือนฉีอู๋แห่งนี้พวกนางพอมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง งานที่สั่งการลงไปพวกสาวใช้ขั้นสองขั้นสามจึงมิกล้าปฏิเสธ
ยังมิต้องกล่าวถึงว่าสาวใช้ขั้นสองอย่างหลันซินเข้ามาในห้องอันหลิงเกอโดยมิได้รับอนุญาต ในเวลานี้ยังปฏิเสธให้ปี้จูรับเสื้อผ้าไปอีก หมิงซินจึงเริ่มสงสัยในตัวนางทันที
นางกวาดสายตามองสำรวจสาวใช้ผู้นี้ตั้งแต่ศีรษะ ทว่ามองมิเห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย จึงได้แต่ส่งความนัยไปทางอันหลิงเกอ
ใบหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง คำพูดมิถือว่าสนิทแต่ก็มิได้เย็นชาจนเห็นได้ชัด “เจ้าเอาเสื้อผ้าวางไว้ตรงนั้นแล้วถอยออกไปเถิด”
เมื่ออันหลิงเกอเปล่งวาจา หลันซินย่อมมิกล้าขัด
จึงเห็นเพียงหลันซินวางถาดไม้ไว้บนโต๊ะอย่างเชื่องช้าแล้วก้มหน้า แต่ดวงตาหันมองโดยรอบ “บ่าวจักออกไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
นางหลงเข้าใจผิดว่ามิมีคนเห็นการกระทำ จึงมิรู้ว่าอันหลิงเกอเก็บรายละเอียดเล็กน้อยที่นางแสดงออกมาตั้งแต่แรกแล้ว
“คาดมิถึงว่าหลันซินก็ไว้ใจมิได้” หมิงซินกล่าวด้วยความหดหู่ อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน
คุณหนูมีนิสัยระแวดระวังดังนั้นจึงออกคำสั่งว่านอกจากนางและปี้จูแล้วสาวใช้คนอื่นต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงเข้ามาในห้องของคุณหนูได้
ในเวลานี้แม้หลันซินดูเคารพ แต่ก็กล้าขัดคำสั่งคุณหนู มิรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่กันแน่
นางรู้ตั้งนานแล้วว่าในเรือนคุณหนูมิได้มีแต่คนซื่อสัตย์บริสุทธิ์ใจอยู่ ในนี้มีหูมีตาของหลี่ซื่ออยู่ด้วย และยังมีพวกที่สามารถทรยศนายได้เพราะเงินและผลประโยชน์ แต่มิรู้ว่าหลันซินเป็นคนประเภทใดเท่านั้น
อันหลิงเกอมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเพราะคนที่คิดทำร้ายนางในจวนแห่งนี้มีอยู่มิกี่คน ดังนั้นถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังหลันซินมิใช่หลี่ซื่อสองแม่ลูกก็ต้องเป็นอันหลิงเฉว่
นางเหลือบมองถาดไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ ปี้จูจึงรีบหยิบเสื้อผ้าในนั้นมาดู อันหลิงเกอก็เอื้อมมือไปหยิบชุดที่อยู่ด้านบนมาดูเล่น ๆ ลวดลายจากด้ายสีทองแวววาวดุจสายธาร
“คุณหนู ชุดนี้ดูดีมากเจ้าค่ะ”
ปี้จูเอ่ยชม ฝีมือของร้านเฉิงอีฝางเยี่ยมยอดจริง ๆ
ทว่าแววตาอันหลิงเกอหยุดอยู่จุดหนึ่งของชุดนั้น แววตาแฝงความสงสัยจากนั้นก็ยื่นนิ้วเรียวยาวไปสัมผัสมัน
“ชุดนี้มีอันใดผิดปกติหรือเจ้าคะ ? ” หมิงซินเห็นท่าทีผิดแปลกของนางจึงรีบถามขึ้นมาทันที