ตอนที่ 198 โน้มน้าว
เรื่องโรคระบาดนี้จำเป็นต้องปิดบังไว้
อันอิงเฉิงคิดในใจและตัดสินใจทันที
สมัยของอดีตฮ่องเต้ได้เกิดโรคระบาดขึ้น โรคนั้นร้ายแรงมาก มิกี่วันก็มีชาวบ้านตายเป็นร้อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่ของโรค อดีตฮ่องเต้จึงมีรับสั่งจับผู้ที่ติดโรคระบาดขังไว้ที่เดียวกันและจุดไฟเผาจนตาย เป็นเยี่ยงนั้นนานถึงครึ่งเดือนและทั่วเจียงหนานก็เต็มไปด้วยควันไฟในที่สุดจึงควบคุมโรคระบาดไว้ได้
คนที่โดนเผาตายล้วนเป็นชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ผู้ใดจักรับรองได้ว่าหากฮ่องเต้รู้ว่าจวนโหวมีคนเป็นโรคระบาดแล้วจักมิสั่งเผาคนในจวนจนตาย
อีกทั้งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยิ่งมีความระแวงต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์อยู่แล้วด้วย เรื่องนี้อันอิงเฉิงรู้ดีแก่ใจ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ใบหน้าจึงผ่อนคลายลง สายตาที่มองอันหลิงเกออ่อนโยนและชื่นชม “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีมาก ส่วนห้องเก็บฟืนก็รอให้ผ่านไปสักช่วงค่อยให้คนไปสร้างใหม่ เรื่องในวันนี้พวกเจ้าก็ถือว่ามิเคยเกิดขึ้นแล้วกัน”
“ท่านพ่อเจ้าคะ เรื่องนี้เราควรรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบนะเจ้าคะ”
อันหลิงเกอมองเห็นดวงตาที่ล้ำลึกของอันอิงเฉิงจึงคาดเดาความคิดของเขาได้บ้าง
เรื่องโรคระบาดนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนนับหมื่นในเมืองจิง ย่อมมิอาจเห็นแก่ผลประโยชน์ของจวนโหวจนละเลยชีวิตผู้คนเหล่านั้น
ท่านหมอประจำจวนยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกว่าเริ่มทำตัวมิถูก
หากกลับไปแล้วเขาต้องรีบคิดค้นยารักษาของโรคระบาด หรือหาข้ออ้างเพื่อหลบหนีออกจากจวนโหวดี ?
อันอิงเฉิงมิได้สนใจความคิดเล็กน้อยของหมอประจำจวน เขาขมวดคิ้วแน่น โบกมือให้หมอออกไปได้ จากนั้นจึงจ้องอันหลิงเกอไว้อย่างเคร่งขรึม “เกอเอ๋อ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคนทั้งจวนโหว มันมิได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด”
ฮ่องเต้มีความระแวงต่อผู้มีบรรดาศักดิ์มิใช่เชื้อพระวงศ์เยี่ยงพวกเขามานานแล้ว หากทรงรู้ว่าจวนโหวมีผู้ติดโรคระบาด คิดว่าพระองค์คงรีบใช้ข้ออ้างนี้ทำให้จวนโหวสูญหายจากแผ่นดินไปเลย
พอถึงตอนนั้นฮ่องเต้ยังสามารถตรัสได้ว่าพระองค์ทำเพื่อความสงบสุขของราษฎรนับหมื่นจึงกำจัดพวกเขาออกไป มิเพียงมิถูกขุนนางและราษฎร์ตำหนิ พระองค์ยังได้ชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีปรีชาล้ำเลิศอีกด้วย
“เรื่องนี้มิเพียงเกี่ยวพันถึงจวนโหวของเราที่เดียวหรอกเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมิหลบตาจนน่าตกใจ นางสบสายตาอันอิงเฉิงโดยตรง “โรคระบาดแพร่ได้รวดเร็วมาก หากเรามิรีบรายงานให้ฮ่องเต้ทรงทราบ เกรงว่าอีกมิกี่วันทั้งเมืองจิงคงเต็มไปด้วยโรคระบาด ราษฎรนับพันนับหมื่นต้องตายอย่างทุกข์ทรมานเจ้าค่ะ”
นางนึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้าเมื่อชาติก่อนขึ้นมาจึงรู้สึกทนมิไหว
สวรรค์ให้โอกาสนางได้เกิดใหม่ มิรู้ว่านางสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของราษฎรเหล่านี้ได้หรือไม่
“เจ้ายังเด็ก เรื่องบางอย่างก็มิเข้าใจ เจ้าเพียงจำไว้ว่าสาวใช้ผู้นั้นตายอย่างกะทันหัน มิมีอันใดพิเศษไปกว่านั้น ” อันอิงเฉิงมิแยแส แม้แววตายังคงเคร่งขรึมแต่ความหมายในคำกล่าวทำให้อันหลิงเกอรู้ว่าเขามิได้ใส่ใจเรื่องนี้ “เกอเอ๋อ พ่อรู้ว่าเจ้ามีใจเมตตา แต่หากปล่อยให้ฮ่องเต้รู้เรื่องนี้ เกรงว่าจักนำหายนะใหญ่หลวงมาให้จวนโหวของเรา”
ความคิดในใจของเขามิได้ไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด แต่อันหลิงเกอคิดมิเหมือนเขาแม้แต่นิดเดียว
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านมิบอกลูกก็รู้ว่าทุกวันนี้ฮ่องเต้มีอคติต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ ต้องการบั่นทอนอำนาจของผู้คนเหล่านั้น ท่านจึงกังวลว่าเมื่อฮ่องเต้รู้เรื่องนี้จักฆ่าคนทั้งจวนของเรา”
อันอิงเฉิงมีใบหน้าตกตะลึง เรื่องนี้เขามิเคยเอ่ยขึ้นในจวนเลย แล้วอันหลิงเกอรู้เรื่องได้เยี่ยงไร ?
สายตาของเขามีประกายลึกล้ำพุ่งผ่านแล้วฟังที่อันหลิงเกอกล่าวต่อ “แต่ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านคิดให้ดีว่าหากวันนี้เราปิดบังเรื่องไว้ รออีกสองวันเมืองจิงเกิดโรคระบาดขึ้นมา ราษฎรนับพันต้องตายเพราะโรคระบาด ฮ่องเต้ต้องส่งคนไปสืบที่มาของโรคอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นท่านจักเผชิญกับการสอบสวนของฮ่องเต้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
“ทางที่ดีเราฉวยโอกาสตอนที่โรคระบาดยังมิได้กระจายไปมากกว่านี้ นำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ให้ราษฎรได้ป้องกันเอาไว้ นี่ถือว่าท่านได้ช่วยราษฎรทั้งยังได้สร้างความดีความชอบให้ฮ่องเต้ พระองค์คงมิลงมือกับท่านหรอกเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ฟังแล้วมีเหตุผลยิ่งนัก
แววตาแน่วแน่ของอันอิงเฉิงจางหายไป ใบหน้าเริ่มปรากฏความลังเลขึ้นมา
หากปิดบังเรื่องนี้ไว้ มิแน่ว่าฮ่องเต้อาจตรวจสอบมาถึงตัวพวกเขา แต่หากรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้และส่งคนไปกระจายข่าวเรื่องโรคระบาด เขาก็จักกลายเป็นขุนนางผู้มีความชอบในสายตาราษฎร ด้วยชื่อเสียงนี้ ฮ่องเต้ก็คงมิลงมือกับจวนโหว
แต่หากฮ่องเต้ยืนกรานจักใช้โอกาสนี้กำจัดเสี้ยนหนามเยี่ยงจวนโหวเล่า ? วางแผนไว้มากมาย สุดท้ายก็เสียเปล่ามิใช่หรือ
อันอิงเฉิงเอามือไพล่หลัง มิรู้ควรทำเยี่ยงไรไปครู่หนึ่ง
อันหลงเกอเห็นที่เขาลังเลจึงรู้ว่าอันอิงเฉิงได้รับฟังความเห็นของนางบ้างแล้ว
นางจึงฉวยโอกาสตีเหล็กตอนที่ยังร้อน ยกผลดีต่าง ๆ ออกมากล่าว “หากท่านพ่อรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทรงทราบก็เท่ากับนำชีวิตของคนทั้งตระกูลวางไว้ให้ฮ่องเต้แล้ว นี่ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีอย่างหนึ่ง ท่านทำถึงขั้นนี้แล้ว มิแน่ว่าฝ่าบาทอาจประทับใจและมิปล่อยให้ท่านเป็นเพียงท่านโหวที่มีเพียงนามเจ้าค่ะ”
ตำแหน่งโหวที่มีเพียงนาม
อันอิงเฉิงกำหมัดแน่น ภายในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา
ใช่สิ นึกถึงตอนนั้นที่บิดาสู้แย่งชิงแผ่นดินร่วมกับอดีตฮ่องเต้มาด้วยกัน ในมือมีกองกำลังทหารหลายหมื่น ควบอาชารบอยู่กลางทะเลทราย แต่เมื่อเขาได้รับตำแหน่งท่านโหวบ้าง กลับต้องโดนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันหวาดระแวง จึงได้แต่เดินสายขุนนางฝ่ายบุ๋น เป็นท่านโหวที่สงบเสงี่ยม แม้มียศที่สูงส่งแต่อำนาจเทียบเท่ารัชทายาทและราชครูในราชสำนักยังมิได้เลย
ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน !
บุรุษคนใดมิอยากครอบครองกองกำลังทหารไว้ในมือและสามารถรับใช้แผ่นดินได้ ?
ทว่าฮ่องเต้มีอคติต่อเขา เขาจึงมิอาจแสดงความสามารถจนถึงวัยกลางคนแล้ว หรือจักปล่อยให้เป็นเยี่ยงนี้ต่อไป ?
“ดี พ่อจักเชื่อเจ้าสักครั้ง”
อันอิงเฉิงตัดสินใจแล้วมิลังเลอีกต่อไป เพียงแต่แววตาที่มองอันหลิงเกอดูสงสัยเล็กน้อย “เกอเอ๋อ เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ได้เยี่ยงไร ? ”
เขามิค่อยใส่ใจบุตรีคนนี้สักเท่าไร แม้กระทั่งอาจารย์ที่สอนตำราก็เป็นหลี่ซื่อเชิญมาด้วยซ้ำ ส่วนอันหลิงเกอเรียนอันใดไปบ้าง เริ่มเรียนจากตรงไหน เรียนเป็นเยี่ยงไร เขามิรู้เลยแม้แต่น้อย
ครั้งก่อนที่เจอโจรป่า อันหลิงเกอที่ใช้ธนูได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำยังทำให้เขาตกใจมิน้อย เนื่องจากทักษะการยิงธนูเป็นคุณสมบัติของบุรุษ หากอันหลิงเกอโดดเด่นเล็กน้อยก็มิถือเป็นเรื่องแปลกอันใด
แต่อันหลิงเกอรู้ได้เยี่ยงไรว่าฮ่องเต้ทรงระแวงต่อผู้มีบรรดาศักดิ์ที่มิใช่เชื้อพระวงศ์และอยากกำจัดอำนาจของพวกเขา ?
สตรีในเรือนย่อมมิรู้เรื่องพวกนี้ อีกทั้งเขาก็มิเคยเอ่ยเรื่องนี้ในจวน แล้วเกอเอ๋อรู้สิ่งนี้มาจากที่ใด !