ตอนที่ 205 กลับมา
“ดอกบัวหอมน้ำเขียวลมพัดเย็น น้ำไหลเย็นในฤดูร้อนอันยาวนาน ในฤดูร้อนคืนวันยาวนาน ในฤดูร้อนที่มีสายน้ำไหลเย็น ลมเย็นน้ำไหลดอกบัวหอม”
“ข้าเคยได้ยินว่ามีบทกวีแบบย้อนกลับมานาน แต่มิทราบว่ามันเป็นเยี่ยงไร วันนี้ได้ยินกวีของจวิ้นจู่จึงได้รู้ว่ากวีที่อ่านย้อนกลับช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
อันหลิงเกอแยกคำจากบทกวีของซินเจียวเจียวออกมา ทำให้ทุกคนตกตะลึงทันที ที่แท้กวีที่ซินเจียวเจียวประพันธ์เป็นแบบอ่านย้อนกลับไปกลับมานั่นเอง มิแปลกที่พวกนางมิสามารถฟังออกในทันที
มิใช่ว่าอันหลิงอีถือตนเป็นสตรีผู้มีความรู้ความสามารถมาตลอดมิใช่หรือ เหตุใดในวันนี้แม้กระทั่งกวีแบบอ่านย้อนกลับยังฟังมิออก อีกทั้งนางยังแอบดูหมิ่นซินเจียวเจียวอีกด้วย ทำเช่นนี้ราวกับเป็นการตบหน้าตนเองชัด ๆ
อันหลิงเกออธิบายกวีเสร็จก็เห็นรอยยิ้มบนหน้าซินเจียวเจียว หลังจากนั้นนางก็กล่าวชื่นชมอันหลิงเกอโดยมิลังเล
“คุณหนูใหญ่อันเป็นผู้ฉลาดอย่างแท้จริง ข้าเพียงเคยอ่านกวีบทนี้ในตำรา คุณหนูใหญ่อันฟังเพียงครั้งเดียวก็รู้ถึงความอัศจรรย์ของมันแล้ว แสดงให้เห็นว่าความแตกฉานทางด้านบทกวีของท่านเป็นเยี่ยงไร”
ซินเจียวเจียวมิเอ่ยถึงอันหลิงอีแม้เเต่คำเดียว คำกล่าวทั้งหมดล้วนมีเพื่อชื่นชมอันหลิงเกอ ทว่าการทำเช่นนี้ก็ทำให้อันหลิงอีเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนเยาะเย้ยถากถางโดยตรงเสียอีก ราวกับมีคนมาตบหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า ตบจนหน้าแดงก่ำไปหมด
สีหน้าฮูหยินหมิงจูค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ออกมาช่วยพูดให้อันหลิงอีมิอับอายเกินไปในฐานะเจ้าของจวน นางแสร้งส่งสายตาปรามซินเจียวเจียว “นี่เป็นการประพันธ์กวีด้วยตนเอง เจียวเจียวจักเอากวีผู้อื่นมาเยี่ยงนี้มิได้”
ซินเจียวเจียวหัวเราะแล้วมิกล่าวอันใดอีก
เรื่องนี้ก็จบลงไปโดยราบรื่น หลังจากนั้นฮูหยินหมิงจูก็ให้สาวใช้เริ่มเตรียมตัวโรยกลีบดอกไม้ต่อ ทว่าได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นมา “มีราชโองการ”
ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงเสียยกใหญ่ รีบจัดเครื่องกายให้เรียบร้อยพลางเดินตามฮูหยินหมิงจูเพื่อไปรับราชโองการ
เนื้อหาในราชโองการเรียบง่ายยิ่งนัก เป็นการแสดงความยินดีต่อฮูหยินหมิงจูที่ตามหาบุตรีผู้สูญหายไปหลายปีจนพบ จากนั้นประทานยศให้ซินเจียวเจียวเป็นอันผิงจวิ้นจู่และประทานที่ดินศักดินาให้
ซินเจียวเจียวรับราชโองการ ทว่าหางตาเห็นมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
“นี่คือเจียวเจียวใช่หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้เสด็จเข้ามา ด้านหลังของพระองค์ยังมีพระโอรส
และเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ตามเสด็จมาด้วย
ทรงประทับนิ่งตรงเบื้องหน้าของซินเจียวเจียวและเริ่มสังเกตขึ้นลง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “คิดแล้วเชียวว่าเจ้าต้องคล้ายคลึงกับเสด็จป้ามาก”
แม้ฮูหยินหมิงจูเป็นพระปิตุจฉาของฮ่องเต้ ทว่าแท้จริงนางเกิดช้ากว่า อายุก็น้อยกว่าฮ่องเต้หลายปี ฮ่องเต้จึงมิได้มากพิธีต่อพระปิตุจฉาคนนี้มากนัก
แม้ฮ่องเต้มิได้เสด็จแบบเป็นทางการ ทว่าคนอื่นๆ ก็มิสามารถปล่อยตัวตามสบายหรือมีท่าทางเป็นกันเองได้
เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ผู้ใดจักกล้ากล่าววาจาเหลวไหลล้อเล่นได้ ?
โชคดีที่ฮ่องเต้เพียงมาเพื่อตรัสมิกี่คำ จากนั้นก็เสด็จกลับ “เจ้าเด็กจวินฮานแอบกลับจากม่อเป่ย ข้าต้องไปถามเขาให้รู้เรื่อง”
ทุกคนรู้สึกโล่งใจและรีบคำนับส่งเสด็จ มีเพียงอันหลิงเกอที่เกิดความสงสัยขึ้นมา เพราหากตามระยะทางของมู่จวินฮาน เวลานี้เขาควรอยู่ที่ม่อเป่ยแล้ว เหตุใดจึงกลับมาเมืองจิง หรือเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ม่อเป่ย ?
ในใจนางรู้สึกกังวล บริเวณคิ้วจึงขมวดโดยมิรู้ตัว ทว่านางงดงามอยู่แล้ว แม้ใบหน้าดูเคร่งเครียดแต่ก็ยังสามารถทำให้คนรู้สึกชื่นชอบได้อยู่ดี
ในขณะเดียวกันสายตาของจ้าวหลานหยู่ก็ตกไปอยู่บนตัวอันหลิงเกอ หญิงสาวตรงหน้าสวมเสื้อด้านในสีเหลืองอ่อน เสื้อคลุมตัวยาวปักลายบุปผาสีแดงขาว นางสวมกระโปรงสีเขียวปักลายดอกเหมยฮวาสีเขียวอ่อน ใบหน้าแต่งแต้มสีสันอย่างอ่อนหวาน ทั้งตัวเพียงใส่เครื่องประดับต่างหูไข่มุกคล้ายดอกไม้ทำให้หูทั้งสองข้างของนางดูขาวผ่อง
เหตุใดเมื่อก่อนมิเคยรู้สึกว่าอันหลิงเกองดงามเยี่ยงนี้ ?
จ้าวหลานหยู่จ้องอันหลิงเกอตาเขม็ง ภายในใจเกิดความโลภขึ้นมา
ถึงอย่างไรอันหลิงเกอก็เป็นสตรีที่เคยถูกยกเลิกการสมรสอยู่แล้ว หากยกนางให้เป็นสนมของตน ท่านโหวคงมิปฏิเสธแน่นอน
รอเขาเล่นสนุกกับนางจนเบื่อแล้วค่อยทิ้งนางให้ลูกน้อง หลี่ซื่อและน้องหญิงย่อมเห็นด้วยกับวิธีนี้อย่างแน่นอน
จ้าวหลานหยู่กำลังนึกถึงตรงนี้อยู่ พลันเห็นแววตาของอันหลิงเกอเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมา
อันหลิงเกอรู้สึกได้ว่ามีคนมอง พอดีกับที่สบตากับจ้าวหลานหยู่ นางจึงขมวดคิ้วมุ่น
ตอนนี้อยู่ที่จวนฮูหยินหมิงจู นางจึงรีบกลบเกลื่อนท่าทางทำราวกับมิมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น
ทว่าจ้าวหลานหยู่จับตามองอันหลิงเกอตลอดเวลา รอจนงานเลี้ยงของฮูหยินหมิงจูจบลง เขาจึงรีบเดินตามหลังอันหลิงเกอไป
“คุณหนูใหญ่อันโปรดหยุดก่อน”
จ้าวหลานหยู่เรียกนางเอาไว้ อันหลิงเกอทำมิได้ยินและยังเดินต่อไปเรื่อย ๆ
ทำให้จ้าวหลานหยู่รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เขาจึงยื่นมือออกไปหมายรั้งอันหลิงเกอเอาไว้
ทว่าจ้าวจิงห่าวหรือองค์ชายสี่มิรู้โผล่มาจากไหน เข้ามายืนขวางจ้าวหลานหยู่ไว้พอดี “น้องเจ็ดกำลังทำอันใด กลางวันเยี่ยงนี้คงมิได้คิดลวนลามคุณหนูใหญ่อันใช่หรือไม่ ? ”
จ้าวหลานหยู่ที่กำลังจักคว้าจับอันหลิงเกอได้อยู่แล้ว โดนจ้าวจิงห่าวเข้ามาขวางกะทันหัน จึงทำให้ใบหน้าของเขาแข็งกระด้างขึ้นมา มิมีความเคารพอันใดต่อพระเชษฐาแม้แต่น้อย “พี่สี่ ท่านมิอยู่ในตำหนักอ่านตำราของท่านให้ดี กลับมาร่วมงานที่ครึกครื้นเช่นนี้เพื่ออันใดกัน ? ”
“ตำราจักสำคัญเท่าซินเจียวเจียวได้เยี่ยงไร ? “
จ้าวจิงห่าวกล่าวพร้อมหางคิ้วกระตุก เมื่อนึกถึงว่าซินเจียวเจียวแม่นางตัวเล็กคนหนึ่ง ตอนนี้กลับเป็นญาติผู้ใหญ่ของตนไปแล้ว
แม้จักแปลกเพียงใด เขาก็ยังนำซินเจียวเจียวมาเป็นเกราะป้องกันตนอยู่ดี
แน่นอนว่าจ้าวจิงห่าวมิอาจกล่าวกับจ้าวหลานหยู่ตามตรงได้ว่าก่อนที่มู่จวินฮานจักจากไปนั้น ได้สั่งให้จ้าวจิงห่าวดูแลว่าที่ภรรยาในอนาคตของเขาให้ดี ดังนั้นตนจึงตั้งใจมาขัดขวางจ้าวหลานหยู่โดยเฉพาะ
หากเขากล่าวเช่นนี้ แม้มิถูกจ้าวหลานหยู่ตีตาย แต่ก็คงถูกมู่จวินฮานซ้อมจนเละอย่างแน่นอน
อีกอย่างเมื่อครู่ฟู่หวงได้ตรัสว่ามู่จวินฮานกลับเมืองจิงแล้ว ตามนิสัยเอาแน่เอานอนมิได้ของมู่จวินฮาน หากน้องเจ็ดแตะต้องอันหลิงเกอย่อมได้รับหายนะอย่างแน่นอน นี่ข้ากำลังหวังดีต่อจ้าวหลานหยู่ด้วยซ้ำ !
ส่วนมู่จวินฮานที่โดนจ้าวจิงห่าวนินทาว่าอารมณ์มิแน่นอน ตอนนี้กำลังขี่ม้าเข้ามายังประตูเมือง หลังจากนั้นเขาก็พลิกตัวลงจากม้าสีแดงด้วยท่าทางคล่องแคล่วทรงพลัง ริมฝีปากดูดียกขึ้นเล็กน้อย ลักษณะที่ดูดื้อรั้นของเขาทำให้หญิงสาวมิน้อยต้องแอบหันมามอง
“เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงกลับมาแล้ว ? “
ฮ่องเต้เสด็จเข้าไปหามู่จวินฮาน ยามนี้พระองค์อยู่ในฉลองพระองค์ธรรมดาจึงมิได้กลายเป็นที่จับตามองมากนัก
มู่จวินฮานแสร้งทำหน้าอมทุกข์ คล้ายว่าตนได้รับความยากลำบากเหลือเกิน “เหตุใดพระองค์มิตรัสกับกระหม่อมก่อนว่าดินแดนม่อเป่ยช่างลำบากยิ่งนัก ! ”
เขาถอนหายใจยาว ใบหน้าดื้อรั้นเหมือนปกติแล้วบ่นถึงสิ่งต่างต่างมากมายให้ฮ่องเต้ฟัง อาทิเช่น ม่อเป่ยหนาวมาก มิมีสุราหมักรสเลิศ มิมีสาวงามร้องรำทำเพลง…
สรุปแล้วคือทุกอย่างในม่อเป่ยมิมีอันใดดี เขาทนรับความยากลำบากในม่อเป่ยมิไหวจึงกลับมาเสียเลย
เมื่อกล่าวจบมู่จวินฮานก็มองฮ่องเต้ “เช่นนั้น ฝ่าบาทให้คุณหนูใหญ่อันแต่งงานกับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยอมแต่งกับนางแต่มิยอมไปที่ม่อเป่ยอีกแล้ว ! ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นฮ่องเต้ก็ส่งเสียง เหอะ ออกมาทีหนึ่ง “เจ้าคิดว่าราชโองการของข้าเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไร อยากแก้เยี่ยงไรก็แก้ได้หรือ ? ”
“แต่สถานที่เยี่ยงม่อเป่ย กระหม่อมมิชอบเอาเสียเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเพียงส่งใครคนหนึ่งไปดูแลก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ครู่หนึ่งนั้นดวงตาของมู่จวินฮานก็แฝงไว้ด้วยประกายบางอย่างที่อ่านมิออก