ตอนที่ 200 เชื่อใจชั่วคราว
เคียงราชาดั่งเคียงเสือโดยแท้จริง
อันอิงเฉิงเห็นฮ่องเต้กำลังทรงกริ้ว ภายในใจจึงนึกถึงคำนี้ขึ้นมา
ในใจของเขาลนลานแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าฮ่องเต้มิได้คิดกำจัดจวนโหวจริง ๆ พระองค์เพียงแค่ตรัสคำเหล่านี้ออกมาเพราะความโกรธเท่านั้น
“ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อันอิงเฉิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ท่าทีของเขามิเปลี่ยนไปเลย “กระหม่อมรีบเข้าวังก็เพื่อแผ่นดินของฝ่าบาท เพื่อราษฎรของฝ่าบาท โปรดรับฟังกระหม่อมและเตรียมการป้องกันให้พร้อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ท่าท่างยืนกรานของเขาทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากกว่าเดิม อันอิงเฉิงกล่าวราวกับว่าศัตรูบุกประชิดมาถึงเมืองจิงแล้ว ทั้งยังอ้างถึงแผ่นดินของพระองค์ เหอะ! แผ่นดินของพระองค์ยังมั่นคงดีต่างหาก !
ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์ด้วยท่าทีเคร่งขรึม สายพระเนตรอันเฉียบคมจ้องอันอิงเฉิง
“ท่านโหวอัน เพียงสาวใช้ผู้หนึ่งของท่านตายไปก็บอกว่ากำลังจักมีโรคระบาดในเมืองจิง หากข้าเชื่อคำกล่าวของท่านก็มิเท่ากับปล่อยให้คนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะว่าข้าไร้ความสามารถหรอกหรือ ? ”
อันอิงเฉิงยกยิ้มอย่างยากลำบาก เรื่องนี้มิมีหลักฐานอันใด หากมิใช่ว่าสาวใช้ตายในจวน อีกทั้งเกอเอ๋อและหมอในจวนก็วินิจฉัยแล้วว่าเกิดจากโรคระบาด เขาก็มิกล้าเชื่อมั่นเช่นกัน !
แต่ในเมื่อตัดสินใจนำเรื่องนี้มาทูลฮ่องเต้แล้วจึงมิอาจถอยกลางทางได้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้เรียกท่านหมอในจวนไปดูแล้วเขายืนยันว่าสาวใช้ผู้นั้นตายจากโรคระบาด หากฝ่าบาทมิเชื่อกระหม่อม กระหม่อมสามารถใช้ชีวิตตนเองเป็นประกันได้ อีกมิกี่วันเมืองจิงจักเกิดโรคระบาดร้ายแรง หากเรื่องนี้มิเป็นจริง กระหม่อมยินยอมปลิดชีพตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
อันอิงเฉิงก้มตัวลง คำกล่าวของเขาทำให้ฮ่องเต้ตกตะลึงมิน้อย
ในหทัยฮ่องเต้นั้น อันอิงเฉิงเป็นคนที่ไร้หัวคิดผู้หนึ่ง เรื่องในราชกิจมิเคยยุ่ง แม้ในใจจักมีความโลภอยู่บ้าง ทว่าความสามารถก็ธรรมดาเกินไป แต่วันนี้ราวกับว่าอันอิงเฉิงค่อนข้างแน่ใจจึงกล้านำชีวิตมาเป็นประกัน
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ ความโกรธภายในหทัยของฮ่องเต้ก็พลันจางหายไป เพียงแต่พระเนตรคู่นั้นยังคงเฉียบคม “ดี ในเมื่อท่านโหวกล้านำชีวิตมารับประกัน ข้าก็จักเชื่อสักครั้ง”
เมื่อได้ยินเยี่ยงนั้น อันอิงเฉิงก็แอบถอนหายใจออกมาและยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างระมัดระวัง
……
อีกด้านหนึ่ง อันหลิงเกอได้สั่งคนเผาห้องเก็บฟืนแล้วจัดการเรื่องหลันซินเรียบร้อย ยังมิทันได้เดินกลับเรือนของตนก็เจออันหลิงอีเสียก่อน
“พี่หญิงใหญ่กำลังทำอันใดหรือเจ้าคะ ? หรือว่าเล่นไฟสนุกมาก พี่หญิงใหญ่จึงเอามาเผาเล่นในจวนเยี่ยงนี้ ? ”
อันหลิงอีสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดตา ดอกบ๊วยสีครามพื้นหลังสีขาว ปกเสื้อปักใบไผ่ กระดุมสองแถวสีเหลืองอ่อนและกระโปรงยาวผ้าไหมทอหนาสีแดงอมชมพู เห็นได้ชัดว่านี่เป็นชุดที่สวยงาม เพียงแต่มีรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าที่งดงามของผู้สวมใส่
เมื่อเห็นใบหน้าอันหลิงเกอ อันหลิงอีก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา เรื่องทั้งหมดต้องโทษอันหลิงเกอ เพราะทำให้ท่านแม่โดนฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษด้วยแส้ ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง แต่อันหลิงเกอยังมาเล่นสั่งคนให้เผาห้องเก็บฟืน นี่กำลังฉวยโอกาสที่ท่านแม่ป่วยหนักจนทำหน้าที่มิได้ จงใจสร้างปัญหาให้ท่านแม่อย่างเห็นได้ชัด !
ความขุ่นเคืองที่นางมีต่ออันหลิงเกอชัดเจนมาก กระทั่งอันหลิงเหมิงที่อยู่ด้านหลังยังรับรู้ถึงความดุร้ายนั้นได้จึงก้มหน้าลงทันที ทำราวกับมิรู้เรื่องอันใดทั้งนั้น
แต่อันหลิงอีเอ่ยขึ้นว่า “น้องหญิงสี่ เจ้าคิดหรือไม่ว่าพี่หญิงใหญ่ของเราตอนนี้ช่างเก่งกาจเหลือเกิน ใส่ร้ายข้าในงานวันเกิดท่านย่ามิพอ ตอนนี้ยังสั่งคนเผาห้องเก็บฟืนโดยไร้เหตุผล หากมิมีคนคอยคุมอยู่ นางคงรื้อจวนโหวของเราไปแล้ว”
เมื่อถูกอันหลิงอีเรียก อันหลิงเหมิงจึงมิสามารถทำเป็นเพิกเฉยได้อีก นางยิ้มแห้งออกมา “แม้ว่าพี่หญิงใหญ่จักทำเกินไปก็จริง แต่ก็เป็นคนที่รู้หนักรู้เบา มิแน่ว่าอาจมีเหตุผลอยู่เจ้าค่ะ”
เดิมทีนางก็มิอยากขัดเคืองกับผู้ใด ดังนั้นคำกล่าวประโยคแรกของนางจึงไหลตามที่อันหลิงอีต้องการ ส่วนประโยคหลังก็มิได้ทำให้อันหลิงเกอเสียหน้า
แต่คำนี้ทำให้ใบหน้าของอันหลิงอีมิดีขึ้นเลย นางยิ่งโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
อันหลิงเหมิงเป็นเพียงบุตรสาวอนุภรรยาของท่านอารองที่ไร้อำนาจอันใดในจวนโหวแห่งนี้ ตนอุตส่าห์เมตตาให้อยู่เคียงข้าง นางมิเอาใจให้ดีกลับอยากเป็นมิตรกับอันหลิงเกอ
บุตรสาวของอนุภรรยาชั้นต่ำยังอยากเอาใจทั้งสองฝ่าย มิอยากขัดเคืองกับผู้ใด ฝันไปเถิด !
อันหลิงอีรู้สึกโกรธมาก แววตาที่มองอันหลิงเหมิงเย็นชาในทันที “เช่นนั้นก็เชิญพี่หญิงใหญ่อธิบายหน่อยว่าเหตุใดจึงเผาห้องเก็บฟืน”
ลองมองคนทั่วทั้งเมืองจิง มีคุณหนูบ้านใดกล้าเผาห้องเก็บฟืนของตนเยี่ยงนี้บ้าง หากมิติดว่าท่านแม่ยังนอนอยู่บนเตียง ตอนนี้นางต้องฉวยโอกาสสั่งสอนอันหลิงเกออย่างแน่นอน
ดวงตาของอันหลิงเกอหรี่ลง เห็นได้ชัดว่าใบหน้างดงามเข้ากับรูปลักษณ์ที่เย็นชาได้ดี ทำให้คนถูกมองรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนมิกล้าสบตา
“น้องหญิงสาม เรื่องนี้ข้าได้รายงานท่านพ่อแล้ว หากเจ้ามีความคิดเห็นใดก็ไปคุยกับท่านพ่อเองเถิด”
อันหลิงเกอตอบพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าแฝงความดูถูกราวกับว่าอันหลิงอีที่เป็นแค่บุตรีอนุภรรยาคนหนึ่งมิมีสิทธิ์สอบถามนาง
อันหลิงอีเกลียดท่าทีเยี่ยงนี้ที่สุด !
อันหลิงเกอแค่เกิดมาวาสนาดีจึงได้เป็นบุตรีภริยาเอก แต่นางเป็นบุตรสาวของท่านพ่อเหมือนกัน เหตุใดอันหลิงเกอจึงสูงส่งยิ่งกว่า ? เหตุใดนางต้องต้อยต่ำกว่าอันหลิงเกอด้วย ?
นางต้องกำจัดอันหลิงเกอที่เป็นอุปสรรคให้จงได้ เพื่อจักได้เป็นบุตรสาวคนเดียวของท่านพ่อ !
เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น อันหลิงอีกัดฟันไว้แน่นด้วยความแค้น แววตาฉายความดุร้ายแต่ใบหน้ายังแสร้งทำไร้เดียงสา “ที่แท้ท่านพ่อสั่งให้พี่หญิงใหญ่เผาห้องเก็บฟืนนี่เอง ข้ายังมิเคยเห็นท่านพ่อมีคำสั่งเหลวไหลเยี่ยงนี้มาก่อน” นางนิ่งไปชั่วครู่พร้อมดวงตามีประกายขึ้น “ แต่คำสั่งของท่านพ่อ เหตุใดถึงให้พี่หญิงใหญ่มาจัดการเจ้าคะ บ่าวรับใช้พวกนั้นอู้งานไปไหนกันหมดแล้ว ? ”
คำกล่าวนี้ฟังเหมือนหวังดีต่ออันหลิงเกอ แต่ที่จริงเป็นการเอาอันหลิงเกอไปเปรียบกับบ่าวรับใช้เหล่านั้นอย่างชัดเจน เป็นการพาดพิงว่าอันหลิงเกอต้อยต่ำและทำแต่เรื่องที่บ่าวทำกัน
อันหลิงเกอทำราวกับฟังคำเยาะเย้ยของอันหลิงอีมิออก นางจึงส่งยิ้มให้ ใบหน้างดงามนั้นยิ่งดูโดดเด่น “เดิมทีเรื่องนี้ควรมอบให้หลี่อี๋เหนียงมาจัดการเพราะนางดูแลจวนโหวมาหลายปีจึงถนัดทำเรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้นางบาดเจ็บเพราะถูกแส้เฆี่ยน เวลานี้ยังนอนอยู่บนเตียงขยับมิได้ เป็นเวลาที่นางอ่อนแอยิ่งนัก ข้าคงมิสามารถให้นางมาทำทั้งที่ยังเจ็บหนักจึงต้องหาคนมาทำเรื่องนี้เอง”
อันหลิงอีกล่าวว่าเรื่องเหล่านี้เป็นงานของบ่าวมิใช่หรือ ? แต่เรื่องพวกนี้มิรู้ว่าหลี่ซื่อทำไปตั้งกี่ครั้งแล้ว อันหลิงอีเหยียบย่ำนางว่ามิต่างจากบ่าว เยี่ยงนั้นหลี่ซื่อย่อมเป็นบ่าวเช่นการ การเป็น ‘บ่าว’ ที่คลอดอันหลิงอีออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ยังต้อยต่ำกว่ามากนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางทำเรื่องเยี่ยงนี้เพราะเห็นใจที่หลี่ซื่อบาดเจ็บจึงต้องการให้หลี่ซื่อรักษาตัว แต่อันหลิงอีกลับพูดดูถูกเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่ามิรู้จักดีชั่วทั้งยังใจแคบ