พลิกชะตาชายาสยบแค้น – ตอนที่ 2 พบศัตรูอีกครั้ง

ตอนที่ 2 พบศัตรูอีกครั้ง

อันหลิงเกอจำได้อย่างแม่นยำว่าปีที่นางอายุ 17 ปีนั้น ฝ่าบาทได้พระราชทานสมรสระหว่างจวนโหวกับจวนอ๋องมู่

จวนอ๋องมู่นั้นมีตำแหน่งสูงส่ง มิมีทางที่พวกเขาจะต้อนรับบุตรสาวของฮูหยินรองมาเป็นพระชายา ถ้าเยี่ยงนั้นงานสมรสที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ ย่อมหมายถึงงานแต่งระหว่างอันหลิงเกอและมู่จวินฮาน

แต่หลังจากฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้เพียงเดือนกว่า นางก็ประสบกับอุบัติเหตุพลัดตกน้ำที่สวนด้านหลัง ตอนนั้นนางรู้สึกเหมือนมีคนผลักนางจากด้านหลัง แต่อันหลิงอีกลับบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ นางจึงคิดว่าตนเองจำผิดมาโดยตลอด

ตอนนี้เมื่อนางมาลองคิด ๆ ดูแล้ว การตกน้ำครานี้ต้องเกี่ยวข้องกับอันหลิงอีและมารดาของนางอย่างแน่นอน !

อันหลิงอี !

หลี่ซื่อ !

อันหลิงเกอขบกรามแน่น เมื่อคิดถึงความลับที่นางได้ล่วงรู้ก่อนตาย นางจึงรู้สึกแค้นจนอยากจะฆ่าพวกนางให้ตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้

เมื่อตริตรองให้ถี่ถ้วนแล้ว ความคิดนั้นก็ได้มลายหายไปจนสิ้น อันหลิงอีในตอนนี้ยังมิมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น ชาติก่อนหลี่ซื่อและอันหลิงอีทำให้สาวใช้ข้างกายของนางกลายไปเป็นพรรคพวกของตนเองอย่างเงียบ ๆ เกรงว่าคงมีเขี้ยวเล็บอยู่มิน้อย ดังนั้นนางคงสู้สองแม่ลูกนั่นมิได้ !

อันหลิงเกอสงบใจลง นางจะมิทำผิดซ้ำสองเหมือนชาติก่อนอีก ในเมื่อสวรรค์เมตตาให้โอกาสนางได้เกิดใหม่อีกครา นางจะมิปล่อยให้โอกาสนี้ได้หลุดลอยไปเป็นอันขาด !

ขณะที่อันหลิงเกอกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ปี้จูก็เอ่ยขึ้นมาว่า“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินรองและคุณหนูรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอเมื่อได้ยินดังนั้น มุมปากก็พลันยกขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมา จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เชิญพวกนางเข้ามา”

ปี้จูยังมิทันออกไปเชิญเลยด้วยซ้ำ ประตูห้องนอนของอันหลิงเกอก็ถูกผลักเข้ามา พร้อมกับสายลมเย็นที่พัดเข้ามาในห้องจนอันหลิงเกออดมิได้ที่จะกระแอมไอออกมา

“ไอหยา พี่หญิงช่างอ่อนแอเสียจริง ลมเย็นเพียงเท่านี้ก็ทนมิไหวแล้ว” อันหลิงอีเอ่ยพลางนั่งลงข้างเตียงของอันหลิงเกอ ดวงตาที่มีเสน่ห์จ้องมองมาที่อันหลิงเกอพร้อมกับคำเอ่ยที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่อันหลิงเกอกลับเห็นแววตาแห่งความเกลียดชังและมาดร้ายที่วาบผ่านดวงตาของนาง

บิดาของนางนามว่า อันอิงเฉิง ได้แต่งฮูหยินใหญ่ 1 คน และมีฮูหยินรองอีก 1 คน มารดาของอันหลิงเกอคือฮูหยินใหญ่ ส่วนฮูหยินรองก็คือหลี่ซื่อ และยังเป็นมารดาของอันหลิงอีอีกด้วย หลังจากมารดาของอันหลิงเกอสิ้นใจ หลี่ซื่อจึงค่อย ๆ กลายมาเป็นผู้กุมอำนาจในจวนนี้

หากมิมีตนซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ หลี่ซื่อจะต้องได้ขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่อย่างแน่นอน อันหลิงอีก็จะมีฐานะที่สูงขึ้นตาม กลายเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหว

บุตรของฮูหยินใหญ่และบุตรของฮูหยินรองแม้จะต่างกันเพียงคำเดียว แต่ฐานะกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ชาติที่แล้ว อันหลิงอีและหลี่ซื่อดูแลอันหลิงเกอเป็นอย่างดีหลังจากที่ท่านแม่ของนางสิ้นใจ จึงทำให้นางหลงเชื่อใจว่าสองแม่ลูกนั้นเป็นคนดี สุดท้ายพวกนางจึงได้สังหารตนจนตายและได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา คาดมิถึงว่าชาตินี้อันหลิงอีจะแสดงธาตุแท้ออกมา มิเล่นละครทำตัวสนิทสนมกับตนเหมือนชาติก่อน แบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นอันหลิงอี

อันหลิงเกอขยำชายเสื้อเอาไว้แน่น อดทนเก็บอาการมิแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา เก็บงำความแค้นเอาไว้ในใจ เอ่ยกับอันหลิงอีอย่างยิ้มแย้ม “ท่านแม่ของพี่นั้นด่วนสิ้นใจจากไป สู้เจ้าที่มีอี๋เหนียงคอยดูแลมิได้หรอก” คำเอ่ยนี้ของอันหลิงเกอมิเบาและมิแรง แต่แฝงความหมายว่าอันหลิงอีนั้นเป็นเพียงลูกของฮูหยินรอง และยิ่งเน้นย้ำว่าหลี่ซื่อนั้นเย็นชาต่อนางเพียงใด

ภายในห้องเกิดความเงียบงันขึ้นมาชั่วขณะ หลี่ซื่อและอันหลิงอีสบตากันชั่วครู่ พวกนางต่างก็รู้สึกว่าวันนี้อันหลิงเกอแตกต่างไปจากทุกวัน

อายุอานามของหลี่ซื่อก็มากแล้ว นางย่อมผ่านร้อนผ่านหนาวมามากด้วยเช่นกัน นางที่ได้สติก่อนจึงเอ่ยออกมาว่า “หลิงเกอ เจ้าเอ่ยอันใดเยี่ยงนี้ อี๋เหนียงก็รักเจ้าเช่นกัน นี่แค่ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้าพลัดตกน้ำจนวันนี้ก็ยังมิได้สติ อี๋เหนียงก็รีบพาน้องหลิงอีมาเยี่ยมเจ้าทันที”

‘มาดูว่าข้าตายหรือยังน่ะสิ ? ฮึ ! ’ อันหลิงเกอหัวเราะเยาะในใจ

หลี่ซื่อปรบมือเบา ๆ จากนั้นก็มีสาวใช้เดินเข้ามาทางประตูสี่ห้าคน ทุกคนต่างถือของบำรุงไว้ในมือมิว่าจะเป็นรังนก กระเพาะปลา และอื่น ๆ อีกมากมาย

“พวกนี้ล้วนเป็นของที่อี๋เหนียงเตรียมไว้เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ เจ้าจะได้หายไว ๆ ”

หลี่ซื่อพูดเสร็จกำลังจะลุกขึ้น กลับถูกอันหลิงเกอเรียกไว้เสียก่อน

“อี๋เหนียงมาถึงที่นี่ เพื่อนำของบำรุงมาให้ข้าเพียงเท่านั้นหรือ ? ”

ดวงตาที่งดงามของนางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เกิดเป็นความรู้สึกที่แม้แต่หลี่ซื่อเองก็มิเข้าใจ

หลี่ซื่อยิ่งรู้สึกว่าอันหลิงเกอในวันนี้ช่างดูแปลกไปมากยิ่งนัก จนนางเองยังมิอยากจะยุ่งเกี่ยวอันใดกับอันหลิงเกออีก นางจึงกล่าวออกมาว่า “มิใช่ ! ข้าเห็นเจ้าได้สติแล้ว เลยจะรีบไปบอกนายท่านเยี่ยงไรเล่า”

เมื่ออันหลิงเกอได้ยินดังนั้น จึงยิ้มออกมา หลี่ซื่อก็รู้จักเกรงกลัวเหมือนกันนี่ กลัวจะถูกมองว่าปล่อยปละละเลยนาง ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนจึงมักวางตัวเป็นมารดาที่ดี ตอนนี้นางจะใช้ประโยชน์จากมันนี่แหละ อันหลิงเกอเงยหน้ามองหลี่ซื่อ: “หากอี๋เหนียงไปแจ้งให้ท่านพ่อทราบ ได้โปรดขอให้ท่านพ่อสืบหาความจริงด้วยเถิด”

“ความจริง ? ความจริงอันใดกัน ? ” อันหลิงอีลุกขึ้นยืนทันที “เจ้ามิระวังจนพลัดตกน้ำเอง คิดจะโยนความผิดให้ผู้อื่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อันหลิงเกอมิได้โวยวายแต่อย่างใด นางเพียงแค่ตวัดสายตาเย็นชามองไปที่อันหลิงอี สายตาของนางทำให้อันหลิงอีอดที่จะสั่นสะท้านมิได้ แต่นางก็ยังคงยืนกรานหนักแน่นว่า “เป็นเจ้าที่ซุ่มซ่ามเอง จะโทษผู้ใดได้เล่า ? ”

อันหลิงเกอมิสนใจนางอีกต่อไป เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า“ข้าจะซุ่มซ่ามหรือไม่นั้น บุตรสาวอนุเยี่ยงเจ้าก็มิมีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์ ! ”

นางเน้นคำว่า บุตรสาวอนุ จนอันหลิงอีถึงกับตกตะลึงงันไป คาดมิถึงว่านางจะตอบกลับมาเช่นนี้ !

จากนั้นอันหลิงเกอก็หันกลับไปหาหลี่ซื่อแล้วเอ่ยต่อว่า “หากอี๋เหนียงมิสะดวก เยี่ยงนั้นข้าจะไปแจ้งให้ท่านพ่อทราบเอง ว่ามีคนลอบทำร้ายข้า เยี่ยงไรก็ต้องสืบหาให้รู้ความ ! ”

สีหน้าของหลี่ซื่อเริ่มเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา “เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าจะเอ่ยวาจาเหลวไหลมิได้นะ”

อันหลิงเกอเอ่ยอย่างมั่นใจว่า“อี๋เหนียงรู้ดีว่าข้าเป็นคนมิชอบมีเรื่องกับผู้ใด หากมิใช่เพราะมีคนมาลอบทำร้าย ข้าก็มิอยากจะยุ่งนักหรอก อีกอย่างหากมิมีหลักฐาน ท่านคิดว่าข้าจะกล้าเอ่ยมั่วซั่วออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

นางยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก จ้องไปทางหลี่ซื่อ เพราะอยากจะเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

“เจ้าเห็นเยี่ยงนั้นหรือว่าผู้ใดเป็นคนผลักเจ้า ? ”

อันหลิงอีเป็นคนแรกที่ทนมิไหว แต่นางเอ่ยได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกหลี่ซื่อขัดขึ้นมาเสียก่อน “ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยงนั้นข้าจะไปแจ้งให้นายท่านสั่งให้คนไปสืบหาความจริงมา”

เมื่อได้ฟังนางเอ่ยเช่นนี้ อันหลิงอีก็อดที่จะร้อนรนขึ้นมามิได้ ขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมากลับถูกหลี่ซื่อห้ามเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็ลากนางออกไปจากห้อง เรื่องนี้หลี่ซื่อย่อมสืบหาอย่างแน่นอน อันหลิงเกอยังจำได้ดีว่าตอนนั้นเมื่อชาติที่แล้วหลี่ซื่อสืบหาความจริงเยี่ยงไร ริมฝีปากของอันหลิงเกอเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา

หลี่ซื่อ อันหลิงอี เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น พวกเจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ

สองแม่ลูกพึ่งจะจากไป สาวใช้ปี้จูก็หมอบลงเบื้องหน้าอันหลิงเกอ บนใบหน้ายังปรากฏคราบน้ำตาที่ยังมิเหือดแห้งดี นางจ้องมองไปที่ปี้จู ก็นึกสงสารสาวใช้ผู้นี้ขึ้นมา สุดท้ายก็ตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของอันหลิงอี

อันหลิงเกอรู้สึกปวดใจ นางจึงยื่นมือออกไปพยุงปี้จู “เจ้าวางใจเถิด ต่อไปข้าจะมิยอมให้เจ้าโดนรังแกอีก ! ”

ปี้จูมิเข้าใจความหมายของนาง แต่ก็ยังพยักหน้ารับ

อันหลิงเกอเอ่ยขึ้นมาว่า“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าอาจจะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม อาจจะต้องทำร้ายผู้อื่น อาจกลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง เจ้า…ยังอยากติดตามข้าอยู่หรือไม่ ? ”

ปี้จูมิได้เอ่ยอันใดออกมา หลังจากเงียบไปชั่วครู่ นางก็คุกเข่าลงกับพื้นและคำนับสามครา “คุณหนูเป็นผู้มีพระคุณของปี้จู มิว่าเยี่ยงไรปี้จูก็มิมีวันลืม นับจากนี้ไปปี้จูจะขอติดตามคุณหนู หากปี้จูผิดคำสาบานขอให้มิตายดี ! ”

อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ และช่วยพยุงนางขึ้นมา “เยี่ยงนั้น… ตอนนี้เจ้าช่วยอันใดข้าสักอย่างหนึ่งสิ…”

ในยามเว่ย มิผิดจากที่อันหลิงเกอคาดการณ์เอาไว้เลยสักนิด กูกูคนสนิทของหลี่ซื่อมาเชิญอันหลิงเกอไปที่ห้องโถง แจ้งว่าพบตัวคนที่ผลักอันหลิงเกอตกน้ำแล้ว อันหลิงเกอเองก็เตรียมตัวเอาไว้แล้วเช่นกัน วิธีการนี้เหมือนกับที่หลี่ซื่อเคยใช้กับท่านพ่อในชาติก่อน

ช่างซ้ำซากจำเจยิ่งนัก

*ซื่อ เป็นคำที่ใช้ต่อท้ายแซ่เดิม (ก่อนแต่งงาน) ของหญิงที่แต่งงานแล้ว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง พลิกชะตาชายาสยบแค้นจวนโหวเต็มไปด้วยเสียงมโหรีดังอึกทึก ภายในประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าแพรหลากสี อันหลิงเกออยู่ในชุดแต่งงานสีแดง นางกำลังใช้ชาดทาปากอยู่หน้ากระจก ด้านหลังมีสาวใช้สองคนกำลังช่วยนางหวีผมแต่งตัว วันนี้ นางจะต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset