ตอนที่ 197 ตัดสิน
อันอิงเฉิงรับปากคำขอของบุตรสาวจึงสั่งให้บ่าวไปเรียกหมอในจวนทันที
หมอประจำจวนที่มีเคราขาวเดินตามหลังบ่าวเข้ามา ยังมิทันหยุดยืนอยู่กับที่ อันหลิงเกอก็เอ่ยขึ้นแล้ว “สาวใช้ในเรือนข้าเสียชีวิตอย่างกะทันหัน อาการคล้ายติดโรคระบาด เชิญท่านไปดูกับข้าเถิด”
โรคระบาดคำนี้ทำให้หมอที่ได้ฟังถึงกับอึ้งงัน อาการหอบหายใจเมื่อครู่หายเป็นปลิดทิ้ง
“คุณหนูใหญ่กล่าวว่าอันใดขอรับ โรคระบาดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตะลึงและสงสัย “โรคระบาดมิเคยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียวในรอบร้อยปี แต่แม้จักเป็นโรคระบาดจริงก็มิน่าเริ่มต้นจากจวนของเราขอรับ”
เมื่อครั้งราชวงศ์ต้าโจวเพิ่งก่อตั้งก็เคยเกิดโรคระบาดขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้ร่ำรวยในเจียงหนานได้รับผลกระทบจากโรคระบาดในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นทั้งหมู่บ้านและในเมืองล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของศพ
โรคระบาดครั้งนั้นทำให้อดีตฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้มินานถูกราษฎรเกิดความข้องใจและมิเชื่อใจ พวกเขาคิดว่าอดีตฮ่องเต้เข่นฆ่าผู้คนมากเกินไปจึงถูกสวรรค์ลงโทษและตักเตือน
เมื่อเห็นโรคระบาดทวีความรุนแรง ราษฎรนับพันหมื่นติดโรคระบาดทรมานจนตาย หนังสือร้องเรียนมากมายถูกส่งไปที่ฮ่องเต้ดั่งหิมะทับถมลงมา อดีตฮ่องเต้ทรงกริ้วหนัก สังหารขุนนางหลายคนที่ถูกส่งไปรักษาโรคระบาด ในที่สุดก็มิอาจแบกรับความกดดันเอาไว้ได้ ภายใต้แรงกดดันของขุนนาง พระองค์จึงต้องเขียนฎีกาตำหนิตนเองและส่งหมอหลวงในวังไปรักษาผู้ป่วยที่เจียงหนาน ใช้เวลาสามเดือนกว่าจึงสามารถควบคุมโรคระบาดในครั้งนั้นได้
จนถึงวันนี้ก็ผ่านไปยี่สิบสามสิบปีแล้ว โรคระบาดจักเกิดขึ้นอีกครั้งได้เยี่ยงไร ?
อันหลิงเกอรู้ว่าท่านหมอมิเชื่อคำกล่าวของตนเหมือนอันอิงเฉิง แต่ความทรงจำเมื่อชาติก่อนของนางรู้ว่าต้องมีโรคระบาดเกิดขึ้นในเมืองจิงอย่างแน่นอน นางจึงมิปล่อยให้คนนับพันนับหมื่นต้องตายโดยมิทำอันใดเลย !
“ข้ารู้ว่ามันฟังเหลวไหล แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านหมอตามข้ามาไปดูเถิด หากสาวใช้ผู้นั้นตายเพราะโรคทั่วไปก็ถือเสียว่าข้ามิได้กล่าวคำเหล่านี้มาก่อน แต่หากเป็นโรคระบาดจริง เช่นนั้นเราจักได้เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ”
เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ ท่านหมอประจำจวนจึงมองไปทางอันอิงเฉิงด้วยสายตาขอความเห็นและได้รับสายตาเป็นเชิงอนุญาตจากอันอิงเฉิง “เกอเอ๋อกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าก็ไปดูกับนางเถิด”
ก็แค่ให้หมอประจำจวนไปตรวจสอบรอบหนึ่ง มิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด รอท่านหมอได้วินิจฉัยออกมา เกอเอ๋อก็จักรู้ว่าตนคิดมากเกินไป สิ่งนี้จักว่าดีก็ดี จักว่าร้ายก็มิเชิง เพราะเขาจักถือโอกาสนี้สั่งสอนเกอเอ๋อไปในตัว
อันอิงเฉิงคิดไว้เช่นนี้ ราวกับรู้ผลตรวจของหมอก่อนแล้ว
หมอประจำจวนตอบรับแล้วเดินตามอันหลิงเกอออกไป
โชคดีที่ระยะทางจากห้องเก็บฟืนกับห้องตำราของอันอิงเฉิงมิได้ไกลกันมาก หมอประจำจวนหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง แล้วเดิมตามไปข้างหน้าแต่โดยดี
ตำแหน่งที่ตั้งของห้องเก็บฝืนเพียงแต่เปลี่ยวไปหน่อย ต้องเดินอ้อมทางลัดหลายทาง แต่ก็มิได้เสียเวลามากนัก
อันหลิงเกอที่เห็นปี้จูตรงหน้าประตูห้องเก็บฟืน ในมือถือน้ำมันไว้ถังหนึ่งและกำลังเทไปที่ประตูห้องเก็บฟืน
ยังทันอยู่ !
เมื่อเห็นเช่นนั้น อันหลิงเกอจึงรีบยกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปด้วยใบหน้ารีบร้อน
“คุณหนูกลับมาแล้ว”
ปี้จูวางถังน้ำมันในมือลง เดินเข้ามาสามก้าว “ท่านโหวว่าเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ มีคำสั่งให้เผาห้องเก็บฟืนหรือไม่ ? ”
“ท่านพ่อมิได้กล่าว เพราะมิเชื่อว่าหลันซินเป็นโรคระบาด” อันหลิงเกอส่ายศีรษะแล้วหันไปมองท่านหมอด้านหลัง “แต่ข้าให้ท่านพ่อเชิญหมอมาด้วย ให้ท่านหมอตรวจสอบอาการของหลันซิน หากหลันซินติดโรคระบาดจริง ข้าจักกลับไปรายงานท่านพ่ออีกครั้ง”
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวจบ ท่านหมอก็เดินมาถึงพอดี
เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่เร่งรีบ “คุณหนูใหญ่ขอรับ สาวใช้ผู้นั้นอยู่ที่ใดหรือขอรับ ? ”
ปี้จูจึงชี้ไปข้างในห้องเก็บฟืนที่ปิดไว้สนิท
ท่านหมอมิเอ่ยอันใดก็เปิดประตู กลิ่นเหม็นโชยออกมาเป็นเหตุให้เขาต้องไอหลายที
อันหลิงเกอพาปี้จูเดินตามหลังท่านหมอเข้าไป เห็นท่านหมอย่อตัวลงและตรวจดูศพทั้งบนและล่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่านหมอประจำจวนก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณหนูใหญ่ขอรับ สาวใช้นางนี้นอกจากตายกะทันหันแล้วยังมีอาการอย่างอื่นหรือไม่ขอรับ ? ”
เวลานี้หมิงซินก็เดินเข้ามาแล้วกล่าว “เมื่อครู่เราได้ตรวจดูแล้ว บริเวณคอหลันซินมีตุ่มสีแดงและมีหนังที่ลอกเป็นแผ่น ”
อันหลิงเกอเห็นหมิงซินกลับมาก็รู้ว่านางได้กันคนใช้แถวนี้ออกไปจนหมดแล้ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวของหมิงซิน ใบหน้าของหมอก็พลันเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา
เขาลูบเคราแล้วขมวดคิ้วแน่น “เป็นไปได้เยี่ยงไร”
ราวกับยังมีข้อสงสัยบางอย่าง ท่านหมอจึงย่อตัวลง ครั้งนี้เขาเปิดคอเสื้อหลันซินออกก็เห็นตุ่มสีแดงปรากฏสู่สายตาอย่างชัดเจน
“เป็นโรคระบาด ! ”
ท่านหมอประจำจวนตกตะลึงจนร้องออกมา เขาถอยหลังออกห่างจากร่างของหลันซินตามสัญชาตญาณ แต่ในเวลานี้ขาพลันอ่อนแรงจนร่วงไปกองกับพื้น
แววตาอันหลิงเกอค่อนข้างมีความมั่นใจ นางมิได้ตกใจแม้แต่น้อย การแสดงออกของนางจริงจังเหมือนท่านหมอคนหนึ่ง “มีโรคระบาดเกิดขึ้นในจวน เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก ข้าจักไปรายงานให้ท่านพ่อทราบ อย่างไรคงต้องเชิญท่านหมอไปด้วย”
หมอประจำจวนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง สักพักถึงรู้ว่าตนเสียอาการ ใบหน้าชราของเขาแดงขึ้น เมื่อได้ยินคำของอันหลิงเกอจึงลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “โชคดีที่คุณหนูใหญ่พบเห็นเรื่องนี้ มิเช่นนั้นหากโรคระบาดแพร่กระจายออกไป ทั้งจวนโหวเราต้องพบเจอภัยพิบัติใหญ่หลวงอย่างแน่นอนขอรับ”
มิเพียงแค่จวนโหวหรอก เมื่อชาติก่อนโรคระบาดนี้ทำให้คนทั้งเมืองจิงตื่นตระหนกกันหมด มีคนมิน้อยที่ต้องตายอย่างทรมานจากโรคระบาดนี้
อันหลิงเกอมิได้ตอบ เพียงพาท่านหมอเดินออกไปและคำสั่งก็ดังขึ้นหน้าห้องเก็บฟืน “จงหาคนชำนาญมาเผาที่นี่เสียและอย่าเผาไปโดนที่อื่น”
เรื่องนี้ต้องตามบ่าวผู้ชายมาทำเพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามไปที่อื่น
หมิงซินเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอจึงตอบรับแล้วเดินจากไปพร้อมปี้จู
อันอิงเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องตำราก็กำลังรอท่านหมอประจำจวนมารายงานผล พลันเห็นอันหลิงเกอเดินมาด้วยใบหน้าจริงจัง
ท่าทางของนางอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด ทำให้รู้สึกมิค่อยดีราวกับมีลางสังหรณ์อันใดบางอย่าง
ท่านหมอประจำจวนรีบเดินเข้าไปตรงหน้าอันอิงเฉิงแล้วรายงานผลทันที “เรียนท่านโหว จากอาการของสาวใช้ผู้นั้น นางอาจเป็นโรคระบาดจริงขอรับ”
เขาเป็นหมอในจวนโหวมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว แม้ฝีมือมิอาจเทียบเท่าหมอในราชวังได้ แต่ก็เก่งกว่าหมอทั่วไปมิน้อย
ตอนนี้หมอประจำจวนกล่าวเช่นนี้ แม้อันอิงเฉิงมิเชื่อก็ต้องให้ความสำคัญ
เขาไพล่มือไว้ด้านหลัง ใบหน้าเคร่งขรึม
“ต้องจัดการเยี่ยงไรกับศพของนาง ? ”
“ลูกให้สาวใช้คนสนิทไปเผาห้องเก็บฟืนเพื่อมิให้เชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่นเจ้าคะ” อันหลิงเกอก้มหน้าตอบออกมามิเร็วมิช้า
นางจัดการได้ดีมาก อันอิงเฉิงเพียงรับคำ อืม ออกมาเบา ๆ พร้อมสายตาที่อ่านมิออก