ตอนที่ 196 แสดงความคิดเห็น
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น ใบหน้าของอันหลิงเกอก็เปลี่ยนสีเล็กน้อยแล้วเดินไปข้างกายหลันซินพร้อมดึงคอเสื้อนางออกก็เห็นตุ่มน้ำสีแดงมากมายที่ใต้คอของนาง มีบางส่วนที่ตุ่มแตกจนเกิดแผลถลอกทำให้คนที่พบเห็นต้องรู้สึกขนลุก
อาการเยี่ยงนี้คล้ายโรคระบาดเมื่อชาติก่อน!
“คุณหนูเจ้าคะ หลันซินเป็นอันใดหรือเจ้าคะ ? ”
ปี้จูตกตะลึงจนปล่อยมือออกจากร่างของหลันซินทันที
ทั้งที่ปี้จูยังมิได้ป้อนยาพิษให้เลย เหตุใดนางถึงตายไปอย่างกะทันหันเสียได้ ?
อันหลิงเกอมิได้ตอบอันใดออกมา แต่ดึงแขนเสื้อของหลันซินขึ้น พลันมีกลิ่นที่เหม็นเน่าโชยออกมา
เป็นเหตุให้นางขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าจริงจังอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน “หากข้าเดามิผิด หลันซินน่าจักติดโรคระบาด”
โรคระบาดอย่างนั้นหรือ ?
หมิงซินและปี้จูส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน ใบหน้าทั้งตกใจและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน “อยู่ดี ๆ หลันซินติดโรคระบาดได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
จวนโหวเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด สาวใช้ต่างทำความสะอาดทั้งจวนจนสะอาด ช่วงเวลานี้หลันซินก็มิได้ออกไปพบปะผู้อื่น แล้วจักติดโรคระบาดมาได้เยี่ยงไร ?
เมื่อเป็นเช่นนั้นหมิงซินจึงดึงแขนอันหลิงเกอขึ้น ในแววตาของนางฉายความกังวลแล้วเอ่ยถามว่า “คุณหนู ในเมื่อหลันซินติดโรคระบาดแล้ว ท่านควรอยู่ห่างจากนางดีกว่าเจ้าค่ะ”
โรคระบาดเป็นสิ่งที่ติดต่อกันได้ง่ายที่สุด หากหลันซินตายเพราะโรคระบาดจริง และคุณหนูที่ได้สัมผัสกับนางอาจติดโรคระบาดไปด้วยเช่นกัน
อันหลิงเกอจึงถอยหลังออกมาแต่มิได้หันหลังจากไป เพียงสั่งให้หมิงซินและปี้จูไปนำถังน้ำมันและไฟมา
“เผาที่นี่เสีย” อันหลิงเกอกล่าวเสียงเรียบ ฟังมิออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด
แต่นี่เป็นห้องเก็บฟืนของจวนโหว จักบอกว่าเผาก็เผาเลยได้เยี่ยงไร ?
แม้เป็นคำสั่งของคุณหนูใหญ่ แต่ก็เกรงว่าจักถูกท่านโหวตำหนิได้เช่นกัน
เมื่อได้ฟังคำสั่ง ปี้จูก็กัดริมฝีปากแล้วถามอย่างกังวลใจ “คุณหนูเจ้าคะ หากเผาห้องเก็บฟืนนี้ เกรงว่าฝั่งท่านโหว…”
“ข้าจักไปอธิบายต่อท่านพ่อเอง พวกเจ้าเพียงทำตามที่ข้าสั่ง อย่าให้ผู้ใดมาที่ห้องเก็บฟืน ต้องเผาให้หมด มิฉะนั้นโรคจักกระจายไปทั่วจวน”
สถานการณ์รุนแรงเช่นนี้เชียวหรือ !
หมิงซินและปี้จูรู้สึกตื่นตระหนกภายในใจ มิกล้ากล่าวมากอีกและรีบทำตามที่อันหลิงเกอสั่ง
นางสองคนเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของอันหลิงเกอ แม้ตื่นตระหนกแต่ในเวลานี้ก็ทำงานได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง
อันหลิงเกอหันกายแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนของอันอิงเฉิงทันที
“เกอเอ๋ออยากพบข้าหรือ ? ”
ในวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งเกิดเรื่อง เกอเอ๋อกลับมาในเวลานี้อีก มิรู้ว่ามาเพราะเรื่องนั้นหรือไม่
อันอิงเฉิงมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ แต่ใบหน้ามิได้แสดงออกอันใด
บ่าวเฝ้าหน้าห้องตำราก้มศีรษะแล้วตอบ “ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่กล่าวว่ามีเรื่องเร่งด่วนและให้บ่าวรีบมารายงานขอรับ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นอันอิงเฉิงจึงวางพู่กันในมือลง “ให้นางเข้ามา”
“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอเดินเข้ามาในห้องตำราแล้วย่อตัวคำนับ
คำนับเสร็จนางก็ลุกขึ้นอย่างสง่างาม จังหวะที่เดินเข้าไปยังดูมั่นคงและผ่าเผย
“บ่าวเฝ้าประตูบอกว่าเจ้ามีเรื่องด่วนต้องการพบพ่อ เพราะเรื่องหลี่ซื่อและอีเอ๋อใช่หรือไม่ ? ” อันอิงเฉิงเอ่ยถาม แต่อันหลิงเกอส่ายหน้า
“เรื่องเล็กน้อยในจวนเยี่ยงนี้ ท่านย่าได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เกอเอ๋อยังกล้ามารบกวนให้ท่านพ่อเหนื่อยใจได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
บุตรีคนนี้แม้มิค่อยสนิทกันมากนักเพราะเมื่อก่อนอันหลิงเกอมีนิสัยเงียบนิ่ง เขาเห็นแล้วรู้สึกมิชอบใจ จึงเฉยเมยต่อนางมาโดยตลอดและปล่อยให้หลี่ซื่อสั่งสอนกันเอง
แต่ในช่วงนี้อันหลิงเกอนับว่าฉลาดและใจกว้างขึ้นมาก อันอิงเฉิงจึงรู้สึกว่าเมื่อก่อนตนมิได้ทำดีต่อนางมากนัก ยามนี้จึงต้องการชดเชยให้ ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ยังมิลึกซึ้งเท่าอันหลิงอีอยู่ดี
เพราะความสัมพันธ์เช่นนี้ น้อยครั้งนักที่อันหลิงเกอจักมาหาเขาที่เรือน แต่วันนี้หากมิใช่เรื่องของหลี่ซื่อและอันหลิงอีแล้วเพราะสาเหตุใด ?
มิรอให้อันอิงเฉิงเอ่ยถาม อันหลิงเกอก็เอ่ยเรื่องราวอย่างคร่าว ๆ ขึ้นมา “สาวใช้ในเรือนของลูกทำผิดจึงถูกลงโทษส่งตัวไปขังที่ห้องเก็บฟืน วันนี้ลูกจักไปปล่อยนางออกมา แต่เห็นนางชักตายกะทันหันและบริเวณคอของนางมีตุ่มสีแดงขึ้นเต็มไปหมด ผิวหนังยังมีที่เน่าเป็นบางส่วน ทั้งตัวของนางเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าเจ้าคะ”
อันหลิงเกอหยุดกล่าวชั่วครู่ เมื่อเห็นใบหน้าของอันอิงเฉิงเคร่งขรึมขึ้นก็เอ่ยต่อ “ลูกเคยเรียนวิชาแพทย์มาก่อนจึงรู้สึกว่ามันคล้ายกับโรคระบาดในตำรา ลูกจึงสั่งให้คนเผาห้องเก็บฟืน จากนั้นก็มาเแจ้งให้ท่านพ่อทราบ เพื่อให้คนในจวนระมัดระวังด้วยเจ้าค่ะ”
ในเวลานี้มุมปากของอันอิงเฉิงเหยียดตรง สายตาคมกริบจ้องมองไปที่ตัวอันหลิงเกออย่างพิจารณา “เกอเอ๋อ สิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นเรื่องจริงหรือ ? ”
“จริงแน่นอนเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพยักหน้า ดวงตาดำขลับแฝงความกังวลใจและความรีบร้อน “เมื่อโรคระบาดปรากฏขึ้น มันจักระบาดได้ง่ายมาก หากมิรีบป้องกันไว้ก่อนก็เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นคนในเมืองอาจต้องตายอีกหลายหมื่นคนเจ้าค่ะ”
หากเป็นโรคระบาดจริง เกรงว่าเรื่องนี้จักเลวร้ายกว่านั้นอีก
อันอิงเฉิงย่อมมิเชื่อเรื่องเหลวไหลจากคำกล่าวเพียงมิกี่คำของนาง เพราะเหมือนกับมีคนวิ่งมาหาเขาและบอกว่าฟ้ากำลังถล่ม จงรีบหนีไป
ตอนนี้คนที่กล่าวกลับเป็นบุตรสาวของตน ดังนั้นอันอิงเฉิงจึงฝืนทนฟังได้บ้าง หากเป็นผู้อื่นคงถูกเขาไล่ออกไปนานแล้ว
“พ่อคิดว่านี่มิใช่โรคระบาด” อันอิงเฉิงเอามือไพล่หลัง “เจ้าเพิ่งเรียนวิชาแพทย์ได้นานเท่าไรเอง เหตุใดจึงยืนยันว่าสาวใช้ผู้นั้นตายเพราะโรคระบาด ? ในห้องเก็บฟืนเดิมทีก็เย็นชื้นอยู่แล้ว นางอยู่ที่นั่นหลายวันร่างกายย่อมเกิดปัญหาเป็นเรื่องปกติ เกอเอ๋อ เจ้าคิดมากเกินไปเเล้ว”
มิมีทาง นางเคยเห็นโรคระบาดครั้งนั้นกับตาตนเอง นางจำได้ชัดเจนว่าการระบาดของโรคเป็นเยี่ยงไร
อันหลิงเกอแทบอยากเล่าความจริงทั้งหมดให้อันอิงเฉิงฟัง เพื่อให้เขาได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้าและคนในเมืองจิงจักได้มิล้มตาย
แต่นางทำมิได้ เพราะผู้ใดจักเชื่อเรื่องน่ากลัวเยี่ยงการฟื้นจากความตาย ?
เมื่อเป็นเช่นนี้อันหลิงเกอก็กำมือแน่นแล้วคลายออก นางค่อย ๆ สูดหายใจเข้าลึกและเอ่ยออกมาว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ศพของสาวใช้ผู้นั้นยังอยู่ที่ห้องเก็บฟืน เหตุใดพวกเรามิเชิญท่านหมอมาดูให้ชัดเจนไปเลยเจ้าคะ ? ”
เนื่องจากอันอิงเฉิงมิเชื่อฝีมือแพทย์ของนาง เช่นนั้นก็หาคนที่เขาเชื่อใจได้ เพราะจำเป็นต้องให้อันอิงเฉิงเชื่อเรื่องนี้และเตรียมตัวไว้ อันอิงเฉิงจึงสามารถไปรายงานต่อฮ่องเต้ได้และทำให้คนในเมืองจิงได้รอดพ้นจากความทุกข์ในครั้งนี้ แต่เวลานี้อันอิงเฉิงยังคงลังเล ส่วนอันหลิงเกอมิรอแล้วเพราะนางกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้หมิงซินและปี้จูอาจเผาห้องเก็บฟืนจนหมดเสียก่อนแล้วมิเหลือหลักฐานเอาไว้
“ท่านพ่อเจ้าคะ อย่างไรก็มิเสียหาย ท่านส่งหมอในจวนไปดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
น้อยครั้งมากที่อันหลิงเกอจักขอร้องอันอิงเฉิงเยี่ยงนี้ ใบหน้าของนางดูกังวลและไร้หนทางทำให้อันอิงเฉิงต้องลอบถอนหายใจ นึกถึงว่าตนตั้งใจชดเชยให้นาง ในที่สุดเขาก็ตกลง “เอาล่ะ พ่อจักให้หมอในจวนไปดูแล้วกัน”