ตอนที่ 201 เผชิญหน้า
การที่วันนี้หลี่ซื่อได้รับบาดเจ็บเรื่องนี้จึงตกไปที่อยู่ตัวอันหลิงเกอ ผู้ใดจักล่วงรู้ได้ว่าในวันพรุ่งนี้อำนาจในมือหลี่ซื่อจักยังอยู่ดีหรือไม่ ?
แววตาอันหลิงเกอเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วมองใบหน้าที่กำลังครุ่นคิดของอันหลิงเหมิง พลันมุมปากก็เผยรอยยิ้มที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้
อันหลิงอีโดนอันหลิงเกอยอกย้อนอย่างนุ่มนวลจึงรู้สึกโกรธจนหน้าแดง หากมิคำนึงถึงคำสั่งของหลี่ซื่อ นางคงพุ่งตัวเข้าไปสั่งสอนอันหลิงเกอให้หลาบจำอย่างแน่นอน
แต่หลี่ซื่อได้กำชับนางเอาไว้หลายรอบ บอกว่าอันหลิงเกอเจ้าเล่ห์เกินไป และนางมิใช่คู่แข่ง หลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีก อย่าให้อันหลิงเกอจับจุดอ่อนไว้
อันหลิงอีจึงได้แต่จ้องมองอันหลิงเกออย่างโกรธแค้น ใบหน้ายังน่ากลัวมาก แต่พอมองเห็นท่าทางมิแยแสของอันหลิงเกอแล้ว นางก็เหมือนเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง มิมีอันใดน่ากลัวเลยสักนิด
“พี่หญิงหญิงใหญ่หวังดีต่อฮูหยินรอง พี่หญิงสามก็อย่าได้โกรธอีกเลยเจ้าค่ะ” อันหลิงเหมิงเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำลายความเงียบที่แปลกประหลาดนี้ลง
คำกล่าวของนางลำเอียงไปทางอันหลิงเกอทำให้อันหลิงอียิ่งโมโหเข้าไปใหญ่จึงหันไปผลักอันหลิงเหมิงอย่างแรง “เกี่ยวอันใดกับเจ้า ? “
อันหลิงอีลงมือกะทันหันเพื่อระบายอารมณ์โกรธกับอันหลิงเหมิง ทำให้อันหลิงเหมิงมิทันได้ตั้งตัวก็ล้มลงกับพื้นแล้วค่อยรู้ตัวว่าเกิดอันใดขึ้น ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ฉายแววตกตะลึงและเศร้าใจในคราวเดียวกัน
อันหลิงอีเหมือนสับสนเล็กน้อยเพราะอารมณ์ชั่ววูบจึงมิได้ตั้งใจผลักอันหลิงเหมิงให้ล้มลง
“ยังมิรีบพยุงคุณหนูสี่ขึ้นมาอีก” อันหลิงเกอหันไปออกคำสั่งกับปี้จูและหมิงซิน พวกนางสองคนจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองอันหลิงเหมิงขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ทั้งยังช่วยจัดเสื้อผ้าให้จนเรียบร้อย
ในเวลานี้อันหลิงเหมิงน้ำตาคลอ กัดริมฝีปากแน่น พอยืนขึ้นมาได้ก็เอ่ยขอบคุณอันหลิงเกอด้วยเสียงสั่นเครือ “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
ท่าทางของนางราวกับได้รับความลำบากใจมาก เมื่อคิดแล้วนางในฐานะบุตรีอนุภรรยาของท่านอารองที่ไร้ตัวตนในจวน เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น นางจึงต้องเอาใจอันหลิงอี แต่ถูกอันหลิงอีรังแก ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นบ่าวคนหนึ่ง ในใจนางแทบแบกรับเอาไว้มิไหว
เมื่อนึกได้เช่นนี้ อันหลิงเกอก็แอบถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็หันไปมองอันหลิงอีด้วยใบหน้าที่เข้มงวดขึ้นมา “น้องหญิงสามยังใจร้อนเช่นเคย คนที่เจ้าผลักจนล้มวันนี้คือน้องหญิงสี่ ระหว่างพี่น้อง เรามิได้ถือสามากถึงเพียงนั้น แต่วันหน้าหากเจ้าผลักผู้อื่นก็เกรงว่าคงหนีมิพ้นต้องเสียชื่อเสียงเพราะนิสัยมิเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาของเจ้า”
อันหลิงเกอเผยท่าทางบุตรสาวคนโตของภริยาเอกออกมา ระหว่างคิ้วแลดูเคร่งเครียดราวกับว่ากังวลใจต่ออนาคตของอันหลิงอี “ข้าควรไปร้องขอท่านย่าให้เชิญแม่นมสักคนมาสอนมารยาทให้น้องหญิงสาม เช่นนี้น้องหญิงสามจักได้มิทำผิดพลาดในวันหลังจนชักนำความเดือนร้อนมาให้จวนโหว”
เสแสร้งยิ่งนัก !
อันหลิงอีรู้สึกโกรธจนตาแดง มือที่อยู่ข้างตัวกำหมัดแน่นอย่างห้ามมิได้
พูดจาเสียน่าฟัง ที่แท้ก็แค่อยากบอกว่านางมิรู้มารยาททั้งยังยโสโอหังมิใช่หรือ ? ยังมีหน้ามาบอกว่าหวังดีอีก
อันหลิงอีเพียงรู้สึกว่าอันหลิงเกอเสแสร้งได้น่ารังเกียจยิ่งนัก แต่อันหลิงอีมิเคยคิดมาก่อนว่าหลี่ซื่อก็ทำตัวเยี่ยงนี้ต่ออันหลิงเกอเช่นกัน ด้านหนึ่งบอกว่าอันหลิงเกอแสนดี เลี้ยงดูนางราวกับบุตรแท้ ๆ อีกด้านก็สั่งคนให้มากลั่นแกล้งลับหลัง
ตอนนั้นในใจของอันหลิงอีมิได้รู้สึกว่าหลี่ซื่อทำผิด เพียงแค่มองอันหลิงเกอถูกพวกนางจัดการและนางรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก แต่มิคิดเลยว่าจักมีสักวันที่อันหลิงเกอทำเช่นนี้กับพวกนางบ้าง
“ต้องลำบากพี่หญิงใหญ่แล้ว” อันหลิงอีส่งเสียง เหอะ ! ออกมาแล้วกล่าวเสียดสี “พี่หญิงใหญ่ว่างถึงเพียงนี้ ทางที่ดีควรเรียนงานเย็บปักถักร้อยเอาไว้บ้าง เผื่อในอนาคตจักได้หาคู่ครองมิยาก เพราะท่านแม่ของข้ากังวลเรื่องนี้แทนมาก”
อันหลิงอีกำลังเยาะเย้ยอันหลิงเกอที่โดนผู้อื่นยกเลิกการหมั้นหมาย แต่อันหลิงเกอมิได้สนใจ เพียงยิ้มให้แล้วตอบกลับอย่างอ่อนโยน “เรื่องการแต่งงานของข้ามีท่านย่าและท่านพ่อคอยจัดการให้อยู่แล้ว”
หลี่ซื่อเป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่ง มีสิทธิ์อันใดมายุ่งเรื่องแต่งงานของนาง !
ความหมายของคำกล่าวนี้ทำให้อันหลิงอีพูดมิออก เดิมทีอยากยั่วโทสะอันหลิงเกอ แต่สุดท้ายก็เป็นตนเองที่ต้องโมโหขึ้นมา
อันหลิงอีรู้ว่ามิสามารถเอาชนะอันหลิงเกอได้จึงมิกล่าวอันใดอีก แล้วหันกายพาอันหลิงเหมิงจากไปเสียดื้อ ๆ
อันหลิงเหมิงได้แต่คำนับให้อันหลิงเกออย่างเชื่องช้า จากนั้นก็เดินตามอันหลิงอีไป ทั้งสองคนค่อย ๆ ไกลออกไปจนหายจากสายตา
รอพวกนางจากไปแล้วใบหน้าอันหลิงเกอถึงได้เผยความเหนื่อยล้าออกมา
หลังจากนั้นนางก็ได้เดินกลับเรือน แต่มิได้พักผ่อนในทันทีเพราะนางให้หมิงซินนำกระดาษออกมาและเริ่มคำนวณอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งถึงให้ปี้จูนำพู่กันมา นางจับพู่กันแล้วเริ่มเขียนอันใดบางอย่างบนกระดาษ
ปี้จูและหมิงซินรู้ดีว่าช่วงนี้อันหลิงเกอยุ่งอยู่กับการล้มเลิกแผนการของหลี่ซื่อ เพื่อให้หลี่ซื่อสองแม่ลูกได้รับความลำบากจึงต้องดำเนินแผนการที่ให้ต้นหลิวตายแทนต้นท้อนี้ กระทำอย่างเคร่งครัดในทุกขั้นตอนจึงได้ผลลัพธ์คือการที่หลี่ซื่อถูกลงโทษ แต่อย่างไรก็ตามแผนการนี้อันหลิงเกอต้องทุ่มเทกำลังมิน้อยเลย
ซ้ำร้ายหลันซินยังตายอย่างกะทันหัน โรคระบาดคราวนี้คุณหนูต้องกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นท่าทีของอันหลิงเกอเป็นเช่นนี้ ปี้จูและหมิงซินก็หันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างเห็นความทุกข์ในแววตา
แต่พวกนางเป็นเพียงสาวใช้ นอกจากช่วยเติมน้ำชา ช่วยวิ่งเต้นทำตามคำสั่งของคุณหนูแล้วก็มิสามารถช่วยอันใดได้อีก ทำได้แค่ยืนอยู่ข้างกายอันหลิงเกอเงียบ ๆ มิกล้ารบกวน
ผ่านไปได้สักพักอันหลิงเกอจึงวางพู่กันลง กระดาษแผ่นนั้นปรากฏตัวอักษรสวยงามหลายบรรทัด
อันหลิงเกอยกมือขึ้นนวดระหว่างคิ้วเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง “พวกเจ้าไปนำอุปกรณ์ต้มยาที่ห้องครัวมาและจัดเตรียมยาสมุนไพรตามรายการนี้เอาไว้”
ใบสั่งยานี้เป็นหมอเทวดาท่านหนึ่งคิดค้นหลังจากเกิดโรคระบาดรอบแรก โชคดีที่มีสูตรยานี้จึงทำให้คนที่ติดโรคระบาดเมื่อชาติก่อนมีความหวังขึ้นมา ตอนนั้นนางก็เริ่มสนใจวิชาแพทย์แล้วจึงส่งคนไปสอบถามสูตรยาเพื่อแอบจดบันทึกเอาไว้
จนวันนี้มีโรคระบาดเกิดขึ้นย่อมถึงเวลาที่นางจักเอายาสูตรนี้ออกมาใช้เสียที
หมิงซินและปี้จูตอบรับแล้วหันกายเดินออกไป
หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็หยิบนกหวีดสีดำออกจากกระเป๋าอกเสื้อ นางจับมันดูอย่างตั้งใจครู่หนึ่งจึงวางมันไว้ใต้กระดาษอีกแผ่นและเริ่มจับพู่กันมาเขียนใหม่อีกครั้ง
ครั้งนี้นางใช้เวลานานพอสมควรราวกับลังเลว่าจักเริ่มเขียนเยี่ยงไรดี ใช้เวลาไป 1 ก้านธูปจึงเขียนเสร็จ
จากนั้นอันหลิงเกอนำซองกระดาษออกมาแล้วนำจดหมายที่เขียนเสร็จพับให้เรียบร้อย ใส่ไว้ในซองแล้วเป่านกหวีด
เสียงแหลมของนกหวีดดังอย่างชัดเจน มินานก็มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอันหลิงเกอ
“คารวะจวิ้นจู่” เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้รู้จักนาง เขายกมือคารวะต่อนาง ท่าทางทำให้รู้ว่าเป็นชาวเจียงหู
ความรู้สึกแปลกผุดขึ้นมาในใจ ทว่าอันหลิงเกอมิได้แสดงออกบนใบหน้าเพียงยื่นซองจดหมายในมือออกไป “จงนำจดหมายนี้มอบให้ท่านมู่ซื่อจื่อ”